ด้วยความที่คลุกคลีอยู่กับร้านขายยาของที่บ้านมาตั้งแต่เด็ก เธอจึงใฝ่ฝันอยากที่จะเดินตามรอยคุณพ่อคุณแม่ ทำหน้าที่เป็นเภสัชกรเฉกเช่นเดียวกันกับท่าน และความฝันนั้นก็ประสบความสำเร็จเมื่อเธอเอนทรานส์ติดคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การเป็นเภสัชกรคือสิ่งที่เธออยากเป็น แต่ทว่ายังมีอีกหนึ่งฝันที่เธอหลงใหลไม่แพ้กัน นั่นก็คือเส้นทางการเป็นนักร้อง ซึ่งเธอก็สมหวัง เพราะการเป็นนักร้องนั้นได้เริ่มต้นขึ้นพร้อมๆ กับการเรียนเภสัชศาสตร์นั่นเอง สัมผัสกับชีวิตและความคิดที่เปี่ยมสุขของ “ออน-กรกมล ชัยวัฒนเมธิน” หรือนักร้องนำวงละอองฟอง ที่คนเรียกขานกันจนติดปากว่า ออน ละอองฟอง
ปัจจุบันนี้ เธอยังรับบทบาทกับทั้งสองหน้าที่ที่เธอรักได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเภสัชกรหรือแม้แต่การเป็นนักร้อง ดังที่เธอได้บอกกับเราไว้ว่า “ออนไม่คิดว่าตัวเองจับปลาสองมือแล้วจะทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันอย่างที่เขาว่ากันนะ เพราะเราตั้งเป้าไว้ว่าเราจะทำอะไร แล้วก็ทำให้ถึงเป้าหมาย และนั่นก็คือความประสบความสำเร็จของเรา อีกอย่าง ทุกวันนี้ เรามีความสุขกับงานตรงนี้แล้ว (ยิ้ม)"
• หลายคนอาจจะรู้จักคุณออนในฐานะนักร้อง วงละอองฟอง แต่อีกมุมหนึ่งคุณออนยังเป็นเภสัชกรอีกด้วย ตรงนี้ไม่ทราบว่าเริ่มเป็นเภสัชกรมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ
เริ่มต้นจากการที่ออนเลือกเรียนในสายวิชาชีพนี้มาค่ะ ซึ่งออนได้แรงบันดาลใจมาจากคุณพ่อคุณแม่ เพราะว่าท่านทั้งสองก็เป็นเภสัชกรด้วยเหมือนกัน และร้านขายยาร้านนี้ (ร้าน Health Me) เรียกได้ว่าเป็นที่ที่ออนเกิด ออนเกิดที่นี่ (ยิ้ม)
ครอบครัวของออนแต่ก่อนเราค่อนข้างที่จะไม่มี ไม่มีในที่นี้ก็คือ เดิมทีคุณปู่คุณย่าก็เป็นคนเสื่อผืนหมอนใบมาก่อน แต่ว่าโชคดีที่ครอบครัวเราเห็นความสำคัญของการศึกษา คุณแม่ก็เลยมีโอกาสได้เรียน คุณพ่อก็มีโอกาสได้เรียน จนท่านมาเปิดกิจการร้านขายยา ก่อนหน้าที่จะมาทำเครื่องสำอาง KA
เราค่อยๆ สร้างฐานะจากตรงนี้กันมา คุณพ่อออนท่านมีจิตใจบริการ ซึ่งเวลามีลูกค้าเข้ามา เราก็จะเห็นวิธีบริการลูกค้าของท่าน บางทีท่านไล่ลูกค้าออกจากร้านไปเลยด้วยซ้ำนะคะ ว่ามาซื้อทำไม อาการแบบนี้ไม่ต้องซื้อยา ให้กลับไปนอน (หัวเราะ) ซึ่งเราก็เห็นมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยซึมซับ คุณพ่อจะสอนให้เรามีใจค้าขาย ให้เก็บเงินทอน คิดเลข เวลามีใครถามเราตอนเด็กๆ ว่าโตขึ้นเราอยากเป็นอะไร ก็เลยตอบแบบไม่ได้คิดไปเลยว่าอยากเป็นเภสัชกรค่ะ (ยิ้ม)
• แบบนี้หมายความว่าอาชีพเภสัชกรเป็นความฝันของคุณออนมาตั้งแต่เด็กๆ เลยใช่ไหมคะ
