xs
xsm
sm
md
lg

คดีซ้อมให้รับสารภาพสมัย ร.๑ ลูกนายกฯกรุงศรีอยุธยาปางตาย เรื่องกลับโอละพ่อ!!!

เผยแพร่:   โดย: โรม บุนนาค

ปืนใหญ่นารายณ์สังหารที่หน้ากระทรวงกลาโหม
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีผู้ร้ายใจกล้าบังอาจขโมยพานทองสำหรับรองชุดจุดพระโอสถ (บุหรี่) ไปจากท้องพระโรงพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ซึ่งคดีนี้ได้กลายเป็นอุทาหรณ์อย่างดีสำหรับการสอบสวนคดีตามจารีตนครบาลแบบโบราณ ที่ใช้วิธีทารุณกรรมบีบบังคับให้จำเลยรับสารภาพ เหมือนวิธีซ้อมผู้ต้องหาของยุคนี้

เหตุเกิดเมื่อเดือน ๑๑ แรม ๘ ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๘๔ (พ.ศ.๒๓๓๐) อันเป็นปีที่ ๕ ในรัชกาล เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับมาจากพระราชดำเนินไปพระราชทานกฐิน แล้วกลับมาประทับที่ท้องพระโรงพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ทรงพบว่า พานทองที่รองชุดจุดพระโอสถได้หายไป จึงทรงรับสั่งให้ พระยาธรรมาธิเบศร์บดี จางวางกรมมหาดเล็ก เป็นตระลาการชำระความเรื่องนี้

พระยาธรรมาฯได้เรียกมหาดเล็กห้องเครื่องทั้งหมดมาไต่สวน แต่ก็ไม่มีใครยอมรับหรือรู้เห็น ได้ความแต่ว่ามีผู้เห็น “นายบุญมีอังกฤษ” ซึ่งเข้าเฝ้าอยู่ด้วย ออกจากพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานเป็นคนหลังสุด

“นายบุญมีอังกฤษ” มีชื่อว่า บุญมี เป็นบุตรของเจ้าพระยาจักรี (ครุฑ) อัครมหาเสนาบดีที่สมุหนายกในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศครั้งกรุงศรีอยุธยา มาถวายตัวเป็นมหาดเล็กหลวงในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทำหน้าที่สมุหบัญชีกรมมหาดเล็กเวรศักดิ์ นายบุญมีเป็นคนที่มีรูปร่างสูงระหง ผิวขาวเกลี้ยงเกลา ดูคล้ายชาวอังกฤษ คนทั่วไปจึงเรียกกันว่า “นายบุญมีอังกฤษ”

ด้วยเหตุที่มีผู้เห็นนายบุญมีออกจากพระที่นั่งฯเป็นคนหลังสุด พระยาธรรมาฯจึงเรียกตัวนายบุญมีมาไต่สวนที่ศาล สงสัยว่าจะเป็นผู้ร้ายใจกล้ารายนี้

นายบุญมียืนยันหนักแน่นว่าไม่ได้เป็นคนเอาไป ทั้งตอนที่ออกจากพระที่นั่งก็มีคนหลายคนเห็นเป็นพยานได้ พระธรรมาฯขุ่นเคืองที่นายบุญมีเถียงแข็งขัน จึงสั่งให้ผู้คุมใส่ตรวนเหล็กนายบุญมีถึงสองชั้นแล้วสอบสวนต่อ นายบุญมีก็ให้การยืนยันตามเดิม พระยาธรรมาฯก็สั่งให้เอาตัวนายบุญมีไปผูกติดหลักไม้ แล้วเฆี่ยนหลังตามจารีตนครบาล ถึงขั้นนี้นายบุญมีคนผิวขาว ลูกชายอดีตสมุหนายกกรุงศรีอยุธยา ก็ทนความเจ็บปวดไม่ได้ จำใจต้องรับว่าเป็นคนลักพานทองไป

เมื่อนายบุญมีรับสารภาพ พระยาธรรมาฯก็สั่งให้เฆี่ยนอีก ๕ ทีแล้วให้บอกที่ซ่อนพานทอง นายบุญมีกลัวว่าถ้าไม่บอกก็โดนเฆี่ยนอีก ก็เลยโบ้ยส่งไปว่าเอาไปซ่อนใต้กองเสาเรือนที่บ้าน

พระยาธรรมาฯสั่งให้พาตัวไปค้นหาของกลาง เจ้าหน้าที่ไปค้นกองเสาไม้ก็ไม่พบ จึงรายงานศาลว่า

