ปัจจุบัน กรุงเทพฯของเราขึ้นอันดับเป็นมหานครแห่งหนึ่งของโลกแล้ว มีประชากรจากการสำรวจในปลายปี ๒๕๕๗ ถึง ๕,๖๒๔,๗๐๐ คน และยังมีคนที่อยู่อาศัยโดยไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎร กับคนจากปริมณฑลที่เข้ามาทำงาน รวมทั้งนักท่องเที่ยวซึ่งเห็นอยู่ทั่วไปอีก แต่ละวันกรุงเทพมหานครจึงมีผู้คนขวักไขว่เกินกว่า ๑๐ ล้านคนขึ้นไปมาก
กรุงเทพฯยังสร้างเรื่องเหลือเชื่อไว้ด้วยว่า เป็น “เมืองท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในโลก” หรือ World’s Best City Award โดยได้รับรางวัลนี้มาตั้งแต่ปี ๒๕๕๓-๒๕๕๖ ถึง ๔ ปีซ้อน จาก เทรเวล แอนด์ เลชเชอร์ (Travel+Leisure) นิตยสารท่องเที่ยวยอดนิยมของสหรัฐอเมริกา
ในสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา กรุงเทพฯยังเป็นเพียงหมู่บ้านที่เรียกกันว่า “บางกอก” มีชื่อเสียงทางด้านปลูกผลไม้
ในแผนที่และเอกสารของชาวตะวันตก ปรากฏชื่อเขียนต่างๆกัน เช่น Bancoc , Bancok , Banckok , Bankoc , Banckock , Bangok , Bancocq , Bancock ส่วนคำว่า Bangkok เป็นคำที่สังฆราชฝรั่งเศสใช้เขียนรายงานไปยังสำนักงานใหญ่ที่กรุงปารีสเป็นประจำ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระอักษรไปถึงพวกฝรั่งก็ทรงใช้คำนี้ จึงถือเป็นคำทางการตลอดมา
บางกอก เคยเป็นที่ตั้งของด่านภาษี ซึ่งพ่อค้าชาวฮอลันดาได้บันทึกไว้เมื่อปี ๒๑๖๐ - ๒๑๖๑ ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม กล่าวถึงบางกอกไว้ว่า
“จากปากน้ำเข้าไป ๕ ไมล์ เป็นที่ตั้งของเมืองล้อมรอบด้วยกำแพงมีชื่อว่า บางกอก ณ ที่นี่เป็นที่ตั้งของด่านภาษีแห่งแรก เรียกว่า ขนอนบางกอก (Canen Bangkok) ซึ่งเรือและสำเภาทุกลำไม่ว่าจะมาจากชาติใดก็ตาม จะต้องหยุดจอดทอดสมอ และแจ้งให้ด่านนี้ทราบก่อนว่าจะเข้ามาเพื่อจุดประสงค์อันใด...”
ลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ได้บันทึกไว้ในจดหมายเหตุว่า
“สวนผลไม้ที่บางกอกนั้นมีอาณาบริเวณยาวไปตามชายฝั่งแม่น้ำ โดยทวนขึ้นไปสู่เมืองสยาม (หมายถึงกรุงศรีอยุธยา) ถึง ๔ ลี้ กระทั่งจรดตลาดขวัญ ทำให้เมืองหลวงแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลาหารซึ่งคนพื้นเมืองชอบบริโภคกันนักหนา”
สมัยกรุงธนบุรี สวนผลไม้ของบางกอกได้ขยายไปถึงตำบลบางช้าง สมุทรสงคราม ถิ่นกำเนิดของสมเด็จพระอมรินทรา ราชินีในรัชกาลที่ ๑ มีคำพูดกันว่า “สวนในเรียกบางกอก สวนนอกเรียกบางช้าง” และยังแบ่งเป็น “บางบน” กับ “บางล่าง” โดยอยู่เหนือพระราชวังก็เรียก “บางบน” อยู่ใต้ลงไปเรียก “บางล่าง”
ผลไม้ของบางกอกฝั่งธนบุรีมีรสชาติขึ้นชื่อเป็นย่านๆ เช่น ทุเรียนบางบนมีรสมันมากกว่าหวาน ทุเรียนบางล่างมีรสหวานมากกว่ามัน มะปรางท่าอิฐ เงาะบางยี่ขัน ลิ้นจี่บางอ้อ ขนุนบางล่าง ลำไยบางน้ำชน กระท้อนคลองอ้อม ฝรั่งบางเสาธง เงาะ-ลางสาดคลองสาน ละมุดสีดาราษฎร์บูรณะ ส้มเขียวหวานบางมด สวนฝั่งตะวันออกแถวตรอกจันทร์ ถนนตก ก็ขึ้นชื่อเรื่องลิ้นจี่และลำไย
ที่น่าแปลกใจก็คือ บางกอกยังเคยเป็นแหล่งผลิตกาแฟด้วย ปรากฏหมายรับสั่งในรัชกาลที่ ๓ ลงวันศุกร์ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีขาล จัตวาศก ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ.๒๓๘๕ มีข้อความว่า
“...ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯสั่งว่า จะต้องพระราชประสงค์ต้นกาแฟเป็นอันมาก โปรดเกล้าฯให้ข้าราชการใหญ่น้อย เพาะต้นกาแฟเข้ามาถวายเป็นอันมาก และกระโปรงตุ้มลูกมะพร้าวที่จะใส่ต้นกาแฟนั้นหามีไม่ ให้เกณฑ์เอาเลกประจำการในหมู่ ทำลูกตุ้มมะพร้าวให้ได้ ๕,๐๐๐ ใบนั้น เกณฑ์และให้ผู้ซึ่งต้องเกณฑ์ทั้งนี้ ไปเบิกเปลือกมะพร้าวต่อเจ้าภาษี มาร้อยหวายให้มั่นคง แล้วให้มาส่งต่อผู้รับสั่ง ณ คลังพิมานอากาศ แต่ ณ วันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ ให้ครบตามเกณฑ์ อย่าให้ขาดได้ตามรับสั่ง”
ต่อมาในวันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๓๘๖ ก็มีหมายรับสั่งอีกว่า “เม็ดข้าวแฝ่” ที่ให้ไปเพาะ และส่งไปปลูกในสวนหลวงสวนราชการนั้น ยังไม่เพียงพอ ให้ข้าราชการทหารและพลเรือน ทั้งวังหลวงวังหน้าเร่งทำบัญชีหางว่าวมา จะได้จ่ายเม็ดข้าวแฝ่ไปเพาะครบตามจำนวน อย่าให้ขาดได้ตามรับสั่ง
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯทรงส่งสำเภาไปค้ากับต่างประเทศเป็นจำนวนมาก จึงทรงทราบว่ากาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความต้องการสูง บริเวณสวนหลวงที่ปลูกกาแฟก็คือด้านตะวันออกของพระราชวัง ปัจจุบันก็คือบริเวณสนามไชย พระราชวังสราญรมย์ และวัดราชประดิษฐ์นั่นเอง ส่วนสวนกาแฟของขุนนางก็กระจายอยู่รอบกรุงเทพฯ เช่นบริเวณที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติและท่านผู้หญิง สร้างวัดพิชัยญาติและวัดอนงคารามขึ้นในปี ๒๓๘๔ ก็อยู่ในบริเวณที่เป็นสวนกาแฟของท่าน