ใช่ค่ะ (ยิ้ม) เรารู้ว่าเราอยากเป็นอะไร เราก็ตั้งใจเรียนแล้วมีจุดมุ่งหมายมาตั้งแต่เด็กๆ เราอยากจะเอนทรานซ์เข้าคณะเภสัชศาสตร์
• นอกจากที่เราคลุกคลีอยู่กับร้านขายยามาตั้งแต่เด็ก ตรงนี้มีเหตุผลอื่นที่ทำให้เราอยากเป็นเภสัชกรอีกบ้างไหม
มีค่ะ มีเรื่องสุขภาพด้วยที่เป็นเหตุผลหลักเลย เพราะว่าที่บ้านออนจะไม่ค่อยมีใครได้เข้าโรงพยาบาลเท่าไหร่ ยกเว้นมีผ่าตัดใหญ่หรือคลอดลูกแค่นั้นเอง ซึ่งคุณพ่อ คุณแม่ท่านใช้วิชาชีพและความรู้ที่ท่านมี ตรงนี้ไม่ใช่แค่ดูแลคนในครอบครัวนะคะ แต่ท่านยังดูแลมาถึงทีมงาน พนักงาน คือหลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ก่อตั้งบริษัท KA กิจการร้านยาก็ปิดตัวลงไป เพราะทำสองอย่างไม่ไหว แล้วทางนั้นกำลังเติบโต คุณพ่อก็เลยปิดร้านขายยาไปทำตรงนั้นอย่างเต็มตัว
คุณพ่อจะบอกพนักงานและทีมงานเสมอว่าถ้ามีอะไรเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพให้เข้ามาปรึกษาท่านได้ตลอด ท่านดูแลหมด ออกค่าดูแลรักษาพยาบาลต่างๆ ให้ ซึ่งเราก็รู้สึกว่าดีจังเลย เหมือนคนใกล้ตัวเราห่างไกลจากโรงพยาบาลไปมาก เราจะไปโรงพยาบาลเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้น เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เขาจะรู้ว่าเขาควรปฏิบัติตัวยังไง ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราจะเรียนเภสัชฯ ไปเพื่ออะไร ออนเรียนเภสัชศาสตร์เพราะอยากให้ ตัวเอง ครอบครัว คนรอบข้าง ห่างไกลจากโรค อยากช่วยป้องกันให้เขา คือไม่จำเป็นต้องเป็นโรคก่อนแล้วค่อยรักษา อะไรทำนองนี้ค่ะ
• อย่างที่บอกว่าคุณพ่อปิดกิจการร้านขายยาไปแล้ว ไม่ทราบว่ามาเปิดใหม่ได้อย่างไรคะ ตรงนี้เห็นว่าตอนนี้คุณออนขอเป็นผู้ดูแลเองด้วย
ออนทำร้านขายยา Health Me มาได้ 3 ปีแล้วค่ะ หลังจากที่คุณพ่อปิดร้านไป ท่านก็เซ้งให้กับเพื่อน เพราะท่านตั้งใจจะทำบริษัท KA อย่างจริงๆ จังๆ เพราะธุรกิจก็โตขึ้นๆ เรื่อยๆ ด้วย ซึ่งพอเราเรียนจบเภสัชศาสตร์มา ประจวบกับที่เพื่อนคุณพ่อเขาบอกว่าเขาทำไม่ไหวแล้ว เขาอยากมีเภสัชกรประจำร้าน ซึ่งเขาก็มาบอกกับคุณพ่อออนว่าเขาจะเซ้งแล้วนะ พอออนได้ยินเท่านั้นแหละ ออนกระโจนเข้าใส่เลยค่ะ (หัวเราะ) ซึ่งคุณพ่อก็บอกว่าเราจะมีเวลาทำเหรอ เพราะตอนนั้น เราก็ทำวงละอองฟองแล้วด้วย อีกอย่างยังต้องช่วยบริษัทคุณพ่ออีก
ตอนนั้นไม่รู้เหมือนกันนะคะ มันยังไม่ทันคิดอะไรมาก คิดแค่ว่าเราอยากทำ เราเกิดตรงนี้ เราอยู่ตรงนี้มา แล้วเรารู้สึกว่านี่คือชุมชนของเรา เราอยากช่วยชุมชนเพราะออนคิดว่าร้านยาทุกร้านควรมีเภสัชกรอยู่เพื่อที่จะให้คำแนะนำที่ถูกต้อง เรามีความรู้สึกว่าเราอยากทำร้านยาร้านนี้ให้มีคุณภาพ
• แล้วก็เลยได้เปิดร้านขายยามาตั้งแต่ตอนนั้น
