จากน้ำหนัก 120 กิโลกรัม เหลือเพียง 70 กิโลกรัมต้นๆ เคยผ่านทั้งงานเวทีเดินแบบ ละคร ซิตคอม ออกอัลบัม และรางวัลการประกวดร้องเพลงมากมาย ก่อนจะวกกลับมา “อ้วน” อีกไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ทำให้ต้องศูนย์เสีย “ความฝัน - ความมั่นใจ” แต่เขาก็ลุกขึ้นได้อีกครั้ง พร้อมกับร่างกายที่กลับมาฟิตและจิตใจที่เฟิร์ม กำลังท้ออยู่ใช่ไหม นี่คือเรื่องราวที่จะเติมเต็มพลังใจให้แก่คุณ
"ชัยชนะมักวิ่งไปหาผู้ที่เตรียมทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมอยู่เสมอ เราเรียกสิ่งนั้นว่าความโชคดี ผู้ที่ข้ามขั้นตอนจำเป็นไป ในภายหลังต้องได้รับความล้มเหลวอย่างแน่นอน เราเรียกสิ่งนั้นว่าความโชคร้าย"
ถ้อยคำที่ “ไรอัลด์ อามุนด์เซน” นักสำรวจขั้วโลกกล่าวไว้ในย่อหน้าที่ผ่าน คงไม่แตกต่างกันนักกับชีวิตของคนหนุ่มคนนี้ "เบท-นราวิศน์ บุณยพัตพิสิฐ" ผู้พลิกชีวิตจากอดีตลูกเป็ดขี้เหร่ และอดีตหนุ่มแฮนด์ซัมในคราเดียวกัน...
จากลูกเป็ดขี้เหร่อ้วนดำ
สู่นายแบบแฮนด์ซัม
"มันเริ่มจากการที่ผมเอนจอยกับการกิน ตั้งแต่จำความได้ ก็กินเก่งแล้ว"
อดีตเด็กเจ้าเนื้อจ้ำม่ำกว่า 120 กิโลกรัม เริ่มต้นสนทนาถึงสาเหตุที่มาของเรื่อง
"เหมือนว่าคุณพ่อคุณแม่ในสมัยที่ท่านเด็กๆ ลำบากมาก่อน พอเขามีเรา เขาก็อยากจะให้เราเต็มที่ทุกอย่าง เรื่องกินก็เต็มที่ เราก็เต็มที่อย่างที่เขาต้องการ (หัวเราะ) ขาหมูก็เป็นขาหมู กินไข่ต้มวันละ 10 ฟอง ร่วมกับอย่างอื่นด้วย ก็สุดท้าย ตอนเด็ก หาเสื้อผ้าใส่ไม่ได้เลย กางเกงนักเรียนนี่เอว 46 สมัยก่อนไม่มี ต้องสั่งตัด เสื้อก็ต้องสั่งตัด"
ตัดเสื้อผ้ากางเกงชุดนักเรียนยังไม่พอ นราวิศน์เล่าว่าการกินของเขานั้นเพียงแค่ชั้นประถม 3 ก็ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดไส้ติ่ง ทรมานเป็นเดือนๆ เพราะแผลหายช้ากว่าคนรูปร่างปกติ
"เพราะกินเสร็จแล้วไปวิ่ง วิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ตอนนั้นก็อยู่ ป.3 ก็ต้องไปผ่าตัดไส้ติ่ง พอเป็นไส้ติ่ง ผ่าตัดปุ๊บ ชั้นไขมันมันหนาใช่ไหม มันก็ติดเชื้อ เราก็ปวดแผลไปนาน เป็นเดือนเหมือนกัน นั่นก็เป็นปัญหา และเป็นจุดแรกเลยที่ทำให้เราคิด ทำไมมันทรมานจังวะ"
"แต่เราก็ยังคิดไม่ได้จริงๆ หรอก จนกระทั่งตอนเรียน ป.6 ก่อนเข้าชั้นมัธยม 1 เป็นวัยรุ่นก็เริ่มสนใจสาวๆ เรื่องรูปร่าง ก็เริ่มมองตัวเองในกระจก ทำไมเราน่าเกลียดอย่างนี้วะ คอก็ดำ ไปหาหมอทุกหมอเลยเพื่อแก้คอดำ แต่ก็ไม่หาย อายเขา โดนเพื่อนล้อ คอดำๆ อ้วนดำๆ เหมือนเรื่องแฟนฉันเลย แล้วตัวก็จะเหม็นเปรี้ยว ก็รู้สึกว่าต้องเริ่มปรับปรุงตัวเองตั้งแต่ตอนนั้น"
โดยการเป็นกีฬาบาสเกตบอลของโรงเรียน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ถึงแม้จะอยู่ในช่วงเจริญวัยและส่วนสูงที่เข้ามาหักล้างน้ำหนัก จะช่วยให้ความเหลื่อมล้ำบาลานซ์ก็ตามที
