ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากบุพการีที่เห็นว่าดนตรีไม่น่าใช่ทางเลือกของชีวิต อีกทั้งเพื่อนสนิทมิตรสหายก็ทัดทานเต็มที่ว่าเป็นไปไม่ได้หรอก ทำให้เขาเกือบจะถอดใจไม่กล้าก้าว แต่เมื่อความรักในเสียงเพลงนั้นเร่งเร้า ก็ดับสิ้นซึ่งสรรพเสียงแห่งอุปสรรค และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของคนเพลง “ตัวจริง เสียงจริง” คนหนึ่งซึ่งมีนามว่า “ฟาร์ม เดอะ วอยซ์”
แม้บทเพลง “สีเทา” จะมีต้นรากมาจากบอย โกสิยพงษ์ แต่เชื่อว่านาทีนี้เมื่อเอ่ยชื่อเพลงนี้ หลายคนต้องนึกถึง “ฟาร์ม-ปณิธาน ธารชัย” หรือ “ฟาร์ม เดอะ วอยซ์” สมญานามที่ห้อยท้ายภายหลังแจ้งเกิดบนเวทีการประกวด “ตัวเสียง เสียงจริง” ซีซันที่ 3 ซึ่งแม้การแข่งขันจะปิดฉากลง แต่เส้นทางความฝันนั้นยังทอดยาว “ฟาร์ม-ปณิธาน” ยังคงสานต่อเส้นทางศิลปินของเขามาตั้งแต่นั้นจนถึงวันนี้ วันที่ซิงเกิลแรกในชีวิตถูกปล่อยไป ในเพลงชื่อ “ปล่อยมือ” (Leave) ที่กลายเป็นซิงเกิลฮิตติดลมบน กับยอดคนดูบนยูทูปมากกว่าสองล้านวิวในช่วงเวลาไม่ถึงเดือน
จากเด็กหนุ่มจังหวัดสกลนครไกลปืนเที่ยงผู้กล้าเสี่ยงบนเส้นทางสายดนตรี และเพราะใจรักที่มุ่งมั่นอย่างไม่ยอม “ปล่อยมือ” จากเสียงเพลง ทำให้เขาก้าวขึ้นมายืนอยู่ท่ามกลางสปอตไลต์ที่ใครหลายคนนิยมชมชอบ...
เพราะชีวิตคือดนตรี
จึงไม่มีวัน “ปล่อยมือ”
"อันดับแรกผมคิดว่าน่าจะมาจากสายเลือด คือทางฝั่งของคุณแม่ คุณน้า หลายๆ ท่าน ท่านเล่นดนตรีเก่งมาก โดยเฉพาะคุณตา ท่านเป็นคนที่เล่นดนตรีพื้นเมืองได้หลากหลาย พวกแคน พิณ หวูด และเล่นเก่ง แต่ที่ผมอินจริงๆ คือตอนที่ผมได้เข้าวงโยธวาทิตตอน ป.5 ดนตรีชิ้นแรกที่เล่นตอนนั้นคือ “ทรัมเป็ต” ตอนที่เข้ามัธยมผมก็ใช้ดนตรีเป็นความสามารถพิเศษสอบคัดเข้าโรงเรียน จากนั้นก็เล่นลากยาวมา"
เจ้าของน้ำเสียงอารมณ์บาดลึก พูดถึงจุดเริ่มต้นของตัวเองก่อนที่จะเป็นที่รู้จักอย่างทุกวันนี้ ในคืนวันเก่าก่อนตอนนั้น จากเด็กเกือบ 100 คน สอบคัดเหลือเพียง 10 คน ก่อนที่ตัวเองจะได้ลำดับที่ 3 ของโรงเรียน สกลราชวิทยานุกูล ซึ่งเป็นโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดสกลนคร
"พอเข้ามาเรียนด้วยโควตา เพราะความที่เราเป็นเด็กเอนเตอร์เทน อยู่ๆ วันหนึ่งในคาบพบอาจารย์ที่ปรึกษา ครูเขาก็ให้ไปร้องเพลงหน้าชั้น ปรากฏว่าเพื่อนๆ นักเรียนด้วยกันเองมุงกันใหญ่ เต็มเลย (หัวเราะ) หลังจากนั้นวงเด็กนักเรียนในโรงเรียนก็มาชวนให้ไปร้องนำในวง ก็ไม่รู้ว่าเราร้องดีไม่ดีนะ อาจจะด้วยความสนุก เป็นอารมณ์นั้นมากกว่า เราก็เลยรู้สึกว่าเราอยากจะร้องเพลงให้เก่ง ก็เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้น ให้คิดว่าจะไปเรียนร้องเพลงอย่างจริงจัง แต่ว่าตอนนั้นที่จังหวัดสกลนครไม่มีคนสามารถสอนร้องเพลงได้ ก็เลยต้องไปเรียนกีตาร์แทน
"ตอนที่ไปเรียน ผมเป็นคนที่สมาธิสั้นมาก ครูเขาบอกให้ไล่นิ้วเฟรต 1-2-3 ไปจนถึงเฟรตสุดท้าย อยู่อย่างนั้น 10 นาที แต่ผมทำได้ไม่ถึง 2 นาที ผมหยุด คือผมทำได้แล้ว ผมเป็นคนประเภทที่พอทำอะไรได้ ผมก็อยากจะทำอย่างอื่นเลยทันที ไม่รอให้มันแน่นพื้นฐานก่อน จนครูเขาไม่สนใจ ถึงขั้นที่ครูเขาว่า แล้วแต่มึงเลย” (หัวเราะ)
ไม่ใช่สอนไม่ได้ ไม่รับฟัง แต่ต้องการที่จะก้าวกระโดดให้ไวตามประสาเด็กและนิสัย อาจารย์อีกคนจึงมีชื่อที่ใครหลายคนคุ้นเคยดีว่า "Youtube"
"ผมเบื่อ ผมเบื่อการที่จะต้องมาไล่ ผมทำได้แล้ว ผมก็เลยเปิดหนังสือคอร์ด ไหนดูซิว่าคอร์ดมันเป็นอย่างไร จับเอง ลองเล่นเอง ปรากฏว่าผมก็เล่นเป็นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จากความที่ครูเบื่อหน่าย จากนั้นก็ฝึกเองเล่นเองจาก youtube อันนี้เป็นอาจารย์ชั้นเลิศของผมเลย เพลงแรกที่เล่นคือเพลง “ก่อน” ของพี่วงโมเดิร์นด็อก เพลง “ฮันนีมูน” ของวงฟลัวร์ นี่คือเพลงแรกๆ ในชีวิตของผมเลย
"พอเริ่มเป็นกีตาร์ หัดไปเรื่อยๆ สักระยะร่วมปีสองปี ด้วยความที่เราเป็นคนเอนเตอร์เทนคนเป็น ช่วงประมาณ ม.5 ก็ได้รับโอกาสชักชวนให้ลองไปร้องเพลงกลางคืนดู ก็ลองไปขอคุณแม่ แต่ท่านไม่อนุญาต เพราะยังเด็กและเขากลัวเถลไถล เขากลัวเราจะติดยา เพราะว่าสังคมในยุคนั้น เรื่องตรงนี้มันเข้ามาเยอะ และด้วยความที่เขาเป็นข้าราชการทั้งคู่ เขาก็มองว่าการเต้นกินรำกิน คนทำงานกลางคืน มันจะเอาอะไรได้
"ตอนที่ผมเรียนชั้นมัธยมปลาย ผมเรียนสายวิทย์-คณิต คือคุณพ่อคุณแม่เขาอยากให้เรียนจบ ม.6 เขาก็ถามว่าจะไปอยู่เรียนอเมริกาเลยไหม เพราะน้าเขาไปเรียนแล้วได้แต่งงานอยู่ที่โน่น มีสามี มีลูก จากนั้นเขาเลิกกับแฟน เขาก็อยู่กับลูกเขาสองคน เขาก็อยากได้ผู้ชายไปอยู่ด้วย แล้วผมเป็นหลานผู้ชายคนโต เขาก็เลยคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว"
แต่ด้วยใจที่รักก็ไม่อาจสามารถทัดทาน หลังจบชั้นมัธยมปลาย ฟาร์มในวันวัยนั้นจึงเลือกตัดสินใจลองวัดอีกสักครั้ง แม้จะหนักหนากับการรับแรงกดดันทั้งของครอบครัวและการงานอาชีพที่ใหม่ อ่อนด้อยประสบการณ์
"ก็โดนหนักเหมือนกัน เพราะร้านวันสบายที่เราเล่น เจ้าของร้านคือวงอภิรมย์ ซึ่งเป็นวงดนตรีที่มีชื่อเสียง ส่วนวงที่เล่นที่ร้านก็เป็นวงที่มากประสบการณ์ แล้วเราเป็นเด็กที่เพิ่งเข้าไปใหม่ ไม่มีประสบการณ์ เล่นกีตาร์เอง ร้องคนเดียว ตอนนั้นยอมรับเลยว่ามีความกดดันเพิ่ม จากแต่เดิมที่บ้านไม่อยากสนับสนุนตรงนี้อยู่แล้วด้วย แต่ผมก็ค่อยๆ บีบตัวเองเรื่อยมา ฝึกหัดเอง หลบเสียงต้องทำอย่างไร ลูกคอต้องฝึกอย่างไร หยิบข้อดีของนักร้องคนนั้นคนนี้มาผสม