ใช่ค่ะ ก็ค่อยๆ ทำมา ช่วงแรกๆ บอกเลยว่ามาอยู่เองทุกวัน ช่วงเช้าก็มาเปิดร้านเอง ช่วงเย็นๆ ก็จะไปทำงานกับวงละอองฟอง งานร้องเพลงส่วนใหญ่จะมาช่วงกลางคืน ซึ่งกลางคืนก็จะจ้างเภสัชกรมาอยู่แทนเพราะเป็นนโยบายร้านเราตั้งแต่ตอนเปิดร้านแล้วว่าร้านขายยาของเราตั้งแต่เปิดร้านจนปิดร้าน คุณเข้ามา คุณจะได้เจอเภสัชกร
• เลือกเรียนเภสัชศาสตร์ตามความฝัน แล้วทำไมถึงได้ไปเป็นนักร้อง วงละอองฟองได้ แบบนี้อาชีพนักร้องก็เป็นอีกหนึ่งความฝันเหรอคะ
จริงๆ นักร้องก็เป็นอีกหนึ่งความฝันของออนนะคะ ถามว่าเริ่มฝันตั้งแต่เมื่อไหร่ อันนี้ออนบอกไม่ถูกเหมือนกัน (หัวเราะ) รู้แต่ว่าเราชอบร้องเพลงมาตั้งนานแล้ว ที่บ้านก็แซวตลอดว่าตอนเด็กๆ ประมาณ 3 เดือน พอตะวันลับขอบฟ้าเราจะร้องไห้ทันที ทำยังไงก็ไม่หยุดร้อง สงสัยโตขึ้นมาอยากเป็นนักร้องอะไรประมาณนี้ค่ะ (หัวเราะ)
ออนเรียนเปียโนมาตั้งแต่เด็กอายุประมาณ 3-5 ขวบเรียนจนถึงมัธยมปีที่ 3 ก็เริ่มรู้ตัวเองว่าเราอยากเป็นนักร้อง ช่วงมัธยมปลายก็เลยไปเรียนร้องเพลงแทน เพราะเรารู้สึกว่าโตมาฉันไม่ได้อยากเป็นนักเปียโน แต่อยากร้องเพลงมากกว่า ออนก็เลยเลิกเรียนเปียโน ซึ่งคุณแม่ก็ตกใจเพราะเราเรียนเปียโนมาตลอด เราก็ได้แต่บอกไปว่าเราอยากเป็นนักร้อง อยากเรียนร้องเพลง ซึ่งช่วงนั้น การเอนทรานส์ก็เป็นอะไรที่หนักด้วยแต่ว่าการร้องเพลงเป็นอะไรที่ทำให้เราได้ผ่อนคลาย ตอนนั้นก็ทำควบคู่กัน จนได้มาเป็นนักร้องวงละอองฟองตอนมหาวิทยาลัยปี 1 ค่ะ (ยิ้ม)
• ตอนนั้นคิดว่าเราจะทำทั้งสองอาชีพเลยหรือเปล่าคะ ประมาณว่าเภสัชกรก็ชอบ นักร้องก็ใช่?
ใช่ค่ะ จะบอกว่าเป็นช่วงจังหวะชีวิตที่ดีมากก็ว่าได้ เพราะพอเราเอนทรานซ์ติดคณะเภสัชศาสสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เราได้ทำอะไรหลายอย่างที่อยากทำ ออนโชคดีนะคะที่คุณพ่อคุณแม่บอกว่าไม่จำเป็นต้องเรียนได้เกรด 4 เรียนให้เอาตัวรอดก็พอ พอเข้ามหา’ลัย ออนก็เลยเบนเข็มไปว่าต่อไปนี้ฉันจะไม่เรียนเอาเกรด 4 แล้ว ฉันจะเรียนและทำกิจกรรมให้มาก ฉันจะมีเพื่อนให้เยอะ เพราะฉะนั้น ตอนนั้นมีกิจกรรมอะไรทำหมด อยากเป็นลีดฯ ของจุฬาฯ ก็ไปสมัคร มีออดิชันนักร้องวงละอองฟอง เราก็เลยเข้าไปสมัคร แล้วก็เลยได้มาทำวงละอองฟอง
ตอนนั้นคุณพ่อกับคุณแม่ออนเขาไม่ว่าอะไรเลยนะ เขาบอกอยากทำอะไรทำให้เต็มที่ เรียนไม่ต้องได้เกรด 4 แต่ต้องเอาตัวรอด นั่นแปลว่าคุณจะต้องเรียนให้จบ เภสัชฯ เรียน 5 ปี ต้องจบ 5 ปี 6 ปี 7 ปีไม่เอา โดนรีไทร์ไม่เอา เราก็บอกไปว่าได้ เราจะเรียนให้จบปกติ ซึ่งเภสัชฯ จะมีทำแลป เพราะฉะนั้น เราโดดไม่ได้ ก็เลยเกิดความรู้สึกติดใจ ติดค้างกับทางละอองฟอง เหมือนเราทำได้ไม่เต็มที่ ไม่ได้เดินสายเต็มที่
• คิดว่าการร้องเพลงเป็นพรสวรรค์ เภสัชกรเป็นพรแสวงหรือเปล่าคะ
