“คิดดี พูดดี ทำดี เป็นสิ่งที่หัวใจผมตระหนักอยู่เสมอ เพราะเรายังชอบคนดี คนอื่นก็ต้องชอบคนดี ฉะนั้น เราต้องสร้างความดี เพื่อเป็นคนดี ให้สังคมมีแต่เรื่องราวที่ดี ไม่ว่าจะดีเพื่อตนเอง หรือดีเพื่อคนอื่น ผมพยายามที่จะเดินตามเรื่องราวที่ในหลวงท่านร้อยเรียง โดยเริ่มต้นจากหัวใจที่เพียงพอ เพื่อก้าวสู่ชีวิตที่พอเพียง”
ข้างต้นคือคำพูดของอดีตพิธีกรรายการทางสถานีโทรทัศน์ที่ปัจจุบันหันหลังให้กับงานในวงการสื่อมาเอาดีด้านการทำเกษตรกรรมเพื่อมุ่งสู่วิถีชีวิตแบบพอเพียงยังบ้านเกิด
ฟิวส์-พีรทัศน์ ศรีสุระ คนหนุ่มวัยทำงานที่พื้นเพเป็นลูกชาวนาจังหวัดอุบลราชธานี ที่มีความฝันอยากทำงานด้านสื่อทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง โดยมีอาชีพอย่างผู้สื่อข่าว พิธีกรเป็นจุดมุ่งหมายที่เขาถวิลหามาตั้งแต่วัยเด็ก
แม้ว่าปัจจุบันเขาจะยอมทิ้งความฝันดังกล่าวที่ว่าไปแล้วแต่ในฐานะอาชีพเกษตรกรเขาก็ยังมีความสุขไม่น้อยไปกว่าการทำงานในเมืองหลวงเลย ซึ่งตอนนี้เขายังทำแบรนด์ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกเล็กๆ ภายใต้ชื่อว่า “บ้านไร่ไอฮัก” ออกขายตามตลาดนัด ตามชุมชน รวมไปถึงส่งทางไปรษณีย์ให้กับผู้ที่สนใจอีกด้วย
นับว่าเป็นคนรุ่นใหม่คนหนึ่งที่สามารถสืบสานและมองเห็นคุณค่าของงานเกษตรกรรมที่น่าค้นหาอย่างมาก จะว่าไป เราสามารถสร้างวิถีการใช้ชีวิตแบบไหนก็ได้ ซึ่งวิถีชีวิตแบบเรียบง่ายนั้น คือสิ่งที่เกษตรกรหนุ่มคนนี้เลือกที่จะทำ...
• จากเมื่อก่อน คุณคือพิธีกรรายการโทรทัศน์ อะไรคือเหตุผลและจุดเปลี่ยนที่ทำให้เบนเข็มทิศสู่ชีวิตเกษตรกร
ผมต้องขอย้อนเล่าให้ฟังก่อนครับว่า เมื่อก่อน ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยม เวลาที่มีกิจกรรมของโรงเรียน เช่น วันสุนทรภู่ วันวิทยาศาสตร์ ผมก็มักจะถูกครูเลือกให้เป็นพิธีกรบนเวทีอยู่เสมอ และอีกอย่างแถวบ้านผมจะมีสถานีวิทยุชุมชน ผมเลยลองไปสมัครเป็นดีเจดู ทำไปทำมา รู้สึกว่าตัวเองชอบงานด้านนี้ เพราะเป็นคนที่ชอบพูดชอบคุยอยู่แล้ว ตอนนั้นได้ค่าแรงประมาณเดือนละ 1,000 บาท ก็ถือว่าเยอะสำหรับผมมากๆ เพราะในใจไม่ได้คาดหวังถึงรายได้เท่าไหร่ อีกอย่าง ทำแล้วสนุก มันคือกำไรล้วนๆ แล้วครับ สถานีวิทยุอยู่ไกลจากบ้านเกือบ 4 กิโลเมตร ผมก็จะมีใบเกร็ดความรู้ที่คัดลอกมาจากหนังสือในห้องสมุดของโรงเรียนในตอนพักเที่ยงแล้วใส่ตะกร้าจักรยาน ปั่นไปจัดรายการช่วงเย็นของทุกวัน เป็นงานที่สนุกมากครับ สนุกตรงที่ปั่นขึ้นเนินแล้วหมาไล่นี่แหละ (หัวเราะ) แถมโซ่ตกด้วย นึกถึงภาพตอนนั้น ตลกตัวเองมากๆ ยิ่งปั่น หมามันยิ่งไล่ สนุกสุดๆ (หัวเราะ)
นอกจากจัดรายการวิทยุแล้ว ผมยังทำขนมเปียกปูน ขนมต้ม วุ้นกะทิ ยำมะม่วงไปขายให้ครูและเพื่อนๆ ที่โรงเรียนด้วย ได้กำไรวันละ 70-80 บาท ถือว่าเยอะสำหรับผมในตอนนั้นอีกเหมือนกัน จนกระทั่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ผมก็ไม่ได้ทำขนมขาย วันไหนที่ว่างจากเรียน ผมก็จะไปทำงานตามกองถ่ายละคร ไปเป็นตัวประกอบ เดินผ่านกล้อง ส่วนค่าเหนื่อยก็ได้งานละ 300-500 บาท พอช่วงค่ำ 3-5 ทุ่ม ก็จะปั่นจักรยานไปที่ค่ายมวยเพื่อไปจัดรายการวิทยุชุมชนใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัย ก็ได้ค่าแรงวันละ 100 บาท พอเป็นค่ากับข้าว ช่วยพ่อแม่ลดค่าใช้จ่ายอีกแรงครับ ผมก็ทำงานแบบนี้มาตลอดจนเรียนจบมหาวิทยาลัย
• งานสื่อสารมวลชน เป็นความใฝ่ฝันในชีวิตเลยหรือเปล่าคะ
ชอบมากครับ (ยิ้ม) และผมก็เลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์ เพราะความฝันของผมเลยคืออยากทำงานด้านสื่อ อยากเป็นผู้สื่อข่าว อยากเป็นพิธีกรมากๆ ชอบทั้งงานเบื้องหน้าและงานเบื้องหลัง (ยิ้ม) จะว่าไปแล้ว งานพิธีกรเป็นงานที่สนุกมากเลยนะครับ เป็นอีกหนึ่งงานที่สร้างความสุขให้กับหัวใจของผม สุขที่ได้สัมผัส ได้ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งความสุข เพื่อส่งต่อความสุขให้กับทุกๆ คน หลายคนอาจมองว่าเป็นแค่บทบาท แค่หน้าที่ แต่สำหรับผม มันคือหัวใจเลยนะ
ทุกๆ ครั้งที่ผมได้ออกไปสัมผัสความสุขของคุณลุงคุณป้า ผมไม่แค่รับบทบาทเป็นผู้ถ่ายทอดเท่านั้น แต่ผมยังทำหน้าที่เป็นดั่งลูกหลานของคุณลุงคุณป้า พร้อมที่จะเรียนรู้ประสบการณ์ ตลอดจนแนวคิดแห่งการแบ่งปันของคุณลุงคุณป้ามาใช้ในการดำรงชีวิต เพื่อส่งต่อความสุขให้กับผู้อื่นในชีวิตประจำวันอีกด้วย เรียกได้ว่าหัวใจของผมเติบโตมาในสังคมแห่งการแบ่งปันเลยก็ว่าได้ ผมต้องขอขอบคุณคุณลุงคุณป้าทุกๆ ท่านที่ถ่ายทอดสิ่งที่ดีให้กับผม ถือว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมเลยครับ (ยิ้ม)