"แล้วผมก็โชคดีที่ผมได้ร้านที่ดี คือมีอยู่วันหนึ่ง เจ้าของร้านเขาบอกว่าให้เล่นเพลงช้าๆ เวลาคนกินข้าว เล่นเบาๆ เพลงเก่าๆ ช้าๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องซีเรียส พอดีมีฟีดแบ็กจากลูกค้าคนหนึ่ง เขาบอกว่าเพลงน่าเบื่อจังเลย ทำไมไม่เล่นให้มันเร็วกว่านี้ ผมก็ไปบอกพี่เขาว่าผมรู้สึกแย่มาก ผมต้องทำอย่างไร เขาบอกว่าไม่ยากเลย ทีหลังถ้าเขาบอกอย่างนี้ก็บอกไปว่า ถ้าอยากได้เพลงเร็วๆ ก็ไปร้านอื่นก็ได้ ร้านอื่นก็มี ที่เขาจะเล่นเร็วๆ สนุกๆ ไปนั่งร้านอื่นสิ แต่ถ้าเมื่อไหร่อยากฟังเพลงช้า ให้กลับมา
"เราได้ยินอย่างนั้นก็เหมือนกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้กล้าลองทำเป็นตัวของตัวเอง เพราะเขาเปิดประตูให้ผมได้ลองทำใหม่ๆ ไม่ต้องไปแคร์ ผมก็ยับเลย (หัวเราะ) เพลงเก่าๆ แปลกๆ เพลงล้ำๆ หรือเพลงตลาดๆ ผมจะเล่นในสไตล์ผมหมด คือเราไม่ชอบให้คนฟังรู้สึกว่าตอนนี้เรากำลังเล่นเพลงนี้อยู่ จากร็อกมาเล่นแจ๊สหรือปรับเป็นเวอร์ชั่นบอสซาโนว่าบ้าง ให้มันมีความแตกต่างไปเลยจากของเดิม ผมอยากให้คนดูรู้สึกว่ามันเซอร์ไพรส์ตลอด มันคือดนตรีทางเลือก มันเป็นของที่ฉันต้องขี่รถมา เพื่อมานั่งฟัง ฉันไม่สามารหาฟังได้ทั่วไป เปิดวิทยุก็ไม่มีฟัง ในส่วนนี้ด้วย
"คือต่อให้เจอเรื่องอะไรอย่างไร ผมไม่เคยคิดทิ้งเพราะผมคิดว่ามันเป็นส่วนประกอบสำคัญของชีวิต แต่ผมก็ไม่ซีเรียส หากจะทำตามสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่วางไว้ให้ ตอนนั้นพอผมจบ ม.6 ปุ๊บ ผมก็เลยกู้เงินท่านมา 15,000 บาท เพื่อใช้เป็นทุนในการเล่นดนตรีกลางคืน ผมลองไม่ขอตังค์คุณพ่อคุณแม่เลย คือก่อนหน้านั้นค่าเรียนในเรื่องดนตรี 1,500 บาท ผมก็หาเองตั้งแต่ ม.4 โดยการขายเสื้อผ้ามือ 2 แนวเด็กสเกตบอร์ด เอามาขายเพื่อนที่โรงเรียน จำได้ว่าประมาณเดือนกว่า ก็ใช้หนี้คืนเขาหมด ก็เล่นดนตรีไปเรื่อยๆ ประมาณปีหนึ่ง ผมก็มาได้เดอะวอยซ์ ทุกอย่างก็เลยพลิกหมด"
จากคนธรรมดาสู่ซัมบอดี้
มีวันนี้เพราะ “ประสบการณ์”
คิดได้ดังนั้น แม้ว่าหลังจากปล่อยของที่เป็นตัวของตัวเอง จะยังไม่มีใครนั่งรถเดินทางมาเพื่อฟังเพลงและดนตรีที่เขาเล่นโดยเฉพาะ แต่ก็ไม่หวาดหวั่น สู้ทำจนสำเร็จลุล่วง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก
"แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มีใครนั่งรถมาฟังผมนะ"
นักร้องหนุ่มว่าถึงชีวิตที่พลิกเมื่อสักครู่
"ตอนนั้นก่อนที่จะไปเดอะ วอยซ์ คนยังพูดกับผมเลยว่าจะไปจริงเหรอ อารมณ์ประมาณว่าพร้อมแล้วจริงหรือ ถ้าไปจะไม่เสียโอกาส เสียจังหวะ เสียค่าน้ำมันทิ้งไหม ขนาดค่าน้ำมันยังไม่คุ้มเลย ผมก็ร้องไห้เหมือนกันตอนนั้น แอบร้องหลายรอบเลย"
ฟาร์มว่า ถึง ณ เวลานั้นที่ความมั่นใจไม่เหลือ เพราะแม้กระทั่งเกลอรักเพื่อนสนิทยังบอกว่าเป็นไปไม่ได้
"หมดกำลังใจเลย เพราะท่าทางเพื่อนรักเราคือจริงจังมาก (หัวเราะ) เราถามว่าจะมีโค้ชหันมาไหม "เอาจริงๆ เลยนะเพื่อนรัก คิดว่าไม่มีว่ะ" แล้วก็หันกลับ ตอนนั้นโหย...ทุกอย่างแทบทรุด ก็เลยกะว่าจะมาคนเดียว ทั้งๆ ที่ตอนแรกก็แอบหวัง เพราะช่วงออดิชั่นคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันทั่วประเทศ ผมคัดที่จังหวัดนครราชสีมา คัดเอาจาก 9,000 คน เหลือ 100 กว่าคน ไปร้องสดให้เขาฟัง เขาจะมีเวลาให้เรา 2 นาที แต่ถ้าเอาจริงๆ ไม่ถึง ประมาณสัก 30 วินาทีได้ ก็คือ 1 ท่อนฮุก วันนั้นร้องเพลง “เธอกลับมาเพื่อหมุนเข็มนาฬิกาให้เดินกลับหลัง” ของวง Bandwagon ร้องจบปุ๊บ เขาก็บอกว่าพอๆ ไอ้เราก็ใจหาย (หัวเราะ) สงสัยไม่รอด
"แต่เขาก็บอกว่า ไหนลองร้องเพลงเร็วซิ ใจชื้นขึ้นมาหน่อย แสดงว่าเขาฟังเรา เขามองเห็นเรา เขาอยากเห็นเราอีกมุม ก็เลยเล่นเพลง “วอน” ของ เดอะ พีช แบนด์ (The Peach Band) จากนั้นก็ให้เราลองร้องเพลงสากล แล้วทีนี้ผมมีอยู่ปัญหาอย่างหนึ่งที่มันเป็นปัญหาใหญ่ของผมในตอนนั้นเลยก็คือ ปัญหาของรูปปาก ผมเป็นคนที่ร้องเพลงแบบหงุงๆ หงิงๆ ด้วยความที่ร้องกลางคืน ไม่มีใครคอยบอกให้เรารู้ตัวว่าต้องทำอย่างไรถึงจะถูกต้อง เราก็ร้องตามความเคยชิน กลายเป็นว่าขยับปากน้อย คำมันเลยรั่ว รั่วแล้วก็จะนัวไปหมด ฟังไม่รู้เรื่อง เขาก็ให้ผมร้องเพลงที่มันแสดงรูปปาก ก็เลยร้องเพลง “ความรู้สึกของวันนี้” ของวง Lomosonic สรุปแล้วได้ร้อง 4 เพลง ออกมาจากห้องปุ๊บ ผมได้ขึ้นไปสัมภาษณ์ชั้นที่ 2 ต่อทันที ตอนนั้นดีใจมาก ตื่นเต้นสุดๆ คือแค่ไม่ต้องติดก็ได้ เหยียบตรงนั้นผมก็ดีใจแล้ว"
เล่าถึงตรงนี้ แม้สีหน้าฟาร์มจะดูเพียงยิ้มแย้ม แต่แลดูมีรัศมีความสุขเปล่งออกมากกว่าเสียงหัวเราะก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด เพราะเป็นบันไดอีกขั้นที่เชื่อม ความสัมพันธ์ครอบครัว ความหวังยังคงเป็นจริงอีกด้วย
"พอวันประกาศผล เขาประกาศตอน 3 ทุ่ม เป็นเวลาช่วงเดียวกับที่ผมพักเบรกเล่นดนตรีที่ร้าน ก็เข้าไปเช็ก ผมดันจำเลขตัวเองไม่ได้ มันต้องกรอกทั้งชื่อ-นามสกุล แล้วเลขประจำตัว ผมจำเลขไม่ได้ ผมก็เลยกรอกแค่ชื่อไป แล้วมันขึ้นมาว่าขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ คุณไม่ผ่านเข้ารอบออดิชั่น ขอบคุณที่ร่วมสนุกค่ะ...