ออนคิดว่ามันต้องมีคู่กันทั้งสองอย่างไม่ว่าจะอาชีพอะไรก็ตาม ต้องมีทั้งสิ่งที่มีมา กับสิ่งที่ต้องหา อย่างเรื่องร้องเพลง ออนโชคดีที่มีน้ำเสียงซึ่งพี่เอ๊ะ (มือเบส/ร้อง วงละอองฟอง) บอกว่าออนมีน้ำเสียงเป็นละอองฟอง มีเนื้อเสียงที่เป็นละอองฟอง มีทัศนคติที่เป็นละอองฟอง เขาเลยเรียกเราไปตอนออดิชัน เขาบอกว่าเราไม่ใช่คนที่มีเทคนิคแพรวพราว ไม่ใช่คนที่ร้องเพลงเก่งที่สุด แต่พี่เขาว่าเราใช่ เนื้อเสียงใช่ ทัศนคติใช่ ซึ่งเขามาถามว่าทำไมถึงอยากเป็นนักร้อง ตอนนั้นเราอายุ 18 ปี ยังเด็กอยู่เลย ก็ได้แต่บอกเขาไปว่าเราชอบร้องเพลง เวลาเครียดก็จะร้องเพลง เพลงทำให้ยิ้มได้
ส่วนเภสัชกรก็ต้องมีพรสวรรค์นะเพราะการที่เราจะช่วยคนไข้ให้เขาหายจากอาการที่เป็นอยู่ มันไม่ใช่แค่จ่ายยาอย่างเดียว คนที่เรียนเกรด 4 หรือคนที่เกรดสูงกว่าใช่ว่าจะรักษาได้ดีที่สุด เรื่องพรแสวงคือเรื่องวิชาการเรียน แต่พรสวรรค์คือการบริการ ใจรักการบริการ ตรงนี้คือจุดที่ทำให้คนไข้ได้รับความสะดวกสบาย
• ถ้าย้อนกลับไปถามถึงตอนที่เรียนไปด้วยร้องเพลงไปด้วย มีอุปสรรคต่อการเรียนบ้างไหมคะ
เกรดอาจจะดีกว่านี้ ถ้าไม่ได้ทำกิจกรรมไปด้วย แต่ก็โอเคนะที่จบมาเกรดเฉลี่ย 3.3 คือเราไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องเกียรตินิยมหรืออะไรอยู่แล้ว ส่วนอุปสรรคมีอย่างเดียวคือเรื่องเวลา มันมีจำกัด แล้วเราเพิ่มไม่ได้ ถามว่าอยากให้อะไรเพิ่มขึ้น ก็อยากให้วันหนึ่งมีมากกว่า 24 ชั่วโมง (หัวเราะ)
• แล้วแบ่งเวลาอย่างไรคะ เพราะเรียนเภสัชศาสตร์ก็น่าจะหนักพอสมควรแล้วไหนต้องร้องเพลงอีกด้วย
ณ ตอนนั้น ตอนที่ยังเรียนอยู่ บอกเลยว่าการเรียนต้องมาก่อน ออนจะบอกกับคุณพ่อคุณแม่ บอกกับทางค่าย บอกกับทุกคนว่าเราไม่ขอดรอปเรียน ขอไม่ลาเรียน แต่พอเรียนจบ รับปริญญาปุ๊ป เราขอให้งานกับวงละอองฟองมาเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งความเห็นของทุกคนก็ตรงกันเพราะว่าต่างคนต่างมีภารกิจหน้าที่ของตัวเองหมด ทั้ง พี่เอ๊ะ (มือเบส/ร้อง วงละอองฟอง) พี่แมน (มือกีตาร์วงละอองฟอง) เพราะว่าพี่ๆ เขาก็มีธุรกิจส่วนตัว มีงานประจำทำกัน หลังเรียนจบมา การร้องเพลงคือเป็นอันดับหนึ่งเลยเพราะเราเริ่มบริหารอะไรต่างๆ ได้ลงตัว มันทำให้เราได้ทำอะไรหลายอย่าง รู้ว่าต้องแบ่งเวลายังไง
• ตอนนี้เราได้มารับผิดชอบทั้งสองหน้าที่เลย ตรงนี้เราแยกแยะอารมณ์ตัวเองได้อย่างไรเพราะทั้งสองอาชีพแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เราต้องปรับอารมณ์ ปรับตัวให้เหมาะสมกับอาชีพนั้นๆ หรือเปล่า