“ไอ้ผู้ร้ายมันใจแข็ง ไม่บอกที่ซ่อนจริง”

นายบุญมีเลยเจอชุดใหญ่ แล้วยังโดนตบต่อยด้วยรองเท้าไม้อีก ถึงขั้นสติเลื่อนลอย จึงให้การไปว่าเอาพานทองชุดนั้นไปฝากไว้กับ อำแดงยิ้มภรรยา

อำแดงยิ้มจึงตกเข้ามาในบ่วงทารุณกรรมเช่นเดียวกับสามีด้วยอีกคน จนทนความเจ็บปวดไม่ได้ ก็เลยใช้วิธีเดียวกับนายบุญมี โบ้ยส่งว่าเอาพานทองไปขายแถวโรงครก

เจ้าพนักงานคุมตัวอำแดงยิ้มไปแถวโรงครก ให้ชี้ตัวคนที่รับซื้อพานทองไว้ อำแดงยิ้มก็ไม่ยอมชี้ผู้ใด เจ้าพนักงานจึงคุมตัวกลับมาเฆี่ยนต่อที่ศาล พออำแดงยิ้มทนเจ็บไม่ไหว ก็โบ้ยส่งอีกว่าเอาไปขายที่โน่นที่นี่ พอให้รอดตัวจากการถูกเฆี่ยนไปคราวๆเท่านั้น

สอบสวนสลับเฆี่ยนอยู่เช่นนี้หลายวัน จนสองสามีภรรยาเจ็บหนักพูดจาไม่เป็นภาษาคน พระยาธรรมาฯเห็นว่าสอบไปก็ไม่ได้เรื่อง จึงให้เอาตัวไปขังไว้ ทุเลาเมื่อไรค่อยเอามาสอบต่อ

ตอนนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ มีรับสั่งให้เจ้าพนักงานหล่อปืนทองเหลืองขึ้นหลายกระบอก เพื่อเอาไว้ป้องกันพระนคร รวมทั้ง“นารายณ์สังหาร” ปืนขนาดใหญ่ซึ่งหล่อขึ้นคู่กับ“พญาตานี” ที่ได้มาจากเมืองปัตตานี จึงมีการเกณฑ์ทองเหลืองจากข้าราชการทั้งวังหลวงวังหน้า ตามอัตราเบี้ยหวัดมากน้อย บรรดาเหล่าข้าราชการที่นำทองเหลืองมาส่งนั้น มี นายมา มหาดเล็กเวรฤทธิ์ ซึ่งมีเบี้ยหวัดสิบสองตำลึง จะต้องส่งทองเหลืองสิบชั่ง นายมาได้นำกระโถนทองเหลืองที่บุบบู้บี้มาส่ง เจ้าพนักงานผู้รับก็ลงบัญชีไว้

ขณะนั้น หลวงพิพิธภูษา เจ้าพนักงานกรมภูษามาลา สังเกตเห็นว่ากระโถนปากแตรของนายมา แม้จะถูกทุบให้บุบบู้บี้แล้ว ก็ยังพอดูออกว่าไม่น่าจะเป็นกระโถนของคนสามัญ และจำได้ว่าเป็นกระโถนหลวงในท้องพระโรงที่หายไปหลายเดือนแล้ว หลวงพิพิธฯจึงร้องให้ตำรวจจับนายมามหาดเล็กไว้ ในข้อหาขโมยกระโถนหลวงไปจากท้องพระโรงพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน และนำตัวไปส่งเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์

นายมาปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นผู้ขโมย แต่ได้ซื้อมาจากคนๆหนึ่ง เมื่อตระลาการให้ชี้ตัวคนที่ขายให้ นายมาก็ชี้ส่งเดช ผู้คุมนำตัวไปไม่พบซักราย นายมาถ่วงเวลาอยู่หลายวัน จมื่นภักดีองค์เห็นว่าไม่ได้ความแน่จึงรายงานเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ เจ้าพระยาธรรมาฯจึงบัญชาให้ทำการสอบสวนตามจารีตนครบาล คือการทารุณแบบที่นายบุญมีกับอำแดงยิ้มได้รับ

พอเจ้าหน้าที่นำตัวนายบุญมาไปผูกหลักคาเตรียมเฆี่ยน นายมาก็รับสารภาพแต่โดยดีว่า เป็นคนลักกระโถนปากแตรทองเหลืองไปจากท้องพระโรง ๒ ใบ ทุบให้แบน ๑ ใบ คือใบที่เอามาส่งให้หลอมทำปืนใหญ่ ส่วนอีกใบยังอยู่ในสภาพเดิมซ่อนไว้ในยุ้งข้าวที่บ้าน และเมื่อตระลาการให้ผู้คุมนำตัวนายมาไปค้นยุ้งข้าว ก็ได้ของกลางมาตามคำสารภาพ เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์จึงนำความขึ้นกราบทูลฯ ทรงมีพระราชดำรัสว่า