"ก็นิ่งไปหลายนาที จนได้สติคิดว่ามันอาจจะยังใส่ไม่ครบก็ได้ ก็รีบโทร.หาคุณพ่อเลย ให้หาเลขประจำตัวให้หน่อย ใจก็เสีย ไม่รู้เก็บไว้ตรงไหน บังเอิญคุณพ่อจำได้ถ่ายรูปเราไว้ในโทรศัพท์ ท่านก็บอกรหัสมา ตอนแรกมันขึ้นตัวหนังสือสีแดงว่าขอแสดงความเสียใจใช่ไหม แต่พอกรอกเสร็จยังไม่ทันอ่านครบ เห็นตัวหนังสือสีเขียวเท่านั้นแหละ ผมร้องลั่นร้าน โทร.บอกคุณพ่อคุณแม่รีบกลับไปบ้าน นั่งคุยกันว่าโค้ชจะหันมาไหม จะไปอย่างไร ขับรถกันไปเองหรือว่านั่งเครื่องกันไป ก็นั่งมโนกันทั้งบ้าน ความสัมพันธ์เราก็เหมือนกลับมาเชื่อมต่อกัน คือเราอาจจะทำให้ท่านเห็นแล้วว่าเราไม่เป็นอย่างที่ท่านคิดแน่"
นั่นจึงทำให้หลังจากนั้น แม้ว่าจะมีข้อบกพร่องความไม่สมบูรณ์ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะไม่ได้ร่ำเรียนอย่างเต็มที่ จึงต้องศึกษาเพิ่มพูนด้วยตัวเองและอาศัยประสบการณ์ กระนั้น หนุ่มน้อยจากสกลนครก็ไม่มองเป็นอดีตที่ขาดเหลือ ซ้ำยังขอบคุณคืนวันเหล่านั้นที่ทำให้มีวันนี้ อัตลักษณ์และอารมณ์น้ำเสียงที่ไม่เหมือนใคร
"เพราะผมเป็นผมได้ทุกวันนี้ ผมต้องใช้เวลาตกตะกอน ที่ต้องใช้คำนี้ เพราะด้วยการที่คนเราจะเป็นเอกบุคคลได้ เกิดมาจากการที่คนเราไปรับสภาพแวดล้อมโดยรอบจากตั้งแต่เกิดจนวันล่าสุดของชีวิตของตัวเอง คือด้วยความที่สมัยเด็กๆ ผมเป็นคนไม่ค่อยได้รับความสนใจจากคนรอบข้างสักเท่าไหร่ เหมือนเป็นเด็กธรรมดา ฟู่...แล้วก็หายไป สักพักก็กลายเป็นเงา แล้วพอเป็นอย่างนั้น ผมก็จะปลีกตัวเองออกมา ก็เลยทำให้เป็นคนที่ต้องทำอะไรมาคนเดียวตลอด เจอปัญหาก็จะเงียบ จะไม่บอกใคร เพราะรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่ต้องให้คนอื่นมารับรู้เรื่องของเรา ให้เขารับรู้เรื่องของเราในส่วนที่มันดีๆ ดีกว่า จะมารับรู้ในส่วนที่แย่ทำไม ปัญหาก็ปัญหาเรา ไม่ใช่ปัญหาเขา และคนอื่นเขารับรู้ไป เขาจะรู้สึกดีไหม ก็ไม่ สู้ให้เขาเห็นภาพดีๆ เห็นภาพตลกๆ ของเราดีกว่า เราก็ทำตลกกลบเกลื่อนไป ก็เป็นคนนิสัยแมนๆ ยืดอกรับคนเดียวแล้วก็จุก"
"แต่สิ่งหนึ่งซึ่งผมยึดไว้เป็นหลักให้ชีวิตก็คือ ผมจะทำให้ทุกคนมีความสุข เพราะมันคือสิ่งที่ผมชอบ ชอบทำให้คนอื่นหัวเราะ ชอบทำให้คนอื่นยิ้ม"
ฟาร์มว่า ก่อนจะเล่าต่อถึงไอดอลที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตดนตรี
"ผมฟัง 'เอมี่ ไวน์เฮาส์' มีอิทธิพลมากทั้งเรื่องเพลงและชีวิต คือถ้าใครรู้ประวัติเขา จะรู้ว่าเขาเป็นผู้หญิงที่เก่ง เป็นคนที่เจอโลกมาหนักมาก บางทีทุกสิ่งทุกอย่างถ้าจะได้มามันก็ต้องแลกกัน คนแบบเอมี่ ถ้าถามว่าเขามีความสุขไหม เขาเป็นคนที่มีความสุข แต่กว่าเขาจะผ่านมาถึงความสุขมาได้จนถึงช่วงที่เขาจากไป เขาเป็นคนที่ไม่มีความสุขเลย เจอแต่เรื่องร้าย เรื่องแย่ๆ ถ้าถามว่าให้คุณแลก คุณแลกไหม คุณไม่แลกหรอก อยู่เฉยๆ ไม่ดีกว่าเหรอ
"แต่บางที คนเรามันไม่สามารถระบุได้หรอกว่าอะไรกันแน่คือสิ่งที่ตัวเองต้องการ เขานี่เป็นคนที่คนอื่นกล่าวถึงว่าเขาเป็นนักร้องแจ๊สจริงๆ ในยุคนี้ เพราะด้วยความที่แจ๊สเป็นดนตรีที่ลื่นไหล เอมี่ก็เหมือนกัน เขาเป็นคนที่ลื่นไหลมาก ไปตรงไหนก็แล้วแต่ จะสละสลวยสวยงาม มันไม่ได้ดูสวยงามแบบธรรมดา มันดูสวยงามแบบพลุ มีความสดใสแปลกใหม่อยู่เรื่อย เราเห็นว่าพลุลูกนั้นมันเป็นดวงไฟสีแดง แต่ไม่รู้หรอกว่า พอมันแตกออกมา มันจะแตกเป็นรูปลักษณ์อะไร"
..."ผมฟังแจ๊สและชอบเพลงไทย ร้องเพลงลูกทุ่งได้ แต่ชอบดนตรีฝรั่ง"
ฟาร์มยังเล่าถึงวินาทีที่มาเลือกเพลงในวันเข้าประกวดรอบแรกอันเป็นที่มาของเพลง 'สีเทา' ที่ออกใบแจ้งเกิดให้เป็นที่รู้จักและมีแฟนคลับติดตามมาจนถึงทุกวันนี้
"คือตอนมาเลือกเพลงเพื่อร้องในรายการ เลือกตั้งนาน จากที่เขาให้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ผมปาเข้าไปชั่วโมงครึ่ง ก็โดนพี่ต๋อง 7th scene ด่าเลย พี่วุฒิ พี่ชัด The Begins เขาเป็นมิวสิกไดเรกเตอร์ บอกให้เราอ้าปากกว้างๆ ออกเสียงคำให้ชัดๆ พอกลับมาบ้าน ผมก็ไปหาอาจารย์ต้อม เพลงพิณ แกเป็นผู้ใหญ่ทางสายดนตรีที่บ้าน ท่านคือคนที่ผมไม่พูดถึงไม่ได้เลย ในเรื่องการฝึกรูปปากให้ชัด ท่านก็พรินต์กระดาษให้ผมมาแผ่นหนึ่ง รูปแบบการฝึกก็จะฝึกรูปแบบการใช้ปาก อา อู อ่า การใช้ท้อง การฝึกการใช้ปอด ฝึกไล่โน้ต แทบจะยกเครื่อง
"หรืออย่างตอนที่มีชื่อเสียง หลังจบเวทีเดอะ วอยซ์แล้ว ถือเป็นความสูงสุดในชีวิต ณ ตอนนั้น มีงานเดือนละกว่า 20 งานต่อเดือน และเคยไม่มีตังค์เหลืออยู่เลย ในระยะเวลาแค่ 6 เดือน ผมเคยอยู่ทั้งจุดที่สูงของชีวิตตัวเองและต่ำที่สุดของชีวิตตัวเอง ก็เลยกลายเป็นว่าผมต้องนั่งคิดตลอดเวลาว่าสิ่งที่ผ่านไปมันคืออะไร ผมไม่เคยคิดว่า เราคือศูนย์กลางจักรวาล ผมเลยรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการบนเส้นทางสายนี้ เชื่อว่าคนที่เข้ามาใหม่ทุกคนจะต้องไขว้เขวว่า ต้องการอะไร เงิน ความสุข เพื่อนฝูง ชื่อเสียง
"เงินกับชื่อเสียงนี่เป็นตัวดึงดูดความสุขผมไปหมดเลย ผมเล่นดนตรีจนผมรู้สึกว่าเฮ้ยทำไมเราไม่มีความสุขเลย ทำไมยิ่งเล่นไปยิ่งแย่ ทำไมยิ่งเล่นยิ่งรู้สึกเครียดทุกครั้ง รู้สึกไม่ดี ทั้งๆ ที่ก่อนเราเล่น เราไม่ได้สนใจคนเลย แต่เราแค่มีความสุขทุกครั้งที่เขายิ้มให้เรา มันหายไปไหน ก็นั่งคิดทบทวน จนไปเจอคลิปคลิปหนึ่ง เขาเล่นดนตรีกันสองคน เป็นชาว Rasta