ในสมัยรัชกาลที่ ๓ นี้ เริ่มมีชาวตะวันตกเข้ามา หลังจากขาดหายไปตั้งแต่สิ้นแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สังฆราชปาเลอกัว ซึ่งเข้ามาในปี ๒๓๗๓ ได้บรรยายภาพของกรุงเทพฯ ขณะย่างก้าวเข้ารับวัฒนธรรมตะวันตกไว้ว่า
“กรุงเทพฯ ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนที่อุดมสมบูรณ์เขียวชอุ่มตลอดปี จึงงามเหมือนภาพวาด กลุ่มเรือใบประดับธงจอดเป็นทิวแถวตามสองฝั่งแม่น้ำ ยอดแหลมหุ้มทองของมณฑปและโครงสร้างอันสวยงามของพระปรางค์ ที่มีการประดับอย่างสวยงามด้วยกระเบื้องเคลือบหลากสี ลอยสูงเด่นอยู่ในอากาศ ยอดเจดีย์หุ้มทองประดับกระเบื้องหลากสี สะท้อนแสงเหมือนสีรุ้ง เบื้องหน้าของท่านจะมองเห็นร้านค้าบนเรือนแพจำนวนนับพันเรียงเป็นสองแถว ยาวตามริมฝั่งแม่น้ำ มีเรือสวยงามแล่นตัดข้ามฟากไปมา ตลอดความยาวของลำน้ำอันคดเคี้ยว ป้อมสีขาวคล้ายหิมะ ตัวเมืองซึ่งมีหอคอยแลประตูมากมาย ลำคลองที่ตัดผ่านไปรอบเมือง ยอดแหลมของปราสาทราชมณเฑียรในพระบรมมหาราชวัง สามารถมองเห็นได้จากทั้งสี่ทิศ มีอาคารแบบจีน อินเดีย และยุโรป เสื้อผ้าอาภรณ์ที่แตกต่างกันไปของแต่ละชาติ เสียงดนตรี เสียงเพลงจากโรงละคร ความเคลื่อนไหวของชีวิตในเมือง สิ่งเหล่านี้ทำให้ชาวต่างชาติมองด้วยความชื่นชมและพิศวง...”
ในขณะนั้นกรุงเทพฯไม่มีรถยนต์สักคันเดียว ใช้กันแต่การสัญจรทางน้ำ แม่น้ำและลำคลองเป็นเหมือนถนนอันจอแจ มีเพียงใจกลางเมืองและย่านตลาดเท่านั้นที่มีถนนปูด้วยอิฐแผ่นใหญ่ๆ แต่ก็เป็นถนนสำหรับคนเดิน ส่วนถนนสำหรับรถสายแรกเกิดขึ้นสมัยรัชกาลที่ ๔ ในปี ๒๔๐๐ เมื่อกงสุลอังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา และนายห้างต่างประเทศได้ร้องว่า เรือสินค้าที่ต้องขึ้นมาถึงกรุงเทพฯนั้นเสียเวลามาก เพราะแม่น้ำคดเคี้ยว และไหลเชี่ยวในฤดูน้ำหลาก หากลงไปตั้งห้างแถวปากคลองพระโขนง แล้วขุดคลองลัดมาเชื่อมกับคลองผดุงกรุงเกษมจะสะดวกขึ้นมาก จึงโปรดเกล้าฯให้ขุดคลองแยกจากจากคลองผดุงกรุงเกษม ผ่าทุ่งหัวลำโพงเป็นเส้นตรงไปบรรจบคลองพระโขนงที่ใกล้ปากคลอง นำดินขึ้นมาถมด้านเหนือเพียงด้านเดียว พูนดินเป็นถนนคู่ขนานกันไป เรียกกันว่า “คลองตรง” และ “ถนนตรง” แต่ชาวบ้านเรียกกันว่า “คลองหัวลำโพง” และ “ถนนหัวลำโพง” ซึ่งนับเป็นถนนสายแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ จึงพระราชทานนามใหม่ให้ถนนหัวลำโพงในวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๒ ว่า “ถนนพระรามที่ ๔” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้โปรดเกล้าฯให้สร้างถนนสายนี้
เมื่อขุดคลองถนนตรงให้ตามคำขอแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่ามีบริษัทห้างร้านของชาวตะวันตกย้ายไปอยู่ที่ปากคลองพระโขนงตามที่อ้างเลย ต่อมาในปี ๒๔๐๔ ชาวตะวันตกเหล่านั้นก็เข้าชื่อกันกราบบังคมทูลอีกว่า
“ชาวยุโรปเคยขี่รถ ขี่ม้า เที่ยวตากอากาศได้ตามสบาย ไม่มีเจ็บไข้ เข้ามาอยู่ที่กรุงเทพพระมหานคร ไม่มีถนนหนทางที่จะขี่รถขี่ม้า พากันเจ็บไข้เนืองๆ...”