• อย่างที่บอกว่าชอบงานในวงการสื่อมาก เป็นความฝันมาตั้งแต่ยังเด็กเลย แล้วทำไมถึงหันหลังให้กับงานที่เรารักมาเป็นเกษตรกรล่ะคะ
เหตุผลที่ผมต้องตัดสินใจกลับคืนท้องทุ่ง เนื่องจากคุณแม่ของผมป่วย มีโรคแทรกซ้อนหลายโรคมาก เลยตัดสินใจขอลาที่ทำงานเพื่อกลับมาอยู่บ้านที่อุบลราชธานี เพราะถ้าผมขืนทำงานแบบไปๆ ขาดๆ เกรงใจที่ทำงานเหมือนกัน แม้ที่ทำงานจะให้โอกาสได้ดูแลแม่ไปด้วยก็ตาม บวกกับตอนนี้คุณแม่อายุมากแล้ว ผมเลยอยากกลับมาดูแลท่าน อยากทำอะไรเพื่อท่านบ้าง หยิบนู่นทำนี่ให้ท่าน ท่านจะได้เหนื่อยน้อยลง
แรกๆ ผมก็เสียดายฝัน เสียดายโอกาสเหมือนกันนะครับ แต่ก็ต้องเลือก ซึ่งตอนนี้ผมไม่รู้สึกเสียดายหรือเสียใจอะไรแล้ว เพราะผมค้นพบคำตอบของการตัดสินใจแล้วว่าผมเลือกถูกแล้ว เพราะทุกๆ เช้าที่ผมตื่นมา ก็เจอแต่รอยยิ้มของพ่อกับแม่ มันเลยทำให้ผมชื่นในหัวใจมาจนถึงทุกวันนี้ครับ (ยิ้ม)
เมื่อก่อนผมเคยวาดฝันไว้ว่าอยากจะทำอะไรสักอย่างที่สามารถสร้างประโยชน์สุขให้กับตนเองและคนอื่นได้ ผมก็เลยหยิบเอาวิถีชีวิตแบบบ้านเรานี่แหละครับ มาเพิ่มคุณค่าเพื่อสร้างเสน่ห์ให้กับเกษตรกรรม ด้วยการปลูกผักปลอดสารพิษไว้ขายและแบ่งปัน
พื้นเพผมเป็นลูกชาวนา ปลูกพืชปลูกผักอยู่แล้ว บวกกับประสบการณ์ที่เคยไปถ่ายรายการตามที่ต่างๆ ได้เจอวัฒนธรรม เจอมุมมองของวิถีชีวิตในรูปแบบต่างๆ ก็นำเอาแนวคิดจากประสบการณ์ที่ผ่านมา นำมาประยุกต์ให้เข้ากับวิถีชีวิตของตัวเอง เพื่อพลิกฟื้นผืนดินของเราให้เป็นอาณาจักรแห่งคุณค่า โดยเริ่มต้นจากการเปลี่ยนจากเกษตรเคมีที่เคยทำ สู่เกษตรปลอดสารพิษเพื่อสุขภาพ ส่วนขนม ผมก็คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก เพราะเมื่อก่อนคุณแม่ทำขนมขายส่งผมเรียนจนจบปริญญาตรี พอมาอยู่บ้านเลยนำเอาวิชาของแม่มาต่อยอดสู่การสร้างรายได้ให้กับครอบครัวอีกทางหนึ่งครับ
• งานทั้งสองเห็นว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ส่วนตัวแล้วชอบงานไหนมากกว่าคะ
ชอบทุกงานครับ ทั้งงานพิธีกร เกษตรกร รวมถึงพ่อค้า เพราะผมมองว่าทุกๆ งานสร้างความสุขให้ผม อย่างงานพิธีกร เราไม่ได้ออกไปเพียงเพื่อทำงานเท่านั้น แต่เรายังออกไปเพื่อเรียนรู้ เพื่อเติมมุมมองให้กับชีวิต
ส่วนเกษตรกร เราก็ได้คลุกคลีกับธรรมชาติ มีความสุขที่ได้ดูแลผืนดิน ดูแลธรรมชาติ พูดคุยกับพืชผัก นั่งดูแมลงก็มีความสุขตามประสาของผมไป รวมถึงการเป็นพ่อค้า เราก็ได้เจอลูกค้าที่เปรียบเสมือนพี่น้อง ได้ทักทาย ได้มอบรอยยิ้มให้กันและกัน และผมมองว่าทุกงานก็มีความยากง่ายแตกต่างกัน ผมมักคิดเสมอว่า ไม่ว่าจะอยู่ในโหมดไหน ผมจะเรียนรู้อย่างสนุกไปกับมันให้ได้ ถึงเราอาจผิดพลาดไปบ้างในบางขั้นตอน แต่ถ้าเราทำและเรียนรู้ไปเรื่อยๆ งานยากก็จะกลายเป็นงานง่าย ขอแค่เราเต็มที่และสนุกไปกับงานนั้นๆ ก็พอแล้วครับ
• ถ้าพูดถึงเรื่องงานเกษตรกร ตอนนี้เราทำอะไรอยู่บ้างคะ
ตอนนี้ผมปลูกข้าวไรซ์เบอร์รีอินทรีย์ บนพื้นที่ 1 ไร่ครับ ตรงนี้ผมเพิ่งเริ่มต้นก็เลยยังไม่ได้ทำเยอะ อีกอย่างผมอยากทำให้พ่อกับแม่เห็นว่าคุณค่าของเกษตรอินทรีย์ มันมีมากแค่ไหน เพราะในตอนนี้พ่อกับแม่ก็ยังไม่เชื่อมั่นในตัวผมเลยว่าผมสามารถทำได้ ผมมีปุ๋ยคอกจากการเลี้ยงวัว รวมถึงน้ำหมักชีวภาพที่ผมได้จากการนำเศษผักเศษผลไม้มาหมักเอง เพี่อบำรุงต้นข้าว รวมถึงปลูกพืชผักสวนครัวไว้แบ่งปัน และนำออกไปจำหน่ายบ้างตามตลาดนัดประจำชุมชนครับ
• ส่วนตัวแล้วคิดว่าเสน่ห์ของงานเกษตรอยู่ตรงไหนคะ
เสน่ห์ของการทำงานด้านเกษตรไม่ได้อยู่ที่ผักสวย ผักแข็งแรง ขายได้ราคาดี หรือมีกำไรมากๆ แต่อยู่ที่ “ใจ” ของคนทำการเกษตรมากกว่าว่าจะสร้างคุณค่าให้กลายเป็นเสน่ห์ยังไง เพราะทุกวันนี้เป็นยุคที่เทคโนโลยีก้าวไปไกลมาก การแข่งขันกันก็สูง จนเสน่ห์และคุณค่าทางวัฒนธรรมแบบเดิมๆ เลือนหายไปมาก แม้แต่การเกษตรในปัจจุบันยังเปลี่ยนไปเยอะ มีปุ๋ยดี ยาเคมีดี ออกฤทธิ์ดี ใช้แล้วรวย โฆษณาตามสื่อวิทยุ ใครๆ ก็อยากรวย จนมองข้ามไปว่าคุณค่าที่แท้จริงของการทำงานด้านการเกษตรอยู่ตรงไหน
ส่วนตัวผมมองว่า ผักสวย ผักแข็งแรง อาจเป็นแค่เสน่ห์รอง แต่เสน่ห์หลักที่สำคัญคือ ผักที่ทานแล้วสามารถสร้างประโยชน์และคุณค่าให้กับสุขภาพได้มากที่สุด พูดง่ายๆ ได้ว่าเป็นผักที่มีคุณภาพ โดยผ่านกระบวนการคิดและกระบวนการทำด้วยหัวใจ
• มีปัญหาหรืออุปสรรคอย่างไรบ้างหรือเปล่าคะ