("Rasta" หรือ "Rastafari" เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่หลงใหลในลัทธิ Rastafarianism Rasta ซึ่งเป็นลัทธิและปรัชญาความเชื่อหนึ่งที่มีอดีตจักรพรรดิ ไฮลี เซลาซซี (Haile Selassie) แห่งเอธิโอเปียเป็นองค์ศาสดา แต่ลัทธินี้มีต้นกำเนิดในประเทศจาเมกา ในหมู่ชนชั้นแรงงาน ชาวไร่ ชาวนา คนผิวดำ ในยุคปี 1930 ผู้ที่นับถือมีความเชื่อว่าอดีตจักรพรรดิ ไฮลี เซลาซซี แห่งเอธิโอเปีย คือพระเจ้าที่จุติมาเกิดเป็นมนุษย์ ที่จะมาปลดปล่อยคนแอฟริกันและคนดำจากความเป็นทาส และนำพวกเขาไปสู่ความยุติธรรมในสังคม ด้วยเหตุนี้เองเราจึงเห็นชาว rasta หรือผู้ที่หลงใหลดนตรีเร็กเก้ ชอบใช้สีเขียว เหลือง แดง เป็นส่วนประกอบของเครื่องแต่งกายจากสีของธงชาติประเทศเอธิโอเปีย) ที่มา : pimkha.blogspot.com
คนหนึ่งร้องคนหนึ่งเพอร์คัตชัน อัดเสียงไปเรื่อยๆ เลยทำให้เหมือนกับเล่นเต็มวง ทุกอย่าง นี้แหละคือสิ่งที่ขาด มันทำให้เราคิดว่า บางที ความสุข ความชอบ จินตนาการ ถ้ามันหายไป ชีวิตเราจบเลย เพราะด้วยความที่มนุษย์เราไม่สามารถจะดำรงชีวิตได้โดยใช้ความกังวล ความกลัว หรือใช้ความเครียดเป็นตัวขับเคลื่อน เพราะยิ่งขับ มันยิ่งแย่เรื่อยๆ มันต้องขับไปด้วยความสุขจะดีกว่า ผมก็เลยเปลี่ยนวิธีการคิด มีวันนี้ได้ก็ด้วยประสบการณ์
"คือมันอาจจะมะรุมมะตุ้มแล้วรวมกันลงมา เหมือนเราชอบอะไร เราก็หยิบจับมัน ก็เลยกลายเป็นอย่างนี้ จนวันหนึ่งผมมาทะลุถึงตรงนี้ได้ ผมคิดว่าทั้งนี้ทั้งนั้นมันเกิดมาจากเราทุกคนว่าเราอยากจะไปถึงแค่ไหนมากกว่า คือหลักๆ ที่ทำให้ผมเป็นผมทุกวันนี้ได้ น่าจะมาจากเรื่องของประสบการณ์ จะคอยบอกคอยสอนเราว่า ควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร มันหล่อหลอมมาตรงนี้แล้วค่อยๆ ตกตะกอนเรื่อยๆ"
ความน่าสนใจ การเป็นเอกบุคล
ทำให้เรายังคงอยู่ได้
ท่ามกลางกระแสตอบรับที่เรียกได้ว่าถล่มทลาย ตั้งแต่บทเพลง “สีเทา” ในรอบการประกวด กระทั่งล่วงเลยข้ามปีมาถึงซิงเกิลแรกของตัวเองในเพลง "ปล่อยมือ” (Leave) ที่ก็ยังคงได้รับการตอบรับ สำหรับศิลปินรุ่นใหม่ในยุคที่กระแสไปไวมาไว อะไรที่จะทำให้เราคงอยู่อย่างนี้ได้
"คือใครมองว่าง่าย แต่จริงๆ มันไม่ง่ายเลย กล้าบอกได้เต็มปากว่าไม่ง่าย ผมมีความสุขแค่ได้ทำในสิ่งที่รักคือการร้องเพลง นอกนั้นชีวิตหนักล้วนๆ ด้วยความที่มันง่ายไปหมด อยู่ที่ปลายนิ้ว เวลาไปก็เลยไปง่ายๆ เพราะมันไม่มีความน่าสนใจและมันไม่มีจุดดึงความสนใจ ผมไม่แปลกใจเลยที่มันเป็นอย่างนั้น เพราะเราต้องมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีขั้นมีตอนมีระบบของมัน เราไปตัดทอน มันก็ไม่แปลกเลยที่ระยะเวลามันจะหมดเร็ว เหมือนการปลูกต้นไม้ เราไม่มีทางจะไปเร่งมันให้โตได้หรอก ถ้าไปเร่งไปใส่ปุ๋ยคิดว่ามันจะอยู่กับเราได้นานหรือสู้เราปล่อยให้เขาโตไปเรื่อยๆ เป็นธรรมชาติจะดีกว่า
"แล้วสำหรับวงการเพลงไทยที่ผมมองในตอนนี้ ทุกสิ่งอย่างโดนตัดทอน อย่างในสมัยก่อน ทำไมวงแต่ละวงถึงดังจัง แถมดังนาน 10-20 ปี นึกถึงอารมณ์สมัยฟังเทปคาสเสตต์ แล้วเราแกะกระดาษที่อยู่ในกล่องเทปมานั่งอ่าน เนื้อร้องทำนองเพลงนี้ใครเขียน ใครแต่ง อ่านจนกระทั่งคำขอบคุณ มันก็จะเกิดความน่าสนใจที่ทำให้คนมันเข้าถึงตัวศิลปินมากขึ้น มันเป็นตัวหนึ่งเลยที่ทำให้รู้จักศิลปินเขาคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
"เพราะแน่นอนว่า เราล้วนต้องเคยมีโมเมนต์ว่าเพลงดี แต่เราไม่ชอบนักร้อง เราจะรู้สึกว่าถ้าอะไรที่เราไม่ชอบในตัวคนนี้ ต่อให้ทำอะไร เราก็ไม่ชอบอยู่ดี เพราะผมไม่ชอบคุณตั้งแต่ต้น มันก็เป็นเหมือนกัน ผมไม่รู้จักคุณตั้งแต่ต้น ผมรู้จักแค่ผลงานเพลงคุณ ผมก็เสพแค่ผลงานเพลงคุณ ผมไม่จำเป็นต้องรู้จักคุณก็ได้ พอคืนวันผ่านไป เพลงใหม่เข้ามา เขาก็กลายเป็นลืมไป ด้วยความที่มันง่าย ได้มาง่ายๆ เวลาไปก็ไปง่ายๆ เพราะมันไม่มีความน่าสนใจ และมันไม่มีจุดดึงความสนใจ อะไรๆ ก็อยู่ที่ปลายนิ้ว เราสามารคลิกหาได้เลย"
นักร้องหนุ่มสรุปทัศนะส่วนตัวและถ้าถามว่าอะไรคือสิ่งที่คิดว่าทำให้คงอยู่ได้ในฐานะคนดนตรีรุ่นใหม่อย่างเขา "คือการที่คุณเป็นคนเดียวในโลก"
"คือถ้าคุณเป็นคนเดียวในโลก มันไม่มีของมาทดแทนคุณได้อย่างไร โลกก็ต้องการคุณ แม้ว่าตอนนี้ตัวผม ผมอาจจะถือว่าประสบความสำเร็จ คือมีซิงเกิลของตัวเอง คือการที่ผมร้องเพลงแล้วให้คนอื่นมองเห็น ให้คนอื่นรู้สึก ให้คนอื่นมีความสุขในเพลงที่ผมร้อง ผมประสบความสำเร็จตั้งแต่เดอะ วอยซ์
"ชีวิตผมเอาจริงๆ ผมอยากจะเป็นแบบ พี่ธีร์ ไชยเดช พี่บอย โกสิยพงษ์ ที่ทำเพลงออกมาเรื่อยๆ แล้วคนรู้ว่าคือเรา ยังมีกลุ่มคนที่เสพเราอยู่ เป็นเอกบุคคลจริงๆ มันอาจจะยาก แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่มันทำได้คือทำทุกวัน ทำให้เป็นคุณทุกวัน ไม่ต้องไปประดิษฐ์ คุณไม่ต้องไปสนใจหรอกว่าคนเขาจะด่าหรือว่า มันเป็นอย่างไรหรือควรจะทำอย่างไร เพราะทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่มันออกมาจากมือคุณ นั่นคือออกมาจากตัวคุณ"
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
แม้บทเพลง “สีเทา” จะมีต้นรากมาจากบอย โกสิยพงษ์ แต่เชื่อว่านาทีนี้เมื่อเอ่ยชื่อเพลงนี้ หลายคนต้องนึกถึง “ฟาร์ม-ปณิธาน ธารชัย” หรือ “ฟาร์ม เดอะ วอยซ์” สมญานามที่ห้อยท้ายภายหลังแจ้งเกิดบนเวทีการประกวด “ตัวเสียง เสียงจริง” ซีซันที่ 3 ซึ่งแม้การแข่งขันจะปิดฉากลง แต่เส้นทางความฝันนั้นยังทอดยาว “ฟาร์ม-ปณิธาน” ยังคงสานต่อเส้นทางศิลปินของเขามาตั้งแต่นั้นจนถึงวันนี้ วันที่ซิงเกิลแรกในชีวิตถูกปล่อยไป ในเพลงชื่อ “ปล่อยมือ” (Leave) ที่กลายเป็นซิงเกิลฮิตติดลมบน กับยอดคนดูบนยูทูปมากกว่าสองล้านวิวในช่วงเวลาไม่ถึงเดือน
จากเด็กหนุ่มจังหวัดสกลนครไกลปืนเที่ยงผู้กล้าเสี่ยงบนเส้นทางสายดนตรี และเพราะใจรักที่มุ่งมั่นอย่างไม่ยอม “ปล่อยมือ” จากเสียงเพลง ทำให้เขาก้าวขึ้นมายืนอยู่ท่ามกลางสปอตไลต์ที่ใครหลายคนนิยมชมชอบ...