"ไม่ได้ผล..." ชายหนุ่มลากเสียงจงใจให้ผลลัพธ์ในวันนั้นหายลงลำคอ ก่อนจะผุดสาเหตุสำคัญที่ทำให้ความอ้วนยังประกบตามเป็นเงา
"เพราะว่าการลดความอ้วน มันเหมือนกับเราต้องมีแรงบันดาลใจ แต่ตอนนั้นเรายังไม่ตั้งมั่นพอ ทั้งๆ ที่เป็นนักบาสเกตบอลโรงเรียน ออกกำลังกายก็ออก ตัวก็เริ่มยืด มันก็ช่วยขึ้นมาแค่หน่อยเดียว"
"ชีวิตก็ดำเนินมาอย่างนี้เรื่อยๆ จนขึ้น ม.3 เรารู้สึกว่า เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว"
นราวิศน์ กล่าวแซมยิ้ม เมื่อเอ่ยถึงความพยายามอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับสร้างบาดแผลลึกลงไปในจิตใจ จนถึงขนาดต้องล้มเลิกความฝันในเสียงเพลงอันเป็นที่รักไว้เบื้องหลัง
"คือตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่จับไมค์ประกวดร้องเพลง ขึ้นประกวดเวทีจังหวัด เวทีอำเภอโน่นนี่นั่น เราก็ชนะได้ที่ 1 ได้รางวัลพระราชทานเพลงสากลปี 2549 แต่พอลงเวทีแล้วก็แค่นั้น เขาไม่ได้สนใจเรา เขาสนใจคนอื่นที่รูปร่างหน้าตาดีกว่าเรา เราก็เลยเสียความรู้สึกตัวเอง คือแทนที่เราจะไปได้สุดกว่านี้ เรากลับหยุดอยู่แค่นี้ มันเหมือนมีกำแพงอยู่ในใจว่าเราอ้วน เราไม่โอเค มันเป็นปม"
หลังจากผิดหวังชีวิตคืนวันก็ปล่อยผ่าน ความล้มเหลวที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเลือนหายไป ที่เพิ่มขึ้นมาก็มีเพียงน้ำหนักตัวกว่า 30 กิโลกรัมโดยประมาณ ในระยะเวลา 2 ปี
"ที่บ้านก็เริ่มเป็นห่วงเรา กลัวเราจะมีปัญหา คุณแม่ก็จะเริ่มห้ามการกินของเรา เราก็ไม่พอใจ เราก็ทำเป็นฟัง แต่เราก็แอบทุกๆ เย็นจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปซื้อขาหมูกับข้าวสั่งพิเศษ 60 บาท ได้ชามใหญ่ๆ มานั่งกินในห้องทุกวันๆ น้ำหนักเราก็ขึ้นมาถึง 120 กิโลกรัม สูงไม่ถึง 170 เซนติเมตรด้วย ก็ไม่ไหวแล้ว"
"เพราะขาเราก็เริ่มที่จะแบะออก ด้วยน้ำหนักตัวที่มาก อีกอย่างก็ใกล้เข้ามหาวิทยาลัยแล้วด้วยช่วงมัธยม 6 คราวนี้ก็เลยไปวิ่ง แล้วสมัยนั้นเขาฮิตเต้นแอโรบิกกัน เราก็ไปเต้นกับป้าๆ น้าๆ ผู้หญิง คือเราคิดว่ามันไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวจริงๆ ความองความอายไม่มีนาทีนั้น (ยิ้ม) ก็ลดลงมาเหลือ 96 กิโลกรัม ก่อนขึ้นปี 1"
ทำท่าเหมือนจะไปได้สวย หากดำเนินไปตามครรลองนี้ แต่แล้วด้วยความที่เร่งรัดตามประสาคนหนุ่ม ยิ่งโลกของวัยรุ่นเปิดม่านเต็มตัวในชีวิตมหาวิทยาลัยก็ทำให้เขาตัดสินใจใช้ “ยาลดความอ้วน” เป็นตัวช่วย ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เขาล้มคว่ำอีกครั้ง และยังจดจำเป็นบทเรียนจนถึงทุกวันนี้
"คือช่วงของการเข้าปี 1 ได้หน่อยๆ ก็ไปลองกินยา เขาว่าสถาบันไหนดี ไปหมด เอามากินหมด กินแค่เดือนเดียวเรารู้สึกว่า เรียนไม่รู้เรื่อง มันหลอน แล้วมันเบลอ มันปวดหัว มันเวียนหัว มันจะอ้วก คนรอบๆ ข้าง คนใกล้ชิด อย่ามายุ่งเด็ดขาด จิตมันตก มันเป็นความทรงจำที่แย่มากเลย ก็หยุดกิน แต่ก็เป็นฝันร้ายในชีวิต ทุกวันนี้ยังพูดแล้วขนลุกอยู่เลย"