มีครับ (ตอบเร็ว) ทำงานด้านการเกษตรต้องเจอปัญหาหลายอย่างมาก ส่วนใหญ่ต้องสู้กับแมลงและโรคต่างๆ ที่เกิดกับพืชผักสวนครัว ยิ่งปลูกผักปลอดสารพิษต้องขยันเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า อุปสรรคอีกอย่างคือ ความขี้เกียจของผม (หัวเราะ) ถือว่าเป็นปัญหาที่สำคัญและต้องรีบแก้ไขก่อนเรื่องอื่นเลย ซึ่งเวลามีปัญหา ผมจะค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ แก้ และเชื่อว่าทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง ที่สำคัญคือ เวลามีปัญหา อย่าไปกลัว อย่าวิตก หรือกังวลอะไร ให้ใช้สติ ค่อยๆ หาทางแก้ไข เพราะทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ
• เป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตที่เรียบง่ายด้วยหรือเปล่าถึงได้มาทำเกษตรกรรมได้
ปกติแล้ว ผมมักจะเป็นคนที่ชอบสร้างภาพนะ แต่ภาพที่ว่าเป็นภาพความประทับใจในชีวิต ผมจะสร้างเรื่องราวที่ดีให้กับปัจจุบันที่กำลังจะกลายเป็นอดีตในอนาคต แล้วอนาคตที่กำลังจะกลายเป็นปัจจุบัน เพราะถ้าวันนั้น เรามองย้อนกลับมาในอดีต เราก็จะมีเรื่องราวให้เราประทับใจ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าในมุมมองของคนอื่นจะมองว่ามันเป็นชีวิตที่เรียบง่ายหรือเปล่า หรืออาจจะเป็นความเรียบง่ายในรูปแบบที่ต่างกันก็ได้ แต่สำหรับผมมันเป็นชีวิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยคุณค่า ผมมองว่าเราทุกคนต่างสามารถกำหนดชีวิตของเราให้เก๋ไก๋ได้ในรูปแบบของเราได้
• ตรงนี้ได้นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงมาใช้ด้วยหรือเปล่าคะ แล้วส่วนตัวคิดว่าคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร
เศรษฐกิจพอเพียงผมคิดว่าต้องใช้ชีวิตแบบง่ายๆ ในสไตล์ของเรา อะไรที่ดีก็นำมาปรับให้เข้ากับชีวิต อะไรที่ยากเกินไปหรือไม่ใช่เราก็อย่าไปฝืน พูดง่ายๆ คือใช้ชีวิตให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดแล้วเราจะมีความสุข ตัวผมเองพยายามฝึกใจตัวเองให้เข้าใจธรรมชาติของชีวิต แล้วใช้ชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ชีวิตจะไปในทิศทางไหนก็ต้องปล่อยไปตามธรรมชาติ เพราะชีวิตต้องอยู่และเรียนรู้ไปกับมัน ถ้าเรามองอย่างเข้าใจ เราก็คงไม่ต้องมานั่งทนทุกข์
ส่วนตัวผมก็นำมาใช้นะครับ ผมจะ “คิดดี พูดดี ทำดี” เป็นสิ่งที่หัวใจผมตระหนักอยู่เสมอ เพราะเรายังชอบคนดี คนอื่นก็ต้องชอบคนดี ฉะนั้น เราต้องสร้างความดี เพื่อเป็นคนดี ให้สังคมมีแต่เรื่องราวที่ดี ไม่ว่าจะดีเพื่อตนเอง หรือดีเพื่อคนอื่น ผมพยายามที่จะเดินตามเรื่องราวที่ในหลวงท่านร้อยเรียง โดยเริ่มต้นจากหัวใจที่เพียงพอ เพื่อก้าวสู่ชีวิตที่พอเพียง
• ถ้าจะพูดไปแล้วใครหลายคนอาจจะมองว่าเป็นพิธีกรก็ดีอยู่แล้วมาเป็นเกษตรกรทำไมให้เหนื่อย ตรงนี้คิดเห็นอย่างไรบ้างคะ
ผมมองว่าทุกอาชีพมันมีความเหนื่อยในตัวของมันอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ สถานะของชีวิตเราต้องเลือกแบบไหน เราเท่านั้นที่จะต้องลิขิตชีวิตของเราเอง และอีกอย่าง เราต้องเข้าใจธรรมชาติของชีวิต แล้วใช้ชีวิตให้เป็นธรรมชาติ ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะชีวิตเราต้องอยู่และเรียนรู้ไปกับมัน ถ้าเราฝึกตัวเราให้มองอย่างเข้าใจ ความทุกข์ก็จะตกงานในทันที และผมมองว่าไม่ว่าจะเป็นพิธีกรหรือเกษตรกรก็มีคุณค่าพอๆ กัน
สำหรับผม ผมไม่ได้มองว่าพิธีกรดีกว่าเกษตรกร หรือพิธีกรด้อยกว่าเกษตรกร เพราะบทบาทของแต่ละหน้าที่มันไม่ใช่ดัชนีชี้วัดผลลัพธ์แห่งความสุข เป็นเพียงวิธีทำเพื่อให้ได้ซึ่งคำตอบแห่งความสุขก็เท่านั้นเอง เพราะแม้ว่าวิธีทำจะต่างกัน แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนกัน (ยิ้ม)
• ในอนาคตเราวางแผนกับงานด้านการเกษตรอย่างไรต่อไปบ้างคะ
ตอนนี้มันยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และลองผิดลองถูกกับอะไรหลายๆ อย่าง ก็คงตั้งใจทำต่อไป เผื่อวันข้างหน้าความหวังเล็กๆ ของเกษตรกรอินทรีย์มือใหม่อย่างผม จะได้เห็นผืนดินแห่งอินทรีย์กลับมางดงามอีกครั้ง เพราะตอนนี้ ผมก็กำลังพยายามทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจกับงานตรงนี้อยู่ครับ
• เห็นว่าตอนนี้กำลังสร้างแบรนด์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ออแกนิกด้วย ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยค่ะ