ไม่เลยนะคะ แต่จะบอกว่าการเป็นนักร้องจะเป็นงานที่เราเอาความเป็นตัวเองออกมาเป็นหลัก เราทำเพลงเพราะความเป็นเรา พี่ในวงเขาก็จะบิลด์อารมณ์ให้ว่าเรามาถึงวันนี้ได้ยังไง มีคนร้องเพลงเราได้ มีคนปรบมือให้เวลาถึงวงเรา เขาก็จะบิลด์เรา เราก็ซึมซับ ว่ามันมีมุมดีๆ ได้ แต่ในทางกลับกัน การเป็นเภสัชกร เราไม่ได้มองตัวเองเป็นที่ตั้ง เราจะมองลูกค้าเป็นหลักว่าลูกค้าเราอยากได้อะไร ลูกค้าเราเป็นอะไร จริงๆ ลูกค้าป่วยเราต้องดูลึกเข้าไป เพราะบางคนเขาไม่ได้ต้องการยานะ แค่ต้องการให้เราพูดว่าควรพักผ่อนให้เพียงพอ เขาแค่อยากได้คำปรึกษา
ออนได้รู้ว่าตัวเองโชคดีมาก เพราะแต่ก่อนออนไม่ได้เป็นคนฟรุ้งฟริ้งอะไรขนาดนี้ ไม่ได้เป็นคนโลกสวย แต่การที่เราได้อยู่กับวงละอองฟอง ทำทุกวัน พูดทุกวัน มันทำให้เราเปลี่ยนตัวเอง ถามตัวเองว่าแล้วคุณทำหรือยัง อยากให้คนอื่นมองโลกในแง่ดี บางทีเราก็นอยด์ เราก็ต้องเตือนตัวเองว่าอย่านอยด์ และพอมันฝึกทุกวันจนกลายเป็นตัวเรา สิ่งนี้เราก็เอามาใช้กับทุกๆ เรื่อง มันทำให้คนรอบข้างเรามีความสุขมากขึ้น ทำให้ร้านเภสัชกรนี้เป็นครอบครัว ไม่มีแบบขรึมเข้ม เขาจะเกรงใจเราด้วยความที่ให้เกียรติเขา และจะไม่เคยว่า ไม่เคยว่าใครตรงๆ ออนจะให้เหตุผลเขา เพราะอะไรถึงให้คุณทำแบบนี้ ถ้าคุณต้องการแบบนี้ คุณก็ต้องแบบนี้เหมือนกันนะ
ตอนนี้ออนแฮปปี้มาก (ลากเสียงยาว) เหมือนเราหาจุดตัวเองเจอ ตอนแรกๆ มันจะมีจุดที่หาตัวเองไม่เจอ จุดที่มีความเครียดเกิดขึ้น แต่ไม่นานมานี้ที่บอกว่าหาจุดเจอ ออนจะคิดทุกเรื่องให้เป็นเรื่องบวกให้ได้
• ระหว่างการเป็นนักร้องกับการเภสัชกร ทั้งสองอาชีพยากง่ายอย่างไรคะ
มันก็ต้องการทักษะที่ต่างกันนะ ถามว่ายากไหม ออนว่ามันไม่ยากหรอกค่ะ ถ้าใจอยากทำ แต่ถ้าใจรู้สึกว่าไม่อยากทำ มันจะทำให้รู้สึกว่ามีอุปสรรค มันเป็นสิ่งที่เราเลือกที่จะทำทั้งคู่
• แล้วถ้าไม่ได้ทำงานสองอย่างนี้ อยากเป็นอะไรอีกไหม มีความฝันอย่างอื่นหรือเปล่า
จริงๆ ดีเจก็เป็นความฝันนะ ปัจจุบันนี้ นอกจากงานเภสัชกร งานร้องเพลง งานออฟฟิศ ออนก็ยังมีงานดีเจ อยู่ที่คลื่น 103 FM ด้วยค่ะ นั่นก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้ออนได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้วิชาใหม่ (ยิ้ม) เรามีความสุขที่จะทำตรงนี้ ได้เรียนรู้ มันมีประโยชน์ต่อคนอื่นนะ คืองานแต่ละงาน เราอยากสร้างกำลังใจ สร้างให้คนคิดบวก (ยิ้ม)
• เคยคิดว่าจะวางไมค์แล้วหันมาทำอาชีพเภสัชกรอย่างเดียวเลยไหมคะ
เคยคิดนะคะว่าเราจะทำอัลบัมสุดท้าย เพราะอัลบัมแรกกับอัลบัมที่ 2 ห่างกันตั้ง 7 ปี แล้วเราก็ไม่รู้ว่าอัลบัมต่อไปจะห่างกันอีกกี่ปี (หัวเราะ) แต่ว่าตราบใดที่ยังมีคนอยากฟัง ออนก็จะทำต่อ มีคนถามเยอะว่าแต่งงานแล้ว ยังจะร้องเพลงต่อหรือเปล่า มีคนถามเรื่อยๆ จะเลิกร้องไหม เราก็ตอบไปว่าถ้ายังอยากฟังก็ยังจะร้องให้ฟัง เพราะว่าการร้องเพลงคือความสุขของออนอย่างหนึ่ง ถามว่าจะเลิกร้องเพลงไหม ชีวิตนี้คงไม่เลิก เพียงแต่ว่าจะออกอัลบัมไหม ก็ขึ้นอยู่ที่แฟนๆ แต่จริงๆ ออนเชื่อว่ามีกลุ่มแฟนๆ แน่ แต่ว่าจะเล็กหรือใหญ่แค่นั้นเอง ซึ่งเราอยู่ได้เพราะแฟนๆ เราก็จะไม่ทิ้งเขา คิดว่าจะทำเหมือนเดิมไปเรื่อยๆ ค่ะ