ด้วยเหตุนี้จึงโปรดเกล้าฯให้สร้างถนนสายใหม่ตามคำขออีก โดยเริ่มจากคลองรอบกรุงตรงสะพานดำรงสถิตที่สามยอดในปัจจุบัน ไปเชื่อมกับถนนตรงที่คลองผดุงกรุงเกษมตรงหัวลำโพง สายหนึ่ง แล้วตัดแยกจากถนนใหม่นี้ที่เหนือวัดสามจีน (วัดไตรมิตร) ตรงไปจนตกแม่น้ำที่บางคอแหลมอีกสายหนึ่ง จุดที่แยกออกเป็น ๒ สายนี้เรียกกันว่า “สามแยก” การสร้างถนนสายนี้นับเป็นสายแรกที่ใช้วิทยาการตะวันตก เรียกกันว่า “ถนนใหม่” ชาวตะวันตกเรียก “นิวโรด” ต่อมาจึงพระราชทานนามว่า “ถนนเจริญกรุง”
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงเกิดถนนและสะพานขึ้นมากมายสำหรับรถยนต์ แต่ก็ยังไม่ทิ้งคลอง มีการขุดเชื่อมหัวเมืองใกล้เคียงขึ้นอีกหลายคลอง บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองขึ้นมากในรัชกาลนี้
ย่านการค้าที่คึกคักที่สุดในยามนั้นได้แก่ย่านเยาวราช ซึ่งเป็นชุมชนของคนจีน มีท่าเรือที่ถนนทรงวาด ย่านบางรักเป็นชุมชนของชาวยุโรป เป็นที่ตั้งของสถานทูต และมีท่าเรือตลอดถนนตก ส่วนบางลำพูเป็นย่านการค้าของคนไทย มีสินค้าที่ข้ามมาจากฝั่งธนบุรีและจากหัวเมืองทางแม่น้ำ
กรุงเทพฯเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทั้งจำนวนประชากรและสภาพบ้านเมือง โดยเฉพาะในช่วงก่อนปี ๒๕๔๐ ที่ฟองสบู่แตก มองไปทางไหนในกรุงเทพฯก็เห็นแค่เครนยักษ์กำลังสร้างตึก
ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวหลายทวีปต่างก็ตั้งเป้าหมายปลายทางมาที่กรุงเทพฯ จนติดอันดับ ๑ ใน ๑๐ ของเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของโลกมาตลอด
ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อกรุงเทพฯ นอกพระบรมมหาราชวัง วัดวาอาราม ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นแล้ว คนไทยยังยิ้มแย้มแจ่มใสในการต้อนรับแขกเป็นนิสัย ที่สำคัญจะหาอาหารในเมืองท่องเที่ยวราคาถูกอย่างกรุงเทพฯได้ยาก ไม่ว่าข้าวไข่เจียวหรือก๋วยเตี๋ยวถังแตกข้างถนน แม้ราคาจะขึ้นไปถึง ๒๐ บาทแล้วก็ยังห่าง ๑ ดอลลาร์อเมริกัน นักท่องเที่ยวที่ต้องการประหยัดเงินเพื่อเที่ยวได้นานๆ จึงยึดเป็นอาหารหลัก แถมยังโดดขึ้นรถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชนคนไทยซะอีก อะเมซิ่งไทยแลนด์สุดๆกันไปเลย