ใช่ครับ (ยิ้ม) ตอนนี้ผมก็มีแบรนด์ผลิตภัณฑ์ออแกนิกเล็กๆ จากความตั้งใจของผม คือผมพยายามจะสร้างคุณค่าจากสิ่งเล็กๆ ที่ผมมีอยู่ในท้องถิ่น โดยเริ่มต้นจากสิ่งที่ผมรัก คือรักในการทำเกษตรอินทรีย์ ไม่ว่าจะเป็นข้าว พืชผัก รวมถึงสมุนไพรในสวน ที่ผมใส่ใจและดูแลอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ ยันกระบวนการเก็บเกี่ยว ตลอดจนการคัดเลือกผลผลิตที่มีคุณภาพ บรรจุลงใน Packaging เก๋ๆ ที่ผมออกแบบเอง แล้วส่งมอบความสุขให้กับลูกค้า ในคอนเซ็ปต์ที่ว่า “From my heart to your hand” โดยใช้ชื่อว่า บ้านไร่ไอฮัก
ตอนนี้ผลผลิตก็ยังไม่ได้เยอะอะไรมากมาย ผมก็กำลังทยอยปลูก ทยอยสร้าง ทีละนิดทีละหน่อยตามกำลังของผม ซึ่งตอนนี้ก็มีขายบ้าง ตามตลาดนัดใกล้บ้าน รวมถึงทางไปรษณีย์ แต่ก็ยังไม่ได้ขายเป็นเรื่องเป็นราว เพราะตอนนี้กำลังวางแผน และติดต่อแหล่งตลาดตามที่ราชการ รวมถึงตลาดนัดชุมชน ถนนคนเดินใกล้บ้านเท่านั้นเองครับ (ยิ้ม)
• อยากให้การเกษตรในประเทศเปลี่ยนหรือเป็นไปในทางไหนบ้าง เพราะว่าสมัยนี้ที่เห็นๆ กันอยู่ว่ายังมีเกษตรกรหลายรายขาดทุนอยู่เยอะมาก
จริงๆ แล้วไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เพียงแค่กลับมายึดวิถีแบบดั้งเดิม แบบปู่ย่าตายายที่เคยทำในสมัยก่อน ไม่ได้ลงทุนอะไรมากมาย มีแค่แรงกายที่ขับเคลื่อนออกมาจากหัวใจเท่านั้นเอง ผิดแปลกกับสมัยปัจจุบัน ตั้งแต่ขั้นตอนแรกยันขั้นตอนสุดท้ายคือการลงทุนด้วยเม็ดเงินทั้งนั้น ก็เลยประสบปัญหาอย่างที่เห็นในทุกวันนี้
ผมมองว่าคุณค่าแบบเดิมๆ มันได้เลือนหายไปจากแผ่นดิน นับตั้งแต่ความสะดวกสบายเข้ามาแทนที่ ซึ่งผมก็ชักไม่แน่ใจว่ามันคือความสะดวกสบายจริงหรือเปล่า หรือมันคือความวุ่นวายกันแน่ ลูกกบที่เคยกระโดดสนุกตามร่องนา ลูกปลาที่แหวกว่ายตามร่องไถ วันนี้ชีวิตแห่งความสุขในวันนั้นมันไม่มีอีกแล้ว เพราะความอยากได้อยากมีของเรา ซึ่งผมมองว่าถ้าเกษตรกรต่างตระหนัก เข้าใจ และก็เปิดใจ รับรู้เพื่อเรียนรู้ สู่หนทางการแก้ไข ผมเชื่อว่าปัญหาเหล่านี้จะหมดไปและความสุขของทุกชีวิตจะกลับมาเบ่งบานอีกครั้ง
• แล้วในฐานะที่เป็นคนวัยทำงานแถมยังเป็นคนรุ่นใหม่อีกด้วย อยากพูดหรือฝากอะไรถึงคนรุ่นใหม่เกี่ยวกับการทำงานและการใช้ชีวิตบ้างไหมคะ
ผมมองว่าเด็กรุ่นใหม่มีพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์นะ เขากล้าคิด กล้าแสดงออกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เราต้องนำพลังเหล่านั้นมาสร้างกำไรเพื่อให้เกิดคุณค่า ด้วยการทำดีในทุกๆ เรื่อง ดีเพื่อตัวเอง ดีเพื่อคนอื่น ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะก่อให้เกิดเรื่องราวที่ดีบนโลกใบนี้ได้ และอีกอย่างนะครับเราต้องเต็มที่กับทุกๆ สิ่ง ไม่ว่าจะงานหรือชีวิต เราก็ต้องเต็มที่ ผมเชื่อว่าถ้าเราเต็มที่แล้วผลลัพธ์ของการเต็มที่ก็จะออกมาอย่างเต็มที่เหมือนกัน
สนุก เต็มที่ มีวิธีคิดบวก เป็นคอนเซ็ปต์ในการใช้ชีวิตของผมเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือชีวิต ผมก็จะนำสิ่งนี้แหละมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ผมเชื่อว่ามันสามารถเป็นจุดเริ่มต้นของความสุขได้เป็นอย่างดี เพราะว่าถ้าเราทำทุกอย่างให้สนุก ทำทุกอย่างให้เต็มที่ โดยไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ใครจะได้เปรียบหรือเราจะเสียเปรียบมากน้อยแค่ไหน อย่าให้ความคิดของเราเป็นตัวสร้างปัญหา เพราะคนสมัยนี้มักจะทุกข์เพราะความคิดของตัวเอง และอีกอย่างผมชอบให้โอกาสตัวเองลองเป็นผู้ชายโลกสวย มองโลกในแง่ดี อภัยได้ก็อภัย แบ่งปันได้ก็แบ่งปัน ช่วยเหลือได้ก็ช่วยเหลือ ง่ายๆ แค่นี้ก็ทำให้เรามีความสุขได้แล้ว เราทุกคนควรหันมาเป็นผู้หญิง ผู้ชายโลกสวยกันนะครับ (หัวเราะ)
• ท้ายนี้การเป็นเกษตรกรที่ดีต้องทำอย่างไรคะ
ในความรู้สึกของผม การเป็นเกษตรกรที่ดีมันมีหลายอย่างและก็หลายประเด็นมาก ถ้าจะไล่เป็นข้อๆ ผมว่ามันคงจะมากกว่า 300 ข้อด้วยซ้ำไป แต่ผมขอสรุปให้พอเข้าใจง่ายๆ เลยว่าการเป็นเกษตรกรที่ดีนั้นทุกกระบวนการคิดและกระบวนการทำต้องออกมาจากหัวใจ เราต้องคิดให้รอบด้าน ใส่ใจในทุกรายละเอียด ในสิ่งที่เรากำลังจะทำ ว่าจะกระทบต่อสิ่งใดบ้าง ตัวเรา ผืนดิน สายน้ำ อากาศ แมลง รวมถึงสภาพแวดล้อมต่างๆ โดยเราต้องคิดแบบผู้ให้ ไม่ใช่คิดแบบผู้ได้ ถ้าหากเรามองอย่างเข้าใจ ผมว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกกลมๆ ใบนี้จะสุขกันอย่างถ้วนหน้าแน่นอนครับ (ยิ้ม)
Profile
ชื่อ : พีรทัศน์ ศรีสุระ
ชื่อเล่น : ฟิวส์
อายุ : 25 ปี