• ที่เขาบอกว่าจับปลาสองมือ แล้วจะทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน มีความเห็นว่าอย่างไรกับคำนี้บ้างคะ
ออนมองว่าทุกอย่างแล้วแต่คนคิด แต่ว่าเราเลือกเองที่อยากจะทำอะไรหลายอย่าง เพราะว่าเรารู้สึกว่าคนเราประสบการณ์มันต้องสร้าง เราจะรู้ได้ไงว่าเราชอบอะไร เราต้องฝึกงานหลายๆ อย่าง อย่างออน ออนก็หาตัวเองจากหลายๆ อย่าง พอเจอสิ่งที่เราชอบแล้ว เราก็ลงมือทำ จริงๆ มันอาจจะไม่ได้ดีจนได้รับรางวัล แต่ว่าทำให้ดีอย่างที่เราตั้งเป้าหมายไว้แค่นั้นเอง
สุดท้าย มันก็แล้วแต่คนมองว่าบวกหรือไม่บวก แต่คนรอบข้างเราเขาโอเคที่เราทำแบบนี้เพราะสิ่งที่เราทำมันก็เอามาต่อยอดเขาได้ ส่วนตัวออนไม่คิดว่าตัวเองจับปลาสองมือแล้วจะทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันอย่างที่เขาว่ากันนะ เพราะเราตั้งเป้าไว้ว่าเราจะทำอะไร แล้วก็ทำให้ถึงเป้าหมาย และนั่นก็คือความประสบความสำเร็จของเรา อีกอย่าง ทุกวันนี้ เรามีความสุขกับงานตรงนี้แล้ว (ยิ้ม)
• แล้วถ้าเลือกได้ ให้เลือกทำอาชีพใดอาชีพหนึ่ง คุณออนจะเลือกอาชีพอะไร
ถ้าให้เลือก ออนก็คงเลือกปรุงยาอยู่ที่บ้าน ส่งขายร้านทั่วประเทศแล้วก็ร้องเพลงให้คนที่มาซื้อยาฟัง (หัวเราะ) สุดท้ายก็เลือกไม่ได้หรอกค่ะ ก็มันชอบทั้งสองอย่างนี่เนอะ (ยิ้ม)
• เหมือนคุณออนจะเป็นคนที่รักการทำงานมาก อีกอย่างดูทำงานเก่ง เรามีมุมมองกับตัวเองอย่างไรบ้างคะ คิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองเพอร์เฟ็คต์ในเรื่องการทำงานบ้างไหม
ออนเป็นคนชอบทำงานค่ะ สนุกดี ถ้าตื่นมาไม่รู้จะทำอะไร มันไม่เครียดกว่าเหรอคะ แต่เราจะหงุดหงิดกับอะไรที่จัดการไม่ได้ ที่อยู่นอกเหนือการจัดการ สมมติมีปัญหาเข้ามาแล้วเราต้องแก้ ถ้าแก้ได้มันก็เป็นความสุข ความสนุก ออนจะไม่เคยหนีปัญหา เราจะหนีก็ต่อเมื่อมันเป็นอะไรที่นอกเหนือการควบคุม แล้วเราทำอะไรไม่ได้จริงๆ ส่วนตัวออนมองว่าเราก็ยังมีจุดบกพร่องนะ ยังมีจุดที่ต้องแก้กันต่อไป บางทีก็มีคนบอกว่าออนเป็นคนแข็งไป ตรงไป ต้องอ่อน ต้องยอมงอลงบ้าง เราก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป ออนไม่เคยมองว่าตัวเองเพอร์เฟกต์ ไม่เลยจริงๆ
• มีช่วงเวลาที่เหนื่อยหรือท้อบ้างไหมคะ