"น้ำหนักก็กลับมาแตะถึง 100 กิโลกรัม กลับมาอ้วนอีก จนเรียนไปประมาณ ปี 3-4 เราเริ่มคิดแล้วว่าถ้าจบไปเราจะทำอะไรดี เราเรียนนิเทศ สาขา วิทยุโทรทัศน์
"ช่วงนั้นก็คิดอีกที่จะลดความอ้วน คือถ้าเราอ้วนแบบนี้ ในรั้วมหา'ลัยเขาให้โอกาสเราเสมอ ให้เราเป็นพิธีกร เป็นนักร้อง เท่าที่เราอยากจะเป็น แต่ถ้าเราออกมาโลกภายนอกแล้ว เราต้องแข่งกันกับใครอีกตั้งหลายคน ซึ่งแน่นอนว่ารายการต่างๆ ตามหาฝัน เราไปมาหมด แต่สุดท้ายแล้ว เราก็ยังไม่มั่นใจ เพราะความอ้วนของเรา ทุกอย่างที่เราทำออกมามันจะไม่ดี ก็ไม่ได้"
"คือในโลกความเป็นจริง ความสามารถดีไหม ถ้าเรามองที่ความสามารถอย่างเดียวมันก็ดี แต่ในทุกวันนี้ต้องยอมรับครับว่าความสามารถของเราทุกคนแล้ว มันพัฒนากันได้เสมอๆ แต่จิตใจที่เข้มแข็ง มันจะพัฒนากันได้มากสักแค่ไหนเชียว"
เป็นอีกครั้งที่ต้องล้มลงไปให้กับคำว่า “อ้วน” แต่กระนั้นคราวนี้เขาเลือกที่จะไม่ยอมแพ้ กัดฟันสู้ร่างกายด้วยการอดอาหาร และก็ชนะในที่สุด ซึ่งก็ทำให้เขาได้มีโอกาสเดินแบบ เล่นละคร ร้องเพลง แต่แล้วด้วยวิธีการลดที่ผิดแบบ “ความฝัน” ก็มลายหายไปกับไขมันกลับเข้าสู่โหมดอ้วนดำอีกจนได้
"คือชีวิตผมมันค่อนข้างผกผัน ขึ้นๆ ลงๆ ลดๆ ตอนนั้นหลังจากเรียนจบ เราก็สามารถลดลงมาได้เหลือประมาณสัก 72-73 กิโลกรัม มีซิกแพกด้วย (ยิ้ม) เราก็ไปร้องเพลงกลางคืน แล้วก็เรียนการแสดงเสริม มันก็ทำให้มีโอกาสได้เล่นละครเรื่อง อนิลทิตา ได้เดินแบบ เล่นละครซิตคอมต่างๆ เรียกได้ว่ามีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เรารัก แต่ว่าเราลดผิดวิธี ไม่ใช่ว่าเราชะล่าใจหรือว่าอะไร เราเลือกใช้วิธีการอดอาหาร เพราะเราคิดว่าก็ลดเฉยๆ คือทำอย่างไรก็ได้ขอให้น้ำหนักลดพอ ออกกำลังกายบ้าง
"ทีนี้การอดอาหารเนี่ย เป็นการทำให้ร่างกายของเราโหยอาหาร ณ วันหนึ่งที่เราต้องการน้ำตาล สมองจะสั่งการว่าเราขาดน้ำตาล เราขาดแป้ง เราก็โหย พอเรากินปุ๊บ ร่างกายที่ไม่เคยได้รับมาเป็นปีๆ พอมันได้รับ มันก็ดูดซับเอาหมดเลย เก็บทุกอย่างที่เรางดมันไว้ เพราะมันกลัวว่าเดี๋ยวมันอดอีก แล้วคราวนี้มันลงยากมาก ก็เลยกลายเป็น 100 กิโล จาก 72-73 กิโลกรัมในช่วงนั้น แค่ 1 ปี"
"งานต่อๆ ไป จากวันแรกที่ผู้กำกับเห็น กับวันแคสติ้งจริง มันไม่ใช่เลย มันห่างกันเป็น 10 กิโลกรัม มันต่างกันมาก เราทิ้งโอกาสตัวเอง มันเป็นบทเรียนของชีวิตที่ทำให้เรารู้ว่า ถ้าวันหนึ่งโอกาสมาถึงแล้ว เราไม่พร้อมคือจบ"
ถึงแม้จะต้องหวนกลับคืนสู่สถานะ “อ้วน” และต้องพับเก็บความฝันลงลิ้นชักอีกครา แต่อย่างน้อยๆ ครั้งนี้ การได้ลองผิดลองถูกทำก็ทำให้เขามีความรู้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างในการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง...