การศึกษา : ปริญญาตรี สาขาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ คณะนิเทศศาสตร์
เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : facebook : Fuse Srisura
ข้างต้นคือคำพูดของอดีตพิธีกรรายการทางสถานีโทรทัศน์ที่ปัจจุบันหันหลังให้กับงานในวงการสื่อมาเอาดีด้านการทำเกษตรกรรมเพื่อมุ่งสู่วิถีชีวิตแบบพอเพียงยังบ้านเกิด
ฟิวส์-พีรทัศน์ ศรีสุระ คนหนุ่มวัยทำงานที่พื้นเพเป็นลูกชาวนาจังหวัดอุบลราชธานี ที่มีความฝันอยากทำงานด้านสื่อทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง โดยมีอาชีพอย่างผู้สื่อข่าว พิธีกรเป็นจุดมุ่งหมายที่เขาถวิลหามาตั้งแต่วัยเด็ก
แม้ว่าปัจจุบันเขาจะยอมทิ้งความฝันดังกล่าวที่ว่าไปแล้วแต่ในฐานะอาชีพเกษตรกรเขาก็ยังมีความสุขไม่น้อยไปกว่าการทำงานในเมืองหลวงเลย ซึ่งตอนนี้เขายังทำแบรนด์ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกเล็กๆ ภายใต้ชื่อว่า “บ้านไร่ไอฮัก” ออกขายตามตลาดนัด ตามชุมชน รวมไปถึงส่งทางไปรษณีย์ให้กับผู้ที่สนใจอีกด้วย
นับว่าเป็นคนรุ่นใหม่คนหนึ่งที่สามารถสืบสานและมองเห็นคุณค่าของงานเกษตรกรรมที่น่าค้นหาอย่างมาก จะว่าไป เราสามารถสร้างวิถีการใช้ชีวิตแบบไหนก็ได้ ซึ่งวิถีชีวิตแบบเรียบง่ายนั้น คือสิ่งที่เกษตรกรหนุ่มคนนี้เลือกที่จะทำ...
• จากเมื่อก่อน คุณคือพิธีกรรายการโทรทัศน์ อะไรคือเหตุผลและจุดเปลี่ยนที่ทำให้เบนเข็มทิศสู่ชีวิตเกษตรกร
ผมต้องขอย้อนเล่าให้ฟังก่อนครับว่า เมื่อก่อน ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยม เวลาที่มีกิจกรรมของโรงเรียน เช่น วันสุนทรภู่ วันวิทยาศาสตร์ ผมก็มักจะถูกครูเลือกให้เป็นพิธีกรบนเวทีอยู่เสมอ และอีกอย่างแถวบ้านผมจะมีสถานีวิทยุชุมชน ผมเลยลองไปสมัครเป็นดีเจดู ทำไปทำมา รู้สึกว่าตัวเองชอบงานด้านนี้ เพราะเป็นคนที่ชอบพูดชอบคุยอยู่แล้ว ตอนนั้นได้ค่าแรงประมาณเดือนละ 1,000 บาท ก็ถือว่าเยอะสำหรับผมมากๆ เพราะในใจไม่ได้คาดหวังถึงรายได้เท่าไหร่ อีกอย่าง ทำแล้วสนุก มันคือกำไรล้วนๆ แล้วครับ สถานีวิทยุอยู่ไกลจากบ้านเกือบ 4 กิโลเมตร ผมก็จะมีใบเกร็ดความรู้ที่คัดลอกมาจากหนังสือในห้องสมุดของโรงเรียนในตอนพักเที่ยงแล้วใส่ตะกร้าจักรยาน ปั่นไปจัดรายการช่วงเย็นของทุกวัน เป็นงานที่สนุกมากครับ สนุกตรงที่ปั่นขึ้นเนินแล้วหมาไล่นี่แหละ (หัวเราะ) แถมโซ่ตกด้วย นึกถึงภาพตอนนั้น ตลกตัวเองมากๆ ยิ่งปั่น หมามันยิ่งไล่ สนุกสุดๆ (หัวเราะ)
นอกจากจัดรายการวิทยุแล้ว ผมยังทำขนมเปียกปูน ขนมต้ม วุ้นกะทิ ยำมะม่วงไปขายให้ครูและเพื่อนๆ ที่โรงเรียนด้วย ได้กำไรวันละ 70-80 บาท ถือว่าเยอะสำหรับผมในตอนนั้นอีกเหมือนกัน จนกระทั่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ผมก็ไม่ได้ทำขนมขาย วันไหนที่ว่างจากเรียน ผมก็จะไปทำงานตามกองถ่ายละคร ไปเป็นตัวประกอบ เดินผ่านกล้อง ส่วนค่าเหนื่อยก็ได้งานละ 300-500 บาท พอช่วงค่ำ 3-5 ทุ่ม ก็จะปั่นจักรยานไปที่ค่ายมวยเพื่อไปจัดรายการวิทยุชุมชนใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัย ก็ได้ค่าแรงวันละ 100 บาท พอเป็นค่ากับข้าว ช่วยพ่อแม่ลดค่าใช้จ่ายอีกแรงครับ ผมก็ทำงานแบบนี้มาตลอดจนเรียนจบมหาวิทยาลัย
• งานสื่อสารมวลชน เป็นความใฝ่ฝันในชีวิตเลยหรือเปล่าคะ
ชอบมากครับ (ยิ้ม) และผมก็เลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์ เพราะความฝันของผมเลยคืออยากทำงานด้านสื่อ อยากเป็นผู้สื่อข่าว อยากเป็นพิธีกรมากๆ ชอบทั้งงานเบื้องหน้าและงานเบื้องหลัง (ยิ้ม) จะว่าไปแล้ว งานพิธีกรเป็นงานที่สนุกมากเลยนะครับ เป็นอีกหนึ่งงานที่สร้างความสุขให้กับหัวใจของผม สุขที่ได้สัมผัส ได้ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งความสุข เพื่อส่งต่อความสุขให้กับทุกๆ คน หลายคนอาจมองว่าเป็นแค่บทบาท แค่หน้าที่ แต่สำหรับผม มันคือหัวใจเลยนะ
ทุกๆ ครั้งที่ผมได้ออกไปสัมผัสความสุขของคุณลุงคุณป้า ผมไม่แค่รับบทบาทเป็นผู้ถ่ายทอดเท่านั้น แต่ผมยังทำหน้าที่เป็นดั่งลูกหลานของคุณลุงคุณป้า พร้อมที่จะเรียนรู้ประสบการณ์ ตลอดจนแนวคิดแห่งการแบ่งปันของคุณลุงคุณป้ามาใช้ในการดำรงชีวิต เพื่อส่งต่อความสุขให้กับผู้อื่นในชีวิตประจำวันอีกด้วย เรียกได้ว่าหัวใจของผมเติบโตมาในสังคมแห่งการแบ่งปันเลยก็ว่าได้ ผมต้องขอขอบคุณคุณลุงคุณป้าทุกๆ ท่านที่ถ่ายทอดสิ่งที่ดีให้กับผม ถือว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมเลยครับ (ยิ้ม)