เพราะชีวิตคือดนตรี
จึงไม่มีวัน “ปล่อยมือ”
"อันดับแรกผมคิดว่าน่าจะมาจากสายเลือด คือทางฝั่งของคุณแม่ คุณน้า หลายๆ ท่าน ท่านเล่นดนตรีเก่งมาก โดยเฉพาะคุณตา ท่านเป็นคนที่เล่นดนตรีพื้นเมืองได้หลากหลาย พวกแคน พิณ หวูด และเล่นเก่ง แต่ที่ผมอินจริงๆ คือตอนที่ผมได้เข้าวงโยธวาทิตตอน ป.5 ดนตรีชิ้นแรกที่เล่นตอนนั้นคือ “ทรัมเป็ต” ตอนที่เข้ามัธยมผมก็ใช้ดนตรีเป็นความสามารถพิเศษสอบคัดเข้าโรงเรียน จากนั้นก็เล่นลากยาวมา"
เจ้าของน้ำเสียงอารมณ์บาดลึก พูดถึงจุดเริ่มต้นของตัวเองก่อนที่จะเป็นที่รู้จักอย่างทุกวันนี้ ในคืนวันเก่าก่อนตอนนั้น จากเด็กเกือบ 100 คน สอบคัดเหลือเพียง 10 คน ก่อนที่ตัวเองจะได้ลำดับที่ 3 ของโรงเรียน สกลราชวิทยานุกูล ซึ่งเป็นโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดสกลนคร
"พอเข้ามาเรียนด้วยโควตา เพราะความที่เราเป็นเด็กเอนเตอร์เทน อยู่ๆ วันหนึ่งในคาบพบอาจารย์ที่ปรึกษา ครูเขาก็ให้ไปร้องเพลงหน้าชั้น ปรากฏว่าเพื่อนๆ นักเรียนด้วยกันเองมุงกันใหญ่ เต็มเลย (หัวเราะ) หลังจากนั้นวงเด็กนักเรียนในโรงเรียนก็มาชวนให้ไปร้องนำในวง ก็ไม่รู้ว่าเราร้องดีไม่ดีนะ อาจจะด้วยความสนุก เป็นอารมณ์นั้นมากกว่า เราก็เลยรู้สึกว่าเราอยากจะร้องเพลงให้เก่ง ก็เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้น ให้คิดว่าจะไปเรียนร้องเพลงอย่างจริงจัง แต่ว่าตอนนั้นที่จังหวัดสกลนครไม่มีคนสามารถสอนร้องเพลงได้ ก็เลยต้องไปเรียนกีตาร์แทน
"ตอนที่ไปเรียน ผมเป็นคนที่สมาธิสั้นมาก ครูเขาบอกให้ไล่นิ้วเฟรต 1-2-3 ไปจนถึงเฟรตสุดท้าย อยู่อย่างนั้น 10 นาที แต่ผมทำได้ไม่ถึง 2 นาที ผมหยุด คือผมทำได้แล้ว ผมเป็นคนประเภทที่พอทำอะไรได้ ผมก็อยากจะทำอย่างอื่นเลยทันที ไม่รอให้มันแน่นพื้นฐานก่อน จนครูเขาไม่สนใจ ถึงขั้นที่ครูเขาว่า แล้วแต่มึงเลย” (หัวเราะ)
ไม่ใช่สอนไม่ได้ ไม่รับฟัง แต่ต้องการที่จะก้าวกระโดดให้ไวตามประสาเด็กและนิสัย อาจารย์อีกคนจึงมีชื่อที่ใครหลายคนคุ้นเคยดีว่า "Youtube"
"ผมเบื่อ ผมเบื่อการที่จะต้องมาไล่ ผมทำได้แล้ว ผมก็เลยเปิดหนังสือคอร์ด ไหนดูซิว่าคอร์ดมันเป็นอย่างไร จับเอง ลองเล่นเอง ปรากฏว่าผมก็เล่นเป็นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จากความที่ครูเบื่อหน่าย จากนั้นก็ฝึกเองเล่นเองจาก youtube อันนี้เป็นอาจารย์ชั้นเลิศของผมเลย เพลงแรกที่เล่นคือเพลง “ก่อน” ของพี่วงโมเดิร์นด็อก เพลง “ฮันนีมูน” ของวงฟลัวร์ นี่คือเพลงแรกๆ ในชีวิตของผมเลย
"พอเริ่มเป็นกีตาร์ หัดไปเรื่อยๆ สักระยะร่วมปีสองปี ด้วยความที่เราเป็นคนเอนเตอร์เทนคนเป็น ช่วงประมาณ ม.5 ก็ได้รับโอกาสชักชวนให้ลองไปร้องเพลงกลางคืนดู ก็ลองไปขอคุณแม่ แต่ท่านไม่อนุญาต เพราะยังเด็กและเขากลัวเถลไถล เขากลัวเราจะติดยา เพราะว่าสังคมในยุคนั้น เรื่องตรงนี้มันเข้ามาเยอะ และด้วยความที่เขาเป็นข้าราชการทั้งคู่ เขาก็มองว่าการเต้นกินรำกิน คนทำงานกลางคืน มันจะเอาอะไรได้
"ตอนที่ผมเรียนชั้นมัธยมปลาย ผมเรียนสายวิทย์-คณิต คือคุณพ่อคุณแม่เขาอยากให้เรียนจบ ม.6 เขาก็ถามว่าจะไปอยู่เรียนอเมริกาเลยไหม เพราะน้าเขาไปเรียนแล้วได้แต่งงานอยู่ที่โน่น มีสามี มีลูก จากนั้นเขาเลิกกับแฟน เขาก็อยู่กับลูกเขาสองคน เขาก็อยากได้ผู้ชายไปอยู่ด้วย แล้วผมเป็นหลานผู้ชายคนโต เขาก็เลยคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว"
แต่ด้วยใจที่รักก็ไม่อาจสามารถทัดทาน หลังจบชั้นมัธยมปลาย ฟาร์มในวันวัยนั้นจึงเลือกตัดสินใจลองวัดอีกสักครั้ง แม้จะหนักหนากับการรับแรงกดดันทั้งของครอบครัวและการงานอาชีพที่ใหม่ อ่อนด้อยประสบการณ์
"ก็โดนหนักเหมือนกัน เพราะร้านวันสบายที่เราเล่น เจ้าของร้านคือวงอภิรมย์ ซึ่งเป็นวงดนตรีที่มีชื่อเสียง ส่วนวงที่เล่นที่ร้านก็เป็นวงที่มากประสบการณ์ แล้วเราเป็นเด็กที่เพิ่งเข้าไปใหม่ ไม่มีประสบการณ์ เล่นกีตาร์เอง ร้องคนเดียว ตอนนั้นยอมรับเลยว่ามีความกดดันเพิ่ม จากแต่เดิมที่บ้านไม่อยากสนับสนุนตรงนี้อยู่แล้วด้วย แต่ผมก็ค่อยๆ บีบตัวเองเรื่อยมา ฝึกหัดเอง หลบเสียงต้องทำอย่างไร ลูกคอต้องฝึกอย่างไร หยิบข้อดีของนักร้องคนนั้นคนนี้มาผสม
"แล้วผมก็โชคดีที่ผมได้ร้านที่ดี คือมีอยู่วันหนึ่ง เจ้าของร้านเขาบอกว่าให้เล่นเพลงช้าๆ เวลาคนกินข้าว เล่นเบาๆ เพลงเก่าๆ ช้าๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องซีเรียส พอดีมีฟีดแบ็กจากลูกค้าคนหนึ่ง เขาบอกว่าเพลงน่าเบื่อจังเลย ทำไมไม่เล่นให้มันเร็วกว่านี้ ผมก็ไปบอกพี่เขาว่าผมรู้สึกแย่มาก ผมต้องทำอย่างไร เขาบอกว่าไม่ยากเลย ทีหลังถ้าเขาบอกอย่างนี้ก็บอกไปว่า ถ้าอยากได้เพลงเร็วๆ ก็ไปร้านอื่นก็ได้ ร้านอื่นก็มี ที่เขาจะเล่นเร็วๆ สนุกๆ ไปนั่งร้านอื่นสิ แต่ถ้าเมื่อไหร่อยากฟังเพลงช้า ให้กลับมา