• หลังจากน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาตอนนั้น เราทำอย่างไรกับชีวิต
ก็ปล่อยมาเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็ถูกที่บ้านเรียกตัวให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน ก็มีอยู่วันหนึ่งไปทานอาหารร้านแห่งหนึ่งในวันพ่อ ปี 2557 ที่ผ่านมา เขาก็มีการถ่ายรูปครอบครัวให้เรา ทีนี้พอเราได้เห็นภาพ มันเป็นภาพที่ที่แย่มาก เรารับไม่ได้ และตอนนั้นเรามีโอกาสได้ไปทำอัลบัมการกุศลให้โรงพยาบาลที่บ้าน แต่มันก็ไม่สำเร็จ ก็ไม่ได้โทษใครโทษตัวเอง คือคนบุคลิกดีร้องเพลงดีก็เยอะ คนอ้วนร้องเพลงดีก็เยอะ เราอาจจะยังดีไม่พอ แต่ถ้าเราเอาทั้งสองอย่างมารวมกันได้ มันก็น่าจะทำให้เราทำได้ ก็กลับมาสเต็ปเดิม ขอกลับมาอยู่กรุงเทพฯ บอกกับที่บ้านว่าขอเลยเวลาครึ่งปี ดูแลตัวเองแบบเต็มที่ ไม่ทำอะไรเลย
• กลับมากรุงเทพฯ คราวนี้แล้วยังไงต่อ
ท่านก็สนับสนุนเราเรื่องนี้ตลอดมา ก็ใช้เวลาทั้งหมด 4 เดือน ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกันยายน อยู่แต่ในฟิตเนสวันละ 4-6 ชั่วโมง ทุกวัน จาก 100 กิโลกรัม ก็ลดลงมาเหลือ 74 กิโลกรัมอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าร่างกายก็โอเวอร์เทรนนิ่ง เพราะมันเยอะไป น้ำหนักมันลงเร็วมากก็จริง แต่สุขภาพเราแย่ลงตามไปด้วย คืออากาศในห้องฟิตเนสทำให้เราเป็นภูมิแพ้ เหงื่อจากการออกกำลังกายทำให้เท้าเราโดนเหงื่อกัด มันก็ทรมาน
แล้วก็กลับไปอ้วนอีก (ยิ้ม) เพราะพอเราลดลงได้ เราก็ไปทำงานคอมพิวเตอร์กราฟิก นั่งหน้าคอมพ์อย่างเดียวตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน มีคนเสิร์ฟข้าว น้ำ แล้วบางครั้งไปทำงานร้านอาหารเขาก็เอาไวน์ เอาเบียร์มาให้เราชิม ตั้งแต่เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน-ธันวาคม-มกราคม-กุมภาพันธ์ ปีนี้ 2558 น้ำหนักก็ขึ้นกลับมาเลยเป็น 89 กิโลกรัมเห็นจะได้
• มันรู้สึกท้อไหมกับการลองลดน้ำหนักตัวเอง
ไม่ท้อ...และต้องขอบคุณคุณแม่ เขาสอนให้เราเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ มันคือเรื่องที่เราเจอจนรู้สึกว่าไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ หลังจากนั้นเราก็ลดอีก (ยิ้ม) พอถึงเดือนเมษายนที่ผ่านมา เราป่วย ร่างกายเกิดอาการแพ้อาหาร ก็ลาออกจากงานไปรักษาตัวที่บ้านไปอยู่ 1 เดือน น้ำหนักก็ลงมานิดหนึ่งเพราะเราป่วย เหลือสัก 86 กิโลกรัมเราออกจากโรงพยาบาลวันที่ 11 พฤษภาคม เราก็ถามตัวเองเราจะทำไงดีวะ มันก็ไม่มีอะไรช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง เราก็เลยเริ่มศึกษาวิธีการที่ถูกต้องด้วยตัวเอง คือนักออกกำลังกายทุกคนทราบดีว่า ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จในเรื่องของหุ่นต้องรู้