• อย่างที่บอกว่าชอบงานในวงการสื่อมาก เป็นความฝันมาตั้งแต่ยังเด็กเลย แล้วทำไมถึงหันหลังให้กับงานที่เรารักมาเป็นเกษตรกรล่ะคะ
เหตุผลที่ผมต้องตัดสินใจกลับคืนท้องทุ่ง เนื่องจากคุณแม่ของผมป่วย มีโรคแทรกซ้อนหลายโรคมาก เลยตัดสินใจขอลาที่ทำงานเพื่อกลับมาอยู่บ้านที่อุบลราชธานี เพราะถ้าผมขืนทำงานแบบไปๆ ขาดๆ เกรงใจที่ทำงานเหมือนกัน แม้ที่ทำงานจะให้โอกาสได้ดูแลแม่ไปด้วยก็ตาม บวกกับตอนนี้คุณแม่อายุมากแล้ว ผมเลยอยากกลับมาดูแลท่าน อยากทำอะไรเพื่อท่านบ้าง หยิบนู่นทำนี่ให้ท่าน ท่านจะได้เหนื่อยน้อยลง
แรกๆ ผมก็เสียดายฝัน เสียดายโอกาสเหมือนกันนะครับ แต่ก็ต้องเลือก ซึ่งตอนนี้ผมไม่รู้สึกเสียดายหรือเสียใจอะไรแล้ว เพราะผมค้นพบคำตอบของการตัดสินใจแล้วว่าผมเลือกถูกแล้ว เพราะทุกๆ เช้าที่ผมตื่นมา ก็เจอแต่รอยยิ้มของพ่อกับแม่ มันเลยทำให้ผมชื่นในหัวใจมาจนถึงทุกวันนี้ครับ (ยิ้ม)
เมื่อก่อนผมเคยวาดฝันไว้ว่าอยากจะทำอะไรสักอย่างที่สามารถสร้างประโยชน์สุขให้กับตนเองและคนอื่นได้ ผมก็เลยหยิบเอาวิถีชีวิตแบบบ้านเรานี่แหละครับ มาเพิ่มคุณค่าเพื่อสร้างเสน่ห์ให้กับเกษตรกรรม ด้วยการปลูกผักปลอดสารพิษไว้ขายและแบ่งปัน
พื้นเพผมเป็นลูกชาวนา ปลูกพืชปลูกผักอยู่แล้ว บวกกับประสบการณ์ที่เคยไปถ่ายรายการตามที่ต่างๆ ได้เจอวัฒนธรรม เจอมุมมองของวิถีชีวิตในรูปแบบต่างๆ ก็นำเอาแนวคิดจากประสบการณ์ที่ผ่านมา นำมาประยุกต์ให้เข้ากับวิถีชีวิตของตัวเอง เพื่อพลิกฟื้นผืนดินของเราให้เป็นอาณาจักรแห่งคุณค่า โดยเริ่มต้นจากการเปลี่ยนจากเกษตรเคมีที่เคยทำ สู่เกษตรปลอดสารพิษเพื่อสุขภาพ ส่วนขนม ผมก็คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก เพราะเมื่อก่อนคุณแม่ทำขนมขายส่งผมเรียนจนจบปริญญาตรี พอมาอยู่บ้านเลยนำเอาวิชาของแม่มาต่อยอดสู่การสร้างรายได้ให้กับครอบครัวอีกทางหนึ่งครับ
• งานทั้งสองเห็นว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ส่วนตัวแล้วชอบงานไหนมากกว่าคะ
ชอบทุกงานครับ ทั้งงานพิธีกร เกษตรกร รวมถึงพ่อค้า เพราะผมมองว่าทุกๆ งานสร้างความสุขให้ผม อย่างงานพิธีกร เราไม่ได้ออกไปเพียงเพื่อทำงานเท่านั้น แต่เรายังออกไปเพื่อเรียนรู้ เพื่อเติมมุมมองให้กับชีวิต
ส่วนเกษตรกร เราก็ได้คลุกคลีกับธรรมชาติ มีความสุขที่ได้ดูแลผืนดิน ดูแลธรรมชาติ พูดคุยกับพืชผัก นั่งดูแมลงก็มีความสุขตามประสาของผมไป รวมถึงการเป็นพ่อค้า เราก็ได้เจอลูกค้าที่เปรียบเสมือนพี่น้อง ได้ทักทาย ได้มอบรอยยิ้มให้กันและกัน และผมมองว่าทุกงานก็มีความยากง่ายแตกต่างกัน ผมมักคิดเสมอว่า ไม่ว่าจะอยู่ในโหมดไหน ผมจะเรียนรู้อย่างสนุกไปกับมันให้ได้ ถึงเราอาจผิดพลาดไปบ้างในบางขั้นตอน แต่ถ้าเราทำและเรียนรู้ไปเรื่อยๆ งานยากก็จะกลายเป็นงานง่าย ขอแค่เราเต็มที่และสนุกไปกับงานนั้นๆ ก็พอแล้วครับ
• ถ้าพูดถึงเรื่องงานเกษตรกร ตอนนี้เราทำอะไรอยู่บ้างคะ
ตอนนี้ผมปลูกข้าวไรซ์เบอร์รีอินทรีย์ บนพื้นที่ 1 ไร่ครับ ตรงนี้ผมเพิ่งเริ่มต้นก็เลยยังไม่ได้ทำเยอะ อีกอย่างผมอยากทำให้พ่อกับแม่เห็นว่าคุณค่าของเกษตรอินทรีย์ มันมีมากแค่ไหน เพราะในตอนนี้พ่อกับแม่ก็ยังไม่เชื่อมั่นในตัวผมเลยว่าผมสามารถทำได้ ผมมีปุ๋ยคอกจากการเลี้ยงวัว รวมถึงน้ำหมักชีวภาพที่ผมได้จากการนำเศษผักเศษผลไม้มาหมักเอง เพี่อบำรุงต้นข้าว รวมถึงปลูกพืชผักสวนครัวไว้แบ่งปัน และนำออกไปจำหน่ายบ้างตามตลาดนัดประจำชุมชนครับ
• ส่วนตัวแล้วคิดว่าเสน่ห์ของงานเกษตรอยู่ตรงไหนคะ
เสน่ห์ของการทำงานด้านเกษตรไม่ได้อยู่ที่ผักสวย ผักแข็งแรง ขายได้ราคาดี หรือมีกำไรมากๆ แต่อยู่ที่ “ใจ” ของคนทำการเกษตรมากกว่าว่าจะสร้างคุณค่าให้กลายเป็นเสน่ห์ยังไง เพราะทุกวันนี้เป็นยุคที่เทคโนโลยีก้าวไปไกลมาก การแข่งขันกันก็สูง จนเสน่ห์และคุณค่าทางวัฒนธรรมแบบเดิมๆ เลือนหายไปมาก แม้แต่การเกษตรในปัจจุบันยังเปลี่ยนไปเยอะ มีปุ๋ยดี ยาเคมีดี ออกฤทธิ์ดี ใช้แล้วรวย โฆษณาตามสื่อวิทยุ ใครๆ ก็อยากรวย จนมองข้ามไปว่าคุณค่าที่แท้จริงของการทำงานด้านการเกษตรอยู่ตรงไหน
ส่วนตัวผมมองว่า ผักสวย ผักแข็งแรง อาจเป็นแค่เสน่ห์รอง แต่เสน่ห์หลักที่สำคัญคือ ผักที่ทานแล้วสามารถสร้างประโยชน์และคุณค่าให้กับสุขภาพได้มากที่สุด พูดง่ายๆ ได้ว่าเป็นผักที่มีคุณภาพ โดยผ่านกระบวนการคิดและกระบวนการทำด้วยหัวใจ
• มีปัญหาหรืออุปสรรคอย่างไรบ้างหรือเปล่าคะ