"เราได้ยินอย่างนั้นก็เหมือนกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้กล้าลองทำเป็นตัวของตัวเอง เพราะเขาเปิดประตูให้ผมได้ลองทำใหม่ๆ ไม่ต้องไปแคร์ ผมก็ยับเลย (หัวเราะ) เพลงเก่าๆ แปลกๆ เพลงล้ำๆ หรือเพลงตลาดๆ ผมจะเล่นในสไตล์ผมหมด คือเราไม่ชอบให้คนฟังรู้สึกว่าตอนนี้เรากำลังเล่นเพลงนี้อยู่ จากร็อกมาเล่นแจ๊สหรือปรับเป็นเวอร์ชั่นบอสซาโนว่าบ้าง ให้มันมีความแตกต่างไปเลยจากของเดิม ผมอยากให้คนดูรู้สึกว่ามันเซอร์ไพรส์ตลอด มันคือดนตรีทางเลือก มันเป็นของที่ฉันต้องขี่รถมา เพื่อมานั่งฟัง ฉันไม่สามารหาฟังได้ทั่วไป เปิดวิทยุก็ไม่มีฟัง ในส่วนนี้ด้วย
"คือต่อให้เจอเรื่องอะไรอย่างไร ผมไม่เคยคิดทิ้งเพราะผมคิดว่ามันเป็นส่วนประกอบสำคัญของชีวิต แต่ผมก็ไม่ซีเรียส หากจะทำตามสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่วางไว้ให้ ตอนนั้นพอผมจบ ม.6 ปุ๊บ ผมก็เลยกู้เงินท่านมา 15,000 บาท เพื่อใช้เป็นทุนในการเล่นดนตรีกลางคืน ผมลองไม่ขอตังค์คุณพ่อคุณแม่เลย คือก่อนหน้านั้นค่าเรียนในเรื่องดนตรี 1,500 บาท ผมก็หาเองตั้งแต่ ม.4 โดยการขายเสื้อผ้ามือ 2 แนวเด็กสเกตบอร์ด เอามาขายเพื่อนที่โรงเรียน จำได้ว่าประมาณเดือนกว่า ก็ใช้หนี้คืนเขาหมด ก็เล่นดนตรีไปเรื่อยๆ ประมาณปีหนึ่ง ผมก็มาได้เดอะวอยซ์ ทุกอย่างก็เลยพลิกหมด"
จากคนธรรมดาสู่ซัมบอดี้
มีวันนี้เพราะ “ประสบการณ์”
คิดได้ดังนั้น แม้ว่าหลังจากปล่อยของที่เป็นตัวของตัวเอง จะยังไม่มีใครนั่งรถเดินทางมาเพื่อฟังเพลงและดนตรีที่เขาเล่นโดยเฉพาะ แต่ก็ไม่หวาดหวั่น สู้ทำจนสำเร็จลุล่วง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก
"แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มีใครนั่งรถมาฟังผมนะ"
นักร้องหนุ่มว่าถึงชีวิตที่พลิกเมื่อสักครู่
"ตอนนั้นก่อนที่จะไปเดอะ วอยซ์ คนยังพูดกับผมเลยว่าจะไปจริงเหรอ อารมณ์ประมาณว่าพร้อมแล้วจริงหรือ ถ้าไปจะไม่เสียโอกาส เสียจังหวะ เสียค่าน้ำมันทิ้งไหม ขนาดค่าน้ำมันยังไม่คุ้มเลย ผมก็ร้องไห้เหมือนกันตอนนั้น แอบร้องหลายรอบเลย"
ฟาร์มว่า ถึง ณ เวลานั้นที่ความมั่นใจไม่เหลือ เพราะแม้กระทั่งเกลอรักเพื่อนสนิทยังบอกว่าเป็นไปไม่ได้
"หมดกำลังใจเลย เพราะท่าทางเพื่อนรักเราคือจริงจังมาก (หัวเราะ) เราถามว่าจะมีโค้ชหันมาไหม "เอาจริงๆ เลยนะเพื่อนรัก คิดว่าไม่มีว่ะ" แล้วก็หันกลับ ตอนนั้นโหย...ทุกอย่างแทบทรุด ก็เลยกะว่าจะมาคนเดียว ทั้งๆ ที่ตอนแรกก็แอบหวัง เพราะช่วงออดิชั่นคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันทั่วประเทศ ผมคัดที่จังหวัดนครราชสีมา คัดเอาจาก 9,000 คน เหลือ 100 กว่าคน ไปร้องสดให้เขาฟัง เขาจะมีเวลาให้เรา 2 นาที แต่ถ้าเอาจริงๆ ไม่ถึง ประมาณสัก 30 วินาทีได้ ก็คือ 1 ท่อนฮุก วันนั้นร้องเพลง “เธอกลับมาเพื่อหมุนเข็มนาฬิกาให้เดินกลับหลัง” ของวง Bandwagon ร้องจบปุ๊บ เขาก็บอกว่าพอๆ ไอ้เราก็ใจหาย (หัวเราะ) สงสัยไม่รอด
"แต่เขาก็บอกว่า ไหนลองร้องเพลงเร็วซิ ใจชื้นขึ้นมาหน่อย แสดงว่าเขาฟังเรา เขามองเห็นเรา เขาอยากเห็นเราอีกมุม ก็เลยเล่นเพลง “วอน” ของ เดอะ พีช แบนด์ (The Peach Band) จากนั้นก็ให้เราลองร้องเพลงสากล แล้วทีนี้ผมมีอยู่ปัญหาอย่างหนึ่งที่มันเป็นปัญหาใหญ่ของผมในตอนนั้นเลยก็คือ ปัญหาของรูปปาก ผมเป็นคนที่ร้องเพลงแบบหงุงๆ หงิงๆ ด้วยความที่ร้องกลางคืน ไม่มีใครคอยบอกให้เรารู้ตัวว่าต้องทำอย่างไรถึงจะถูกต้อง เราก็ร้องตามความเคยชิน กลายเป็นว่าขยับปากน้อย คำมันเลยรั่ว รั่วแล้วก็จะนัวไปหมด ฟังไม่รู้เรื่อง เขาก็ให้ผมร้องเพลงที่มันแสดงรูปปาก ก็เลยร้องเพลง “ความรู้สึกของวันนี้” ของวง Lomosonic สรุปแล้วได้ร้อง 4 เพลง ออกมาจากห้องปุ๊บ ผมได้ขึ้นไปสัมภาษณ์ชั้นที่ 2 ต่อทันที ตอนนั้นดีใจมาก ตื่นเต้นสุดๆ คือแค่ไม่ต้องติดก็ได้ เหยียบตรงนั้นผมก็ดีใจแล้ว"
เล่าถึงตรงนี้ แม้สีหน้าฟาร์มจะดูเพียงยิ้มแย้ม แต่แลดูมีรัศมีความสุขเปล่งออกมากกว่าเสียงหัวเราะก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด เพราะเป็นบันไดอีกขั้นที่เชื่อม ความสัมพันธ์ครอบครัว ความหวังยังคงเป็นจริงอีกด้วย
"พอวันประกาศผล เขาประกาศตอน 3 ทุ่ม เป็นเวลาช่วงเดียวกับที่ผมพักเบรกเล่นดนตรีที่ร้าน ก็เข้าไปเช็ก ผมดันจำเลขตัวเองไม่ได้ มันต้องกรอกทั้งชื่อ-นามสกุล แล้วเลขประจำตัว ผมจำเลขไม่ได้ ผมก็เลยกรอกแค่ชื่อไป แล้วมันขึ้นมาว่าขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ คุณไม่ผ่านเข้ารอบออดิชั่น ขอบคุณที่ร่วมสนุกค่ะ...