นั่นคือจุดเปลี่ยน เพราะทำให้ได้รู้ในเรื่องของการลองผิดลองถูกว่า บางคนอาจจะคิดว่าการเดินตามรอยเท้าคนอื่นไม่ใช่เรื่องดี แต่ถ้าเป็นรอยเท้าที่ถูกต้อง มันก็เป็นเรื่องที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้เสมอ อย่างบางคนบอกว่า ถ้าคุณอยากแตกต่างจากคนอื่น คุณต้องลองหาวิธีอื่นสิ แต่การลดน้ำหนัก เราไม่สามารถที่จะหาวิธีที่ดีไปกว่าการออกกำลังกายได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือการออกกำลังกาย และกินอาหารที่ถูกวิธี แล้วอีกสิ่งหนึ่งก็ควรรู้ว่าร่างกายเราต้องการแคลอรีเท่าไร ตรงนี้สำคัญไม่แพ้กัน
ตอนนี้ก็กลับมา 72-73 กิโลกรัมในหนึ่งเดือน อาจจะมีบางส่วนที่กล้ามเนื้อยังไม่กระชับเหมือนเดิม แต่ก็เริ่มมีงานถ่ายละครซิตคอมเรื่องมือปราบกุ๊กกุ๊กกู๋ แล้วก็มีคุยๆ ตอนนี้ก็รับงานเพลง งานพิธีกร และครั้งนี้ก็ครั้งสุดท้ายแล้วในชีวิตที่จะไม่ยอมกลับไปอ้วนอีก
วินัย กำลังใจ
และเป้าหมาย
หลังจากลัดเลาะวัฏจักร “ชีวิต” ขึ้นๆ ลงๆ ผิดๆ ถูกๆ ของน้ำหนักตัว จนปัจจุบันนี้กลับมาเป็นหนุ่มหุ่นสมาร์ทพร้อมยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่มีทางให้ความอ้วนเข้ามาย่างกรายอีกแล้วในชีวิต คำถามที่น่าคิดก็คือ “การค้นพบ” ที่เขาว่านั้นมันคืออะไร
"คือมันไม่มีอะไรช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง เราก็ต้องควบคุม อันดับแรกเรื่องวินัย มันไม่มีทางลัด ในวัยเรียนยังทำได้ แต่ในวัยโตอย่างเราอาจจะค่อนข้างยาก เพราะด้วยหน้าที่การงาน แน่นอนว่าการออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือช่วงเวลา 07.00 -15.00 น. ถ้าเลยเวลานี้แล้วไปออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายตื่น นอนไม่หลับ แต่เราทำไม่ได้หรอกครับ มนุษย์ทุกคนที่ทำงานเช้า-เย็น มันทำไม่ได้
"แล้วทำไมเราไม่จัดเวลาให้ตัวเอง เราคิดกันว่าพอถึงเวลาปุ๊บก็เหนื่อยแล้ว ขี้เกียจแล้ว นอนเที่ยงคืนแล้ว ทำไมต้องตื่นเช้าอีก ตื่นเช้ามาก็ต้องมานั่งทำงานต่อ แล้วก็เลิกดึกอีก อย่างที่เราผอมแล้วได้เล่นละคร แล้วก็กลับมาอ้วน แล้วก็ผอมอีก ตอนนั้นเรายังไม่ได้ทำงานประจำใช่ไหม แต่พอเราทำงานประจำปุ๊บ เราไม่มีเวลาที่จะอยู่กับมัน ก็มาเหมือนเดิม เราไม่ได้โทษใคร โทษตัวเองที่ไม่จัดเวลา"
"อย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง คือไม่ต้องไปจริงจังอะไรกับมันมากการออกกำลังกาย ไม่ต้องไปเซตว่าตรงนี้วันกี่เซต ต้องวิ่ง 20 กิโลนะ วิ่งเท่านี้ๆ ยกน้ำหนัก 100 ครั้ง วิดพื้นซิตอัพทุกอย่างและทุกเรื่องด้วย ถ้าเราไปฟิกซ์กับมันมาก มันเพิ่มภาวะเครียดแล้วเราก็จะทำมันออกมาได้ไม่ดี พยายามอย่าไปเครียด สบายๆ กับมัน ทุกวันนี้ผมก็มีไปปาร์ตี้บุฟเฟต์เหมือนกันนะ แต่เป็นบุฟเฟต์อาหารมีประโยชน์ กินเนื้อย่างแทนเนื้อทอด เราก็ให้ตัวเองได้ผ่อนคลายเดือนละ 2 ครั้ง
"เราต้องเปลี่ยนความคิดก่อน"
นราวิศน์ เน้นย้ำ และสำหรับนักหัดออกกำลังกายใหม่ๆ ที่จิตใจยังไม่เข้มแข้งพอ ทำให้หลายต่อหลายคนหมดไฟและเหนื่อยล้าในช่วงท้ายๆ ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ อีกสิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องมีคือ “กำลังใจ”