มีครับ (ตอบเร็ว) ทำงานด้านการเกษตรต้องเจอปัญหาหลายอย่างมาก ส่วนใหญ่ต้องสู้กับแมลงและโรคต่างๆ ที่เกิดกับพืชผักสวนครัว ยิ่งปลูกผักปลอดสารพิษต้องขยันเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า อุปสรรคอีกอย่างคือ ความขี้เกียจของผม (หัวเราะ) ถือว่าเป็นปัญหาที่สำคัญและต้องรีบแก้ไขก่อนเรื่องอื่นเลย ซึ่งเวลามีปัญหา ผมจะค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ แก้ และเชื่อว่าทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง ที่สำคัญคือ เวลามีปัญหา อย่าไปกลัว อย่าวิตก หรือกังวลอะไร ให้ใช้สติ ค่อยๆ หาทางแก้ไข เพราะทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ
• เป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตที่เรียบง่ายด้วยหรือเปล่าถึงได้มาทำเกษตรกรรมได้
ปกติแล้ว ผมมักจะเป็นคนที่ชอบสร้างภาพนะ แต่ภาพที่ว่าเป็นภาพความประทับใจในชีวิต ผมจะสร้างเรื่องราวที่ดีให้กับปัจจุบันที่กำลังจะกลายเป็นอดีตในอนาคต แล้วอนาคตที่กำลังจะกลายเป็นปัจจุบัน เพราะถ้าวันนั้น เรามองย้อนกลับมาในอดีต เราก็จะมีเรื่องราวให้เราประทับใจ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าในมุมมองของคนอื่นจะมองว่ามันเป็นชีวิตที่เรียบง่ายหรือเปล่า หรืออาจจะเป็นความเรียบง่ายในรูปแบบที่ต่างกันก็ได้ แต่สำหรับผมมันเป็นชีวิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยคุณค่า ผมมองว่าเราทุกคนต่างสามารถกำหนดชีวิตของเราให้เก๋ไก๋ได้ในรูปแบบของเราได้
• ตรงนี้ได้นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงมาใช้ด้วยหรือเปล่าคะ แล้วส่วนตัวคิดว่าคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร
เศรษฐกิจพอเพียงผมคิดว่าต้องใช้ชีวิตแบบง่ายๆ ในสไตล์ของเรา อะไรที่ดีก็นำมาปรับให้เข้ากับชีวิต อะไรที่ยากเกินไปหรือไม่ใช่เราก็อย่าไปฝืน พูดง่ายๆ คือใช้ชีวิตให้เป็นธรรมชาติมากที่สุดแล้วเราจะมีความสุข ตัวผมเองพยายามฝึกใจตัวเองให้เข้าใจธรรมชาติของชีวิต แล้วใช้ชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ชีวิตจะไปในทิศทางไหนก็ต้องปล่อยไปตามธรรมชาติ เพราะชีวิตต้องอยู่และเรียนรู้ไปกับมัน ถ้าเรามองอย่างเข้าใจ เราก็คงไม่ต้องมานั่งทนทุกข์
ส่วนตัวผมก็นำมาใช้นะครับ ผมจะ “คิดดี พูดดี ทำดี” เป็นสิ่งที่หัวใจผมตระหนักอยู่เสมอ เพราะเรายังชอบคนดี คนอื่นก็ต้องชอบคนดี ฉะนั้น เราต้องสร้างความดี เพื่อเป็นคนดี ให้สังคมมีแต่เรื่องราวที่ดี ไม่ว่าจะดีเพื่อตนเอง หรือดีเพื่อคนอื่น ผมพยายามที่จะเดินตามเรื่องราวที่ในหลวงท่านร้อยเรียง โดยเริ่มต้นจากหัวใจที่เพียงพอ เพื่อก้าวสู่ชีวิตที่พอเพียง
• ถ้าจะพูดไปแล้วใครหลายคนอาจจะมองว่าเป็นพิธีกรก็ดีอยู่แล้วมาเป็นเกษตรกรทำไมให้เหนื่อย ตรงนี้คิดเห็นอย่างไรบ้างคะ
ผมมองว่าทุกอาชีพมันมีความเหนื่อยในตัวของมันอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ สถานะของชีวิตเราต้องเลือกแบบไหน เราเท่านั้นที่จะต้องลิขิตชีวิตของเราเอง และอีกอย่าง เราต้องเข้าใจธรรมชาติของชีวิต แล้วใช้ชีวิตให้เป็นธรรมชาติ ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะชีวิตเราต้องอยู่และเรียนรู้ไปกับมัน ถ้าเราฝึกตัวเราให้มองอย่างเข้าใจ ความทุกข์ก็จะตกงานในทันที และผมมองว่าไม่ว่าจะเป็นพิธีกรหรือเกษตรกรก็มีคุณค่าพอๆ กัน
สำหรับผม ผมไม่ได้มองว่าพิธีกรดีกว่าเกษตรกร หรือพิธีกรด้อยกว่าเกษตรกร เพราะบทบาทของแต่ละหน้าที่มันไม่ใช่ดัชนีชี้วัดผลลัพธ์แห่งความสุข เป็นเพียงวิธีทำเพื่อให้ได้ซึ่งคำตอบแห่งความสุขก็เท่านั้นเอง เพราะแม้ว่าวิธีทำจะต่างกัน แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนกัน (ยิ้ม)
• ในอนาคตเราวางแผนกับงานด้านการเกษตรอย่างไรต่อไปบ้างคะ
ตอนนี้มันยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และลองผิดลองถูกกับอะไรหลายๆ อย่าง ก็คงตั้งใจทำต่อไป เผื่อวันข้างหน้าความหวังเล็กๆ ของเกษตรกรอินทรีย์มือใหม่อย่างผม จะได้เห็นผืนดินแห่งอินทรีย์กลับมางดงามอีกครั้ง เพราะตอนนี้ ผมก็กำลังพยายามทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจกับงานตรงนี้อยู่ครับ
• เห็นว่าตอนนี้กำลังสร้างแบรนด์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ออแกนิกด้วย ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยค่ะ