“อ้ายมาลูกอ้ายเพชร เป็นคนมือไวใจเร็ว ขี้ลักขี้ขโมย เลี้ยงเป็นมหาดเล็กเด็กชาไม่ได้ พานพระชุดของข้าหายไปนานแล้ว บางทีจะเป็นอ้ายมาลักขโมยไปบ้างดอกกระมัง”

เมื่อทรงรับสั่งเช่นนี้ เจ้าพระยาธรรมาฯจึงบัญชาให้ตระลาการชำระความนายมาเรื่องพานทองรองพระชุดด้วยอีกคดีหนึ่ง ครั้งนี้เมื่อตระลาการซักถามโดยละม่อม นายมาก็สารภาพแต่โดยดีว่า

“พานทองคำรองพระชุดนั้น เกล้ากระผมลักเอาไปเอง ทุบบี้แบนแอบซ่อนไว้ในห่อผ้า ให้บ่าวถือออกจากพระราชวังหลวง เมื่อถึงบ้านจึงตัดออกเป็นสองท่อนเล็กๆ นำเนื้อทองคำไปขายเสียครึ่งหนึ่งแล้ว เดี๋ยวนี้ยังมีเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง”

ตระลาการให้ตำรวจวังพานายมาไปชี้ที่ซ่อนพานทองพระชุด ก็พบตามที่นายมาให้การไว้จริง จึงทรงให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนหลังอ้ายมา ๖๐ ที แล้วส่งตัวเข้าคุกไป

เมื่อคดีพานทองรองพระชุดโอละพ่อเช่นนี้ ทรงมีพระราชดำรัสถึงนายบุญมีและอำแดงยิ้มภรรยาว่า

“ตระลาการชำระความเรื่องอ้ายบุญมีอังกฤษ สงสัยว่ามันขโมยเอาพานทองคำรองพระชุด การที่ชำระครั้งนั้นหาเป็นความยุติธรรมไม่ เพราะใช้อำนาจจารีตนครบาลเฆี่ยนตีตบติดไม้อ้ายบุญมีอังกฤษ กับอียิ้มภรรยาอ้ายบุญมีอังกฤษด้วยกันทั้งสองคนผัวเมีย จนป่นปี้ยับเยินเกือบเจียนตายเพราะไม้หลายขื่อคาโซ่ตรวน เฆี่ยนตีตบต่อยไม่ใช่น้อย อ้ายอีสองคนผัวเมียทนอาญาข่มขี่ไม่ได้ก็ต้องรับเปล่าๆ ของกลางก็ไม่ได้ปรากฏว่าเป็นขโมยจริง คิดไปก็น่าสังเวชสงสารมันทั้งสองผัวเมีย”

ด้วยทรงพระกรุณาสังเวชอ้ายบุญมีอังกฤษและภรรยาเช่นนี้ จึงทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นายบุญมีเลื่อนขั้นขึ้นเป็น นายไชยขรรค์ มหาดเล็กหุ้มแพร ทั้งพระราชทานทำขวัญคนทั้งสองเป็นเงิน ๕ ชั่ง อีกทั้งยังพระราชทานเรือนที่ยึดมาจากอ้ายทองมุก ผู้กระทำเงินปลอมต้องโทษริบราชบาตรบ้านเรือนเป็นของหลวงนั้น ให้เป็นของนายไชยขรรค์ หุ้มแพรด้วย ซึ่งบ้านหลังนี้อยู่ตรงที่เป็นโบสถ์วัดมหรรณพาราม ถนนตะนาว ในปัจจุบัน

การรับเคราะห์กรรมแสนสาหัสของนายบุญมีอังกฤษครั้งนี้ ก็เสมือนเป็นการสะเดาะเคราะห์ครั้งใหญ่ เพราะหลังจากที่ได้รับพระราชทานทำขวัญเป็นเงินตราและบ้านแล้ว ตำแหน่งหน้าที่ราชการก็ก้าวหน้ามาเป็นลำดับ จนสุดท้ายในรัชกาลที่ ๒ ทรงโปรดเกล้าฯเป็น พระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร
นางพญาตานี
กำลังโหลดความคิดเห็น