"คือผมโชคดี อย่างที่บอกว่าที่บ้านให้การสนับสนุนตลอด แม้ว่าเราจะกลับมาอ้วนอีกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขาก็ให้กำลังใจผมตลอด อันนี้อยากจะฝากไว้เลย เพราะมันส่งผลทางจิตใจ เวลาที่เราอ้วน เราจะหลอน แล้วว่าเราอ้วนดำ คอดำ ตัวเหม็น ภาพเหล่านั้นมันจะกลับมาหมดจริงๆ ถึงได้บอกว่ารอบนี้รอบสุดท้าย
"ผอมลงแล้วนะ" "อีกนิดหนึ่งดูดีแล้ว สู้ๆ นะ" ถึงแม้มันจะไม่จริงก็ตาม แต่เสียงชื่นชมเป็นสิ่งที่ดี เป็นเสียงที่ให้กำลังใจได้ดีมาก ผมจะพูดกับคนรอบตัวเราเสมอว่า อย่าดึงให้เราลบ อย่าดึงให้เรารู้สึกแย่ ช่วยให้กำลังใจเราหน่อย"
และนอกจากกำลังใจจากคนรอบข้างจะเป็นตัวช่วยผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้า “กำลังใจ” จากตัวเราเองก็เป็นส่วนสำคัญไม่แพ้กัน
"เราต้องให้กำลังใจตัวเองให้ได้ด้วย ที่คิดอย่างนี้เพราะว่าผมมีโอกาสได้ไปเจอ ครูเป็ด "วาเนสซ่า กัณโสภณ" เขาบอกว่าตื่นเช้ามา คนเรายิ้มให้ตัวเองมากน้อยแค่ไหนหน้ากระจก บางคนเห็นตัวเองอ้วน เขาก็จะรู้สึกว่ามองกระจกแล้วท้อ รู้สึก ทำไมอ้วนจัง หรือถ้าคนเป็นสิว ก็ทำไมสิวเราเยอะจัง แต่ทำไมเราไม่คิดว่าวันหนึ่งเราจะต้องดูแลตัวเองให้ได้ เราจะต้องทำให้เราดูดีให้ได้
"เพราะว่าถ้าเราคิดแล้วว่ามันจะต้องดูดี คิดว่ามันจะต้องทำได้ ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ นอกจากจะไปเอาดวงจันทร์มาไว้ในมือ คือมันไม่มีอะไรที่ขีดความจำกัดของมนุษย์คนหนึ่งจะทำไม่ได้ ถ้าเราตั้งใจจะทำ อันนี้ต้องยอมรับจริงๆ ว่ามันสำคัญ เรื่องเป้าหมายของชีวิต"
จากคนที่เคยมีแต่คนรอบข้าง ครอบครัว ถามไถ่ปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว แต่เมื่อความคิดเปลี่ยนและมุ่งมั่นอย่างจริงจัง วันนี้เขากลายเป็นบุคคลหนึ่งที่เป็นที่ชื่นชมของคนอื่น
"เราชื่นชมคนอื่น ชื่นชมได้ครับ วันนี้มีคนสนใจก็ดีใจอย่างที่บอก กำลังใจจากข้างใน คือการลดน้ำหนักเราอาจจะมีต้นแบบก็ได้ แต่เราต้องมีเป้าหมายของเราให้ชัดเจน เพราะว่าร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน เรื่องความสำเร็จก็เหมือนกัน เราจะเอาจุดความสำเร็จตรงไหน เรามีเป้าหมายในชีวิตว่าอย่างไร เป้าหมายในชีวิตเรามากพอแค่ไหน ถ้าสมมติวันหนึ่งเราบอกว่า เป้าหมายชีวิตเราเราอยากจะเป็นคนคนหนึ่งที่ดูดีให้ได้ หุ่นดีให้ได้ เราก็ต้องโฟกัสให้ถูกจุด มองเป้าหมายเราให้ชัดเจน
"เราสามารถที่จะนำหุ่นคนคนหนึ่งมาเป็นไอดอลเราได้ แต่เราไม่สามารถที่จะเป็นเหมือนเขาได้ คิดไว้เสมอว่า เขาหุ่นดีในแบบของเขา เราต้องหาของเราให้เจอ ถ้าสมมติว่าผมเป็นคนรูปร่างใหญ่แล้วจะไปผอมเหลือแต่กระดูกมันก็ไม่ใช่เรา ถามว่าเคยไหมทำได้ แต่ร่างกายมันจะโทรม เราอยากที่จะเป็นคนคนหนึ่งที่ดูดี หุ่นดี มันก็ไม่ตอบโจทย์เราใช่ไหม
"แล้วอีกอย่าง คนภายนอกเขาก็จะมองเราไปในทำนองเล่นยาเสพติดทันทีแน่นอน เราก็จะไม่ผอมไปกว่านี้ เพราะเราเอาจุดสำเร็จตรงนี้พอดีเราแล้ว นอกนั้นก็เล่นหุ่นในส่วนที่เราต้องการ คือการคิดบวกสำคัญมาก การมองภาพของเราให้เป็นบวก มีเป้าหมายของเราเองสำคัญที่สุด"