"ก็นิ่งไปหลายนาที จนได้สติคิดว่ามันอาจจะยังใส่ไม่ครบก็ได้ ก็รีบโทร.หาคุณพ่อเลย ให้หาเลขประจำตัวให้หน่อย ใจก็เสีย ไม่รู้เก็บไว้ตรงไหน บังเอิญคุณพ่อจำได้ถ่ายรูปเราไว้ในโทรศัพท์ ท่านก็บอกรหัสมา ตอนแรกมันขึ้นตัวหนังสือสีแดงว่าขอแสดงความเสียใจใช่ไหม แต่พอกรอกเสร็จยังไม่ทันอ่านครบ เห็นตัวหนังสือสีเขียวเท่านั้นแหละ ผมร้องลั่นร้าน โทร.บอกคุณพ่อคุณแม่รีบกลับไปบ้าน นั่งคุยกันว่าโค้ชจะหันมาไหม จะไปอย่างไร ขับรถกันไปเองหรือว่านั่งเครื่องกันไป ก็นั่งมโนกันทั้งบ้าน ความสัมพันธ์เราก็เหมือนกลับมาเชื่อมต่อกัน คือเราอาจจะทำให้ท่านเห็นแล้วว่าเราไม่เป็นอย่างที่ท่านคิดแน่"
นั่นจึงทำให้หลังจากนั้น แม้ว่าจะมีข้อบกพร่องความไม่สมบูรณ์ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะไม่ได้ร่ำเรียนอย่างเต็มที่ จึงต้องศึกษาเพิ่มพูนด้วยตัวเองและอาศัยประสบการณ์ กระนั้น หนุ่มน้อยจากสกลนครก็ไม่มองเป็นอดีตที่ขาดเหลือ ซ้ำยังขอบคุณคืนวันเหล่านั้นที่ทำให้มีวันนี้ อัตลักษณ์และอารมณ์น้ำเสียงที่ไม่เหมือนใคร
"เพราะผมเป็นผมได้ทุกวันนี้ ผมต้องใช้เวลาตกตะกอน ที่ต้องใช้คำนี้ เพราะด้วยการที่คนเราจะเป็นเอกบุคคลได้ เกิดมาจากการที่คนเราไปรับสภาพแวดล้อมโดยรอบจากตั้งแต่เกิดจนวันล่าสุดของชีวิตของตัวเอง คือด้วยความที่สมัยเด็กๆ ผมเป็นคนไม่ค่อยได้รับความสนใจจากคนรอบข้างสักเท่าไหร่ เหมือนเป็นเด็กธรรมดา ฟู่...แล้วก็หายไป สักพักก็กลายเป็นเงา แล้วพอเป็นอย่างนั้น ผมก็จะปลีกตัวเองออกมา ก็เลยทำให้เป็นคนที่ต้องทำอะไรมาคนเดียวตลอด เจอปัญหาก็จะเงียบ จะไม่บอกใคร เพราะรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่ต้องให้คนอื่นมารับรู้เรื่องของเรา ให้เขารับรู้เรื่องของเราในส่วนที่มันดีๆ ดีกว่า จะมารับรู้ในส่วนที่แย่ทำไม ปัญหาก็ปัญหาเรา ไม่ใช่ปัญหาเขา และคนอื่นเขารับรู้ไป เขาจะรู้สึกดีไหม ก็ไม่ สู้ให้เขาเห็นภาพดีๆ เห็นภาพตลกๆ ของเราดีกว่า เราก็ทำตลกกลบเกลื่อนไป ก็เป็นคนนิสัยแมนๆ ยืดอกรับคนเดียวแล้วก็จุก"
"แต่สิ่งหนึ่งซึ่งผมยึดไว้เป็นหลักให้ชีวิตก็คือ ผมจะทำให้ทุกคนมีความสุข เพราะมันคือสิ่งที่ผมชอบ ชอบทำให้คนอื่นหัวเราะ ชอบทำให้คนอื่นยิ้ม"
ฟาร์มว่า ก่อนจะเล่าต่อถึงไอดอลที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตดนตรี
"ผมฟัง 'เอมี่ ไวน์เฮาส์' มีอิทธิพลมากทั้งเรื่องเพลงและชีวิต คือถ้าใครรู้ประวัติเขา จะรู้ว่าเขาเป็นผู้หญิงที่เก่ง เป็นคนที่เจอโลกมาหนักมาก บางทีทุกสิ่งทุกอย่างถ้าจะได้มามันก็ต้องแลกกัน คนแบบเอมี่ ถ้าถามว่าเขามีความสุขไหม เขาเป็นคนที่มีความสุข แต่กว่าเขาจะผ่านมาถึงความสุขมาได้จนถึงช่วงที่เขาจากไป เขาเป็นคนที่ไม่มีความสุขเลย เจอแต่เรื่องร้าย เรื่องแย่ๆ ถ้าถามว่าให้คุณแลก คุณแลกไหม คุณไม่แลกหรอก อยู่เฉยๆ ไม่ดีกว่าเหรอ
"แต่บางที คนเรามันไม่สามารถระบุได้หรอกว่าอะไรกันแน่คือสิ่งที่ตัวเองต้องการ เขานี่เป็นคนที่คนอื่นกล่าวถึงว่าเขาเป็นนักร้องแจ๊สจริงๆ ในยุคนี้ เพราะด้วยความที่แจ๊สเป็นดนตรีที่ลื่นไหล เอมี่ก็เหมือนกัน เขาเป็นคนที่ลื่นไหลมาก ไปตรงไหนก็แล้วแต่ จะสละสลวยสวยงาม มันไม่ได้ดูสวยงามแบบธรรมดา มันดูสวยงามแบบพลุ มีความสดใสแปลกใหม่อยู่เรื่อย เราเห็นว่าพลุลูกนั้นมันเป็นดวงไฟสีแดง แต่ไม่รู้หรอกว่า พอมันแตกออกมา มันจะแตกเป็นรูปลักษณ์อะไร"
..."ผมฟังแจ๊สและชอบเพลงไทย ร้องเพลงลูกทุ่งได้ แต่ชอบดนตรีฝรั่ง"
ฟาร์มยังเล่าถึงวินาทีที่มาเลือกเพลงในวันเข้าประกวดรอบแรกอันเป็นที่มาของเพลง 'สีเทา' ที่ออกใบแจ้งเกิดให้เป็นที่รู้จักและมีแฟนคลับติดตามมาจนถึงทุกวันนี้
"คือตอนมาเลือกเพลงเพื่อร้องในรายการ เลือกตั้งนาน จากที่เขาให้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ผมปาเข้าไปชั่วโมงครึ่ง ก็โดนพี่ต๋อง 7th scene ด่าเลย พี่วุฒิ พี่ชัด The Begins เขาเป็นมิวสิกไดเรกเตอร์ บอกให้เราอ้าปากกว้างๆ ออกเสียงคำให้ชัดๆ พอกลับมาบ้าน ผมก็ไปหาอาจารย์ต้อม เพลงพิณ แกเป็นผู้ใหญ่ทางสายดนตรีที่บ้าน ท่านคือคนที่ผมไม่พูดถึงไม่ได้เลย ในเรื่องการฝึกรูปปากให้ชัด ท่านก็พรินต์กระดาษให้ผมมาแผ่นหนึ่ง รูปแบบการฝึกก็จะฝึกรูปแบบการใช้ปาก อา อู อ่า การใช้ท้อง การฝึกการใช้ปอด ฝึกไล่โน้ต แทบจะยกเครื่อง
"หรืออย่างตอนที่มีชื่อเสียง หลังจบเวทีเดอะ วอยซ์แล้ว ถือเป็นความสูงสุดในชีวิต ณ ตอนนั้น มีงานเดือนละกว่า 20 งานต่อเดือน และเคยไม่มีตังค์เหลืออยู่เลย ในระยะเวลาแค่ 6 เดือน ผมเคยอยู่ทั้งจุดที่สูงของชีวิตตัวเองและต่ำที่สุดของชีวิตตัวเอง ก็เลยกลายเป็นว่าผมต้องนั่งคิดตลอดเวลาว่าสิ่งที่ผ่านไปมันคืออะไร ผมไม่เคยคิดว่า เราคือศูนย์กลางจักรวาล ผมเลยรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการบนเส้นทางสายนี้ เชื่อว่าคนที่เข้ามาใหม่ทุกคนจะต้องไขว้เขวว่า ต้องการอะไร เงิน ความสุข เพื่อนฝูง ชื่อเสียง
"เงินกับชื่อเสียงนี่เป็นตัวดึงดูดความสุขผมไปหมดเลย ผมเล่นดนตรีจนผมรู้สึกว่าเฮ้ยทำไมเราไม่มีความสุขเลย ทำไมยิ่งเล่นไปยิ่งแย่ ทำไมยิ่งเล่นยิ่งรู้สึกเครียดทุกครั้ง รู้สึกไม่ดี ทั้งๆ ที่ก่อนเราเล่น เราไม่ได้สนใจคนเลย แต่เราแค่มีความสุขทุกครั้งที่เขายิ้มให้เรา มันหายไปไหน ก็นั่งคิดทบทวน จนไปเจอคลิปคลิปหนึ่ง เขาเล่นดนตรีกันสองคน เป็นชาว Rasta