ไม่เหนื่อยค่ะ (ตอบเร็ว) คิดโปรเจคต์สนุกดี อีกอย่างออนไม่มีอารมณ์ท้อเลยนะคะ เพราะถ้าเราหากำลังใจให้ตัวเองได้ ไม่มีทางท้อแน่นอน ออนโชคดีที่คนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นครอบครัว คู่ชีวิต เขาจะช่วยให้เราคิดบวก เมื่อไหร่ที่เราเริ่มบ่น เขาก็จะดึงเรากลับมาให้คิดบวก อย่าไปคิดว่าเราเหนื่อย อย่าไปคิดว่าเราท้อ คิดแล้วมันจะยิ่งล้า จริงๆ บางคนที่ชอบบ่น ชอบเบื่อการทำงาน ต้องแก้นะคะ เพราะการที่เราพูดอะไรที่ลบออกไปจากตัว มันก็จะยิ่งลบ ต้องพูด ต้องมองแง่บวก
• ปัจจุบันเราได้เห็นนักร้อง นักดนตรีสมัยนี้ต้องทำงานประจำไปด้วย แสดงว่าการเป็นศิลปินในยุคสมัยนี้สะท้อนให้เห็นว่าวงการเพลงมันไม่เฟื่องฟูเหมือนกับสมัยก่อนที่เป็นนักร้องอย่างเดียวก็ได้ ตรงนี้คุณออนมีความคิดเห็นว่าอย่างไรบ้างคะ
ไม่นะ (ตอบเร็ว) แต่ก็อาจจะมีส่วน แต่ถามว่าถ้าทุกวันนี้เป็นนักร้องหรือศิลปินอาชีพเขาอยู่ได้ไหม ก็อยู่ได้นะ แต่บางทีเราต้องยอมรับว่าทำหลายอย่างพร้อมกันก็อาจจะออกอัลบัมไม่ได้ถี่ อย่างออนก็มีข้อจำกัด คือไม่สามารถออกเดินสายได้เป็นเดือนๆ มันก็มีข้อดีข้อเสีย อย่างวงเราทุกคนมีอาชีพประจำกันทั้งนั้น วงละอองฟองจึงเป็นรายได้เสริม ในฐานะของการเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเรามีความสุข
• แล้วในฐานะเภสัชกรคนหนึ่ง คุณออนมีคำแนะนำสำหรับน้องๆ ที่อยากเป็นเภสัชกรบ้างไหมคะว่าเขาควรจะทำอย่างไร ต้องเตรียมตัวอย่างไร
ต้องออกตัวก่อนว่า จริงๆ แล้ว ออนไม่ค่อยรู้ระบบแอดมิชชันเท่าไหร่ เพราะสมัยก่อนยังเป็นเอนทรานส์อยู่ แต่จริงๆ อยากให้น้องทุกคนเริ่มต้นจากการหาตัวเองก่อนว่าชอบอะไร แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราชอบอะไร น้องต้องลอง ถ้าอยู่เฉยๆ น้องอาจจะไม่รู้ ลองไปขอฝึกงานดู อย่างออนอยู่ร้านขายยาตั้งแต่เด็กๆ ออนเลยรู้ว่าเราชอบอะไร เดี๋ยวนี้มี open house เยอะแยะเลย น้องต้องลองไป open house กับคณะต่างๆ ดู ลองไปที่ต่างๆ จะได้รู้ว่าเราชอบอะไร
อย่างคณะเภสัชศาสตร์ก็เหมือนกัน ออนมองว่าไม่จำเป็นต้องเก่งเลยนะ แต่ว่าเราต้องมุ่งมั่น ต้องชอบในบางวิชาเป็นพิเศษ ยกตัวอย่างเช่น เคมี เพราะว่าเภสัชกรจะชัดเจนแล้วว่าต้องอยู่กับยา เพราะฉะนั้น ตัวยาจะต้องรู้โครงสร้างเคมีในแต่ละตัวว่ายาตัวนั้นกินกับยาตัวนี้ได้หรือเปล่า หรือสูตรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นครีมสูตรที่ออนทำ ก็เกี่ยวกับเคมีทั้งสิ้น รองลงมาก็เป็นชีววิทยาแล้วก็ด้านคณิตศาสตร์ การคำนวณก็จำเป็น แต่ว่าฟิสิกส์ก็จะน้อยหน่อย ก็จะตั้งใจเรียนวิชาพวกนี้เป็นพิเศษ
• ในอนาคต มีเป้าหมายต่อไปอย่างไรกับทั้งสองอาชีพนี้บ้างไหมคะ หรือว่าอยากจะทำอะไรอีกบ้างไหม