แม้ทุกวันนี้ บางส่วนของร่างกายจะยังไม่กระชับเข้ารูปชัดเจนเหมือนครั้งที่เล่นละคร เดินแบบ แต่เรากลับสัมผัสได้ถึงความคิดอ่านบางอย่างที่มีพลังและมุ่งมั่นตลอดการพูดคุยและสนนทนาในเรื่องนี้ และเรามองเห็นคนที่ไม่ได้มองปัญหาอย่าง “คนแพ้” แต่กลับเป็น “คนชนะ” ที่มองหาทางออก
• การที่เรามั่นใจว่าเราจะไม่กลับไปอ้วนอีก เพราะเรามีเป้าหมายของการลดคือการทำเพื่อตัวเราเองใช่ไหม
คือเมื่อก่อนจะชอบถามตลอดว่าเราอ้วนไหม ใส่ชุดนี้อ้วนไหม ใส่ชุดนี้เป็นอย่างไร ไม่มีความมั่นใจเลยก่อนออกจากบ้าน แต่วันนี้ เราตอบตัวเองได้เลยว่าโอเคแล้ว โอเคมาจากตัวของเรา ไม่ได้หวังให้ใครมาชื่นชมว่าหุ่นดีจังเลย เราไม่ได้หวัง เราทำทุกอย่าง เราทำเพื่อตัวเอง เพราะไม่เคยมีใครมาบอกให้เราลดความอ้วนแล้วเราต้องลด ไม่มีใครมาบอก นอกจากมาท้าว่าลดความอ้วนภายใน 2 เดือน ได้ให้ 3 แสนบาท หรือ 10 ล้านบาท อันนี้ได้ (หัวเราะ) ชัดเจน มีเป้าหมาย แต่เป้าหมายของเราตอนนี้มันต่าง เป้าหมายของเราก็คือตัวเราเอง แต่ถ้าเราเอาจุดอื่นเป็นเป้าหมาย อย่างเรื่องท้า พอพ้น 3 เดือน 10 เดือนที่เขาจะให้ 3 แสนบาทหรือ 10 ล้านบาท หลังจากได้เงินมาแล้วทำอย่างไร เราก็อาจจะปล่อยตัวให้อ้วนเหมือนเดิมอีก...ถูกไหม
เพราะฉะนั้น เป้าหมายที่สำคัญคือตัวเรา สำคัญที่สุด เราอย่าเอาปัจจัยภายนอกมาเป็นเป้าหมาย เมื่อก่อนเคยคิดว่าอยากผอมเพราะอยากเข้าวงการ แต่เราจะผอมแค่ไหนก็ตาม ถ้าเขาไม่เอา ก็คือยังไงก็ไม่ได้เล่น แต่ถ้าวันนี้เราผอม ถามว่าเราอยากผอมมาเพื่อตัวเราเอง แล้ววันหนึ่งถ้าเขาให้เราเล่น เราเล่นได้ไหม มาซิครับผมพร้อม ณ วันหนึ่ง มีพี่เขาติดต่อมา ก็ไปช่วยเล่น เป็นซิตคอมที่อาจจะไม่ใช่ฉากต่อเนื่อง ไม่ได้ค่าตัวเยอะอะไรมากกมาย แต่เรามีโอการสได้ไป เราก็ไป คือมันทำให้เราคว้าโอกาสทุกโอกาสเข้ามาในชีวิต
• ความสำเร็จมักวิ่งไปหาผู้ที่เตรียมพร้อมทุกสิ่งอย่างอยู่เสมอว่าอย่างนั้น
ใช่ครับ คนที่จะสำเร็จคือคนที่พร้อมที่สุดเมื่อโอกาสมาถึง เพราะเราพลาดโอกาสมาหลายรอบมาก พอโอกาสมาปุ๊บเวลานี้ติดต่อมา ช่องนี้ให้ไปแคสติ้งหนัง เราปล่อยให้อ้วนแล้ว อันนั้นคือเราไปทำเพื่อตามคนอื่น เพื่อให้ได้มา แต่ทีนี้เราทำตามความฝันเราแบบนิ่งๆ ผิดพลาดอะไรเราก็ไม่รู้สึกผิดหวัง หรือคิดท้อหนัก เราแทบจะไม่อยากกลับมาผอมอีกด้วยซ้ำไป มันเป็นปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายในสำคัญที่สุด
เหมือนความคิดโลกสวย แต่เปล่า ผมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ค้นหาเจอว่า การที่เราจะทำอะไรสำเร็จก็ตาม มันควรจะเกิดจากข้างในความคิดเรา ตัวเรา เรามองภาพของเราในวันพรุ่งนี้เป็นอย่างไร เรามองภาพตัวเองในอีกหนึ่งเดือนเป็นอย่างไร แต่เราไม่ได้เครียดกับมันนะ เราแค่มองไว้ เราจะสำเร็จหรือเปล่า อีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยเราก็ได้ทำ ทุกวันนี้ก็รู้สึกดีใจที่มีคนให้เกียรติเรามากขึ้น ไม่ล้อหรือเรียกเราว่าอ้วนดำแล้ว
ในสู่นอก
กายใจที่ดีที่สุด