("Rasta" หรือ "Rastafari" เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่หลงใหลในลัทธิ Rastafarianism Rasta ซึ่งเป็นลัทธิและปรัชญาความเชื่อหนึ่งที่มีอดีตจักรพรรดิ ไฮลี เซลาซซี (Haile Selassie) แห่งเอธิโอเปียเป็นองค์ศาสดา แต่ลัทธินี้มีต้นกำเนิดในประเทศจาเมกา ในหมู่ชนชั้นแรงงาน ชาวไร่ ชาวนา คนผิวดำ ในยุคปี 1930 ผู้ที่นับถือมีความเชื่อว่าอดีตจักรพรรดิ ไฮลี เซลาซซี แห่งเอธิโอเปีย คือพระเจ้าที่จุติมาเกิดเป็นมนุษย์ ที่จะมาปลดปล่อยคนแอฟริกันและคนดำจากความเป็นทาส และนำพวกเขาไปสู่ความยุติธรรมในสังคม ด้วยเหตุนี้เองเราจึงเห็นชาว rasta หรือผู้ที่หลงใหลดนตรีเร็กเก้ ชอบใช้สีเขียว เหลือง แดง เป็นส่วนประกอบของเครื่องแต่งกายจากสีของธงชาติประเทศเอธิโอเปีย) ที่มา : pimkha.blogspot.com
คนหนึ่งร้องคนหนึ่งเพอร์คัตชัน อัดเสียงไปเรื่อยๆ เลยทำให้เหมือนกับเล่นเต็มวง ทุกอย่าง นี้แหละคือสิ่งที่ขาด มันทำให้เราคิดว่า บางที ความสุข ความชอบ จินตนาการ ถ้ามันหายไป ชีวิตเราจบเลย เพราะด้วยความที่มนุษย์เราไม่สามารถจะดำรงชีวิตได้โดยใช้ความกังวล ความกลัว หรือใช้ความเครียดเป็นตัวขับเคลื่อน เพราะยิ่งขับ มันยิ่งแย่เรื่อยๆ มันต้องขับไปด้วยความสุขจะดีกว่า ผมก็เลยเปลี่ยนวิธีการคิด มีวันนี้ได้ก็ด้วยประสบการณ์
"คือมันอาจจะมะรุมมะตุ้มแล้วรวมกันลงมา เหมือนเราชอบอะไร เราก็หยิบจับมัน ก็เลยกลายเป็นอย่างนี้ จนวันหนึ่งผมมาทะลุถึงตรงนี้ได้ ผมคิดว่าทั้งนี้ทั้งนั้นมันเกิดมาจากเราทุกคนว่าเราอยากจะไปถึงแค่ไหนมากกว่า คือหลักๆ ที่ทำให้ผมเป็นผมทุกวันนี้ได้ น่าจะมาจากเรื่องของประสบการณ์ จะคอยบอกคอยสอนเราว่า ควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร มันหล่อหลอมมาตรงนี้แล้วค่อยๆ ตกตะกอนเรื่อยๆ"
ความน่าสนใจ การเป็นเอกบุคล
ทำให้เรายังคงอยู่ได้
ท่ามกลางกระแสตอบรับที่เรียกได้ว่าถล่มทลาย ตั้งแต่บทเพลง “สีเทา” ในรอบการประกวด กระทั่งล่วงเลยข้ามปีมาถึงซิงเกิลแรกของตัวเองในเพลง "ปล่อยมือ” (Leave) ที่ก็ยังคงได้รับการตอบรับ สำหรับศิลปินรุ่นใหม่ในยุคที่กระแสไปไวมาไว อะไรที่จะทำให้เราคงอยู่อย่างนี้ได้
"คือใครมองว่าง่าย แต่จริงๆ มันไม่ง่ายเลย กล้าบอกได้เต็มปากว่าไม่ง่าย ผมมีความสุขแค่ได้ทำในสิ่งที่รักคือการร้องเพลง นอกนั้นชีวิตหนักล้วนๆ ด้วยความที่มันง่ายไปหมด อยู่ที่ปลายนิ้ว เวลาไปก็เลยไปง่ายๆ เพราะมันไม่มีความน่าสนใจและมันไม่มีจุดดึงความสนใจ ผมไม่แปลกใจเลยที่มันเป็นอย่างนั้น เพราะเราต้องมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีขั้นมีตอนมีระบบของมัน เราไปตัดทอน มันก็ไม่แปลกเลยที่ระยะเวลามันจะหมดเร็ว เหมือนการปลูกต้นไม้ เราไม่มีทางจะไปเร่งมันให้โตได้หรอก ถ้าไปเร่งไปใส่ปุ๋ยคิดว่ามันจะอยู่กับเราได้นานหรือสู้เราปล่อยให้เขาโตไปเรื่อยๆ เป็นธรรมชาติจะดีกว่า
"แล้วสำหรับวงการเพลงไทยที่ผมมองในตอนนี้ ทุกสิ่งอย่างโดนตัดทอน อย่างในสมัยก่อน ทำไมวงแต่ละวงถึงดังจัง แถมดังนาน 10-20 ปี นึกถึงอารมณ์สมัยฟังเทปคาสเสตต์ แล้วเราแกะกระดาษที่อยู่ในกล่องเทปมานั่งอ่าน เนื้อร้องทำนองเพลงนี้ใครเขียน ใครแต่ง อ่านจนกระทั่งคำขอบคุณ มันก็จะเกิดความน่าสนใจที่ทำให้คนมันเข้าถึงตัวศิลปินมากขึ้น มันเป็นตัวหนึ่งเลยที่ทำให้รู้จักศิลปินเขาคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
"เพราะแน่นอนว่า เราล้วนต้องเคยมีโมเมนต์ว่าเพลงดี แต่เราไม่ชอบนักร้อง เราจะรู้สึกว่าถ้าอะไรที่เราไม่ชอบในตัวคนนี้ ต่อให้ทำอะไร เราก็ไม่ชอบอยู่ดี เพราะผมไม่ชอบคุณตั้งแต่ต้น มันก็เป็นเหมือนกัน ผมไม่รู้จักคุณตั้งแต่ต้น ผมรู้จักแค่ผลงานเพลงคุณ ผมก็เสพแค่ผลงานเพลงคุณ ผมไม่จำเป็นต้องรู้จักคุณก็ได้ พอคืนวันผ่านไป เพลงใหม่เข้ามา เขาก็กลายเป็นลืมไป ด้วยความที่มันง่าย ได้มาง่ายๆ เวลาไปก็ไปง่ายๆ เพราะมันไม่มีความน่าสนใจ และมันไม่มีจุดดึงความสนใจ อะไรๆ ก็อยู่ที่ปลายนิ้ว เราสามารคลิกหาได้เลย"
นักร้องหนุ่มสรุปทัศนะส่วนตัวและถ้าถามว่าอะไรคือสิ่งที่คิดว่าทำให้คงอยู่ได้ในฐานะคนดนตรีรุ่นใหม่อย่างเขา "คือการที่คุณเป็นคนเดียวในโลก"
"คือถ้าคุณเป็นคนเดียวในโลก มันไม่มีของมาทดแทนคุณได้อย่างไร โลกก็ต้องการคุณ แม้ว่าตอนนี้ตัวผม ผมอาจจะถือว่าประสบความสำเร็จ คือมีซิงเกิลของตัวเอง คือการที่ผมร้องเพลงแล้วให้คนอื่นมองเห็น ให้คนอื่นรู้สึก ให้คนอื่นมีความสุขในเพลงที่ผมร้อง ผมประสบความสำเร็จตั้งแต่เดอะ วอยซ์
"ชีวิตผมเอาจริงๆ ผมอยากจะเป็นแบบ พี่ธีร์ ไชยเดช พี่บอย โกสิยพงษ์ ที่ทำเพลงออกมาเรื่อยๆ แล้วคนรู้ว่าคือเรา ยังมีกลุ่มคนที่เสพเราอยู่ เป็นเอกบุคคลจริงๆ มันอาจจะยาก แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่มันทำได้คือทำทุกวัน ทำให้เป็นคุณทุกวัน ไม่ต้องไปประดิษฐ์ คุณไม่ต้องไปสนใจหรอกว่าคนเขาจะด่าหรือว่า มันเป็นอย่างไรหรือควรจะทำอย่างไร เพราะทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่มันออกมาจากมือคุณ นั่นคือออกมาจากตัวคุณ"
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : พลภัทร วรรณดี