ใช่ครับ (ยิ้ม) ตอนนี้ผมก็มีแบรนด์ผลิตภัณฑ์ออแกนิกเล็กๆ จากความตั้งใจของผม คือผมพยายามจะสร้างคุณค่าจากสิ่งเล็กๆ ที่ผมมีอยู่ในท้องถิ่น โดยเริ่มต้นจากสิ่งที่ผมรัก คือรักในการทำเกษตรอินทรีย์ ไม่ว่าจะเป็นข้าว พืชผัก รวมถึงสมุนไพรในสวน ที่ผมใส่ใจและดูแลอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ ยันกระบวนการเก็บเกี่ยว ตลอดจนการคัดเลือกผลผลิตที่มีคุณภาพ บรรจุลงใน Packaging เก๋ๆ ที่ผมออกแบบเอง แล้วส่งมอบความสุขให้กับลูกค้า ในคอนเซ็ปต์ที่ว่า “From my heart to your hand” โดยใช้ชื่อว่า บ้านไร่ไอฮัก
ตอนนี้ผลผลิตก็ยังไม่ได้เยอะอะไรมากมาย ผมก็กำลังทยอยปลูก ทยอยสร้าง ทีละนิดทีละหน่อยตามกำลังของผม ซึ่งตอนนี้ก็มีขายบ้าง ตามตลาดนัดใกล้บ้าน รวมถึงทางไปรษณีย์ แต่ก็ยังไม่ได้ขายเป็นเรื่องเป็นราว เพราะตอนนี้กำลังวางแผน และติดต่อแหล่งตลาดตามที่ราชการ รวมถึงตลาดนัดชุมชน ถนนคนเดินใกล้บ้านเท่านั้นเองครับ (ยิ้ม)
• อยากให้การเกษตรในประเทศเปลี่ยนหรือเป็นไปในทางไหนบ้าง เพราะว่าสมัยนี้ที่เห็นๆ กันอยู่ว่ายังมีเกษตรกรหลายรายขาดทุนอยู่เยอะมาก
จริงๆ แล้วไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เพียงแค่กลับมายึดวิถีแบบดั้งเดิม แบบปู่ย่าตายายที่เคยทำในสมัยก่อน ไม่ได้ลงทุนอะไรมากมาย มีแค่แรงกายที่ขับเคลื่อนออกมาจากหัวใจเท่านั้นเอง ผิดแปลกกับสมัยปัจจุบัน ตั้งแต่ขั้นตอนแรกยันขั้นตอนสุดท้ายคือการลงทุนด้วยเม็ดเงินทั้งนั้น ก็เลยประสบปัญหาอย่างที่เห็นในทุกวันนี้
ผมมองว่าคุณค่าแบบเดิมๆ มันได้เลือนหายไปจากแผ่นดิน นับตั้งแต่ความสะดวกสบายเข้ามาแทนที่ ซึ่งผมก็ชักไม่แน่ใจว่ามันคือความสะดวกสบายจริงหรือเปล่า หรือมันคือความวุ่นวายกันแน่ ลูกกบที่เคยกระโดดสนุกตามร่องนา ลูกปลาที่แหวกว่ายตามร่องไถ วันนี้ชีวิตแห่งความสุขในวันนั้นมันไม่มีอีกแล้ว เพราะความอยากได้อยากมีของเรา ซึ่งผมมองว่าถ้าเกษตรกรต่างตระหนัก เข้าใจ และก็เปิดใจ รับรู้เพื่อเรียนรู้ สู่หนทางการแก้ไข ผมเชื่อว่าปัญหาเหล่านี้จะหมดไปและความสุขของทุกชีวิตจะกลับมาเบ่งบานอีกครั้ง
• แล้วในฐานะที่เป็นคนวัยทำงานแถมยังเป็นคนรุ่นใหม่อีกด้วย อยากพูดหรือฝากอะไรถึงคนรุ่นใหม่เกี่ยวกับการทำงานและการใช้ชีวิตบ้างไหมคะ
ผมมองว่าเด็กรุ่นใหม่มีพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์นะ เขากล้าคิด กล้าแสดงออกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เราต้องนำพลังเหล่านั้นมาสร้างกำไรเพื่อให้เกิดคุณค่า ด้วยการทำดีในทุกๆ เรื่อง ดีเพื่อตัวเอง ดีเพื่อคนอื่น ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะก่อให้เกิดเรื่องราวที่ดีบนโลกใบนี้ได้ และอีกอย่างนะครับเราต้องเต็มที่กับทุกๆ สิ่ง ไม่ว่าจะงานหรือชีวิต เราก็ต้องเต็มที่ ผมเชื่อว่าถ้าเราเต็มที่แล้วผลลัพธ์ของการเต็มที่ก็จะออกมาอย่างเต็มที่เหมือนกัน
สนุก เต็มที่ มีวิธีคิดบวก เป็นคอนเซ็ปต์ในการใช้ชีวิตของผมเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือชีวิต ผมก็จะนำสิ่งนี้แหละมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ผมเชื่อว่ามันสามารถเป็นจุดเริ่มต้นของความสุขได้เป็นอย่างดี เพราะว่าถ้าเราทำทุกอย่างให้สนุก ทำทุกอย่างให้เต็มที่ โดยไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ใครจะได้เปรียบหรือเราจะเสียเปรียบมากน้อยแค่ไหน อย่าให้ความคิดของเราเป็นตัวสร้างปัญหา เพราะคนสมัยนี้มักจะทุกข์เพราะความคิดของตัวเอง และอีกอย่างผมชอบให้โอกาสตัวเองลองเป็นผู้ชายโลกสวย มองโลกในแง่ดี อภัยได้ก็อภัย แบ่งปันได้ก็แบ่งปัน ช่วยเหลือได้ก็ช่วยเหลือ ง่ายๆ แค่นี้ก็ทำให้เรามีความสุขได้แล้ว เราทุกคนควรหันมาเป็นผู้หญิง ผู้ชายโลกสวยกันนะครับ (หัวเราะ)
• ท้ายนี้การเป็นเกษตรกรที่ดีต้องทำอย่างไรคะ
ในความรู้สึกของผม การเป็นเกษตรกรที่ดีมันมีหลายอย่างและก็หลายประเด็นมาก ถ้าจะไล่เป็นข้อๆ ผมว่ามันคงจะมากกว่า 300 ข้อด้วยซ้ำไป แต่ผมขอสรุปให้พอเข้าใจง่ายๆ เลยว่าการเป็นเกษตรกรที่ดีนั้นทุกกระบวนการคิดและกระบวนการทำต้องออกมาจากหัวใจ เราต้องคิดให้รอบด้าน ใส่ใจในทุกรายละเอียด ในสิ่งที่เรากำลังจะทำ ว่าจะกระทบต่อสิ่งใดบ้าง ตัวเรา ผืนดิน สายน้ำ อากาศ แมลง รวมถึงสภาพแวดล้อมต่างๆ โดยเราต้องคิดแบบผู้ให้ ไม่ใช่คิดแบบผู้ได้ ถ้าหากเรามองอย่างเข้าใจ ผมว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกกลมๆ ใบนี้จะสุขกันอย่างถ้วนหน้าแน่นอนครับ (ยิ้ม)
Profile
ชื่อ : พีรทัศน์ ศรีสุระ
ชื่อเล่น : ฟิวส์
อายุ : 25 ปี
การศึกษา : ปริญญาตรี สาขาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ คณะนิเทศศาสตร์
เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : facebook : Fuse Srisura