"หลักๆ เลย ภาพลักษณ์เราค่อนข้างที่จะเปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้นว่า เราไม่ใช่คนอ้วนแล้ว เราคือคนที่รูปร่างปกติ แต่ก็ไม่ใช่คนหุ่นดีมีซิกแพกชัด แต่มันทำให้เราคิดได้อีกว่า เราจะเป็นคนหุ่นดีมีซิกแพกชัดได้อย่างไร นั่นคือการต่อยอดความคิดเรา แล้วนอกจากนั้นมันก็ยังส่งผลไปเรื่องอื่นๆ ถึงได้บอกว่าภายนอก คนเห็นเราดูดีขึ้นนะ แต่คนไม่เห็นภายในจิตใจของเรา"
นราวิศน์ เผยการเปลี่ยนแปลงที่ตัวเองจากการออกกำลังกายที่นอกจากเรียกความมั่นใจในรูปร่างบุคลิกภาพแล้ว ยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงไปถึงข้างในจิตใจ
"เราไม่ได้โลกสวยอย่างนี้มาแต่ไหน เราไม่ได้มองโลกในแง่ดีมาตั้งแต่เกิด คือเพิ่งมาค้นพบ เมื่อเราพลาดไปแล้วหลายๆ ครั้ง เมื่อเรามองดูอดีตของเรา เราจะค้นพบว่าเราควรจะทำอะไร เราควรจะคิดอะไร เราจำได้แม่นเลยล่ะว่าความรู้สึกนั้นเป็นอย่างไร ความรู้สึกของคนอ้วนที่ภาพฝังใจ แต่เราจะไม่เอามันมาเป็นภาพลบในใจให้เราท้อแท้ วันนั้น เราเดินออกมาจากโอกาส ก็ไม่ได้คิดว่าจะมีโอกาสกลับไปอีกครั้ง คือตอนเดินแบบ จะมีคนจำได้หรือเปล่าเราไม่รู้ เราจำไม่ได้ว่ารายการประกวดเขาฟังเสียงหรือหรือมองหน้าเรา
"แต่วันนี้เราภูมิใจที่มีใครหลายๆ คนมาสอบถามว่าทำอย่างไรถึงลดความอ้วนได้ขนาดนี้ นี่แหละครับคือสิ่งที่จำได้ตอนนี้ อยู่กับปัจจุบัน ความสุขคนเราอยู่กับปัจจุบัน แล้วก็มองอนาคตให้เป็นบวก มีแค่นี้ อาจจะดูเหมือนพูดง่าย ใช้วิธีปรับความคิดเราไปเรื่อยๆ มันจะออกมาจากข้างในจริงๆ แล้วการเข้าวัดทำบุญ เป็นอะไรที่มีความสุขมาก การเป็นผู้ให้ ก็เป็นอะไรที่มีความสุข นี่คือแนวคิดที่เราคิดได้ ที่ส่งผลให้บุคลิกเราดูดี"
ขณะที่หลายต่อหลายคนเลือกที่จะลบภาพความทรงจำบางสิ่งบางอย่างที่เลวร้ายในชีวิตออกไป ตรงกันข้ามกับนราวิศน์ที่เลือกมองและเก็บข้อดีเอามาผนวกเข้ากัน
"บางคนที่เขาเคยอ้วน เขาก็อาจจะไม่เก็บภาพถ่ายเอาไว้ใช่ไหม คือเขาอาจจะมีความเชื่ออีกความเชื่อหนึ่ง การที่เรามองภาพเก่ามีคำสอนอยู่คำหนึ่งว่า “จิต” เป็นภาพชัดที่สุด ดังนั้น ถ้าเรามองภาพที่ลบบ่อยๆ ภาพที่แสดงออกมาก็จะเป็นแบบนั้น มันอาจจะใช้ได้กับเฉพาะบางคน อย่างเราจะมองภาพตัวเองในอดีตว่าเราเห็นความสุข ความสุขในการกิน เราเห็นความสุขในการที่เราไปไหนมาไหนแล้วญาติก็ส่ง อันนี้อันนั้นน้องเบทต้องกิน กินให้หมดนะ (ยิ้ม)
"ทุกคนรัก ทุกคนเอ็นดู เราเจอความสุขของเด็กคนนั้น ในขณะเดียวกัน เราก็เจอความทุกข์ในระหว่างวัย ตอน ม.6 มันเป็นความทุกข์ มันก็เป็นอีกภาพหนึ่งที่เรามอง เรารู้สึกว่าเด็กคนนี้ก็มีความทุกข์เหมือนกัน แต่เราจะไม่เอามันมาเป็นปมในปัจจุบัน เพราะทุกวันนี้สำเร็จแล้ว แล้วก็จะไม่กลับไปอีกแล้ว ก็จะต้องดูแลตัวเอง ดูดีกว่านี้อีกคือหมายความว่าเราต้องหมั่นออกกำลังกายเรื่อยๆ ตอนนี้ต้องยอมรับว่าหลังจากที่เราป่วย แล้วเราออกกำลังกาย มันยังมีบางส่วนที่ยังไม่กระชับเหมือนก่อนหน้านี้ มันก็ยังมีนิ่มๆ บ้าง พอบางคนเห็น เราอาจจะมาบอกว่าไม่เหมือนตัวจริง ตัวจริงไม่เหมือนในรูป ทำไมตัวจริงดูตัวใหญ่กว่าหรืออะไรก