ความสุขของเราคือการร้องเพลง ถ้าเราได้ร้องแล้วส่งความสุขให้คนฟัง นั่นคือเป้าหมายของเราค่ะ ถ้าคนฟังเรา เขายังมีความสุข เราก็จะทำต่อไป ส่วนเป้าหมายกับงานเภสัชกร ก็คือเราอยากทำให้คนในชุมชนมีร้านขายยาแบบไม่หวังผลกำไร อยากให้คนไข้ที่มา ได้ยาที่ถูกกับอาการจริงๆ อยากให้เภสัชกรในร้านทุกคนมีความสุข มีรายได้ที่อยู่ได้ อยากให้ร้านขายยาของเราเป็นเหมือนบ้านของทุกคน
ส่วนอยากจะทำอะไรอีกไหม ยังไม่ได้คิดไว้เลยค่ะ เพราะมันก็มีบทบาทที่เปลี่ยนไป และเราก็เพิ่งแต่งงาน มีอีกคนที่เราต้องดูแลด้วย คิดว่าน่าจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แต่ก็จะไม่ปฏิเสธงานค่ะ เพราะแต่ก่อนออนเป็นคนที่ชอบปฏิเสธ เราเลยลองตั้งปณิธานกับตัวเองว่าเราจะตอบตกลงกับเรื่องที่เข้ามา จากเมื่อก่อนเราปฏิเสธแต่เราก็เปลี่ยนเป็นลองดู ผลปรากฏว่ามันดี เราได้ลองอะไรใหม่ๆ ซึ่งตอนนี้ก็ได้เป็นดีเจ เล่นหนังผีด้วย ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี่ไม่เอาเลยนะ เพราะเราคิดว่าเราทำไม่ได้
• สุดท้ายอยากให้คุณออนฝากถึงคนที่เขาอยากเก่ง อยากประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานหน่อยค่ะ
ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จต้องตั้งเป้าหมาย ต้องชัดเจนว่าเราจะทำเป้าหมายนั้นภายในเมื่อไหร่ อย่างไร แล้วทำยังไงจะไปถึงเป้าหมายให้ได้ เราไม่ต้องตั้งเป้าหมายให้สูงอย่างใคร แต่ว่าเป้าที่เรามีความสุขอยู่ตรงไหนก็ทำ อย่างออนอยากทำให้คุณพ่อคุณแม่ เป้าหมายของเราคือทดแทนบุญคุณ ท่านมีความสุข นั่นแหละเราประสบความสำเร็จแล้ว (ยิ้ม)
ทุกอย่างสร้างได้ คิดให้ดีก่อนแล้วค่อยตั้งเป้า บอกกับตัวเองทุกวันว่าฉันจะทำ ออนเชื่ออย่างหนึ่งว่าถ้าเราคิดบวก เราจะดึงให้คนคิดบวกเข้ามาหาเรา ถ้าเราคิดลบ เรานอยด์ คิดว่าทำไมอย่างนั้นล่ะ ทำไมอย่างนี้ล่ะ ไปบ่นให้คนอื่นฟัง คิดว่าคนอื่นเขาจะมีความสุขด้วยเหรอ แล้วเขาก็จะเครียด เราก็พยายามฝึกตัวเอง เชื่อว่าได้ผลแน่นอน อยากจะให้ลองเก็บไปทำกันดู ซึ่งการทำแบบนี้ ทำให้งานเราออกมาดีด้วยนะคะ
และสุดท้าย ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองรัก แต่ว่าถ้าเราไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักจริงๆ เราก็ต้องรักในสิ่งที่เราทำให้ได้ค่ะ (ยิ้ม) หามุมเล็กๆ ในงานที่ชอบ สมมติว่าชอบถ่ายภาพ มีคนส่งรูปเราต่อ บอกว่ารูปนี้สวยนะ ถ่ายเก่งจังเลย ขอบคุณนะ เพราะว่าเคยมีเหมือนกัน ช่างภาพมาปรึกษาว่าเบื่อ ไม่อยากทำงานประจำที่หนังสือเล่มนั้น เล่มนี้แล้ว เขาก็มาถามเราว่าเราเคยเบื่อร้องเพลงบ้างไหม ซึ่งเราก็ได้แต่บอกไปว่า หาตัวเองให้เจอ แล้วหาคุณค่างานของเรา งานทุกอย่างมีคุณค่าหมด (ยิ้ม)
ผลงานเพลง วงละอองฟอง
เรื่อง : วรัญญา งามขำ, ปาณิสรา บุญม่วง
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ
ขอบคุณสถานที่ : ร้านขายยา Health Me โทร.02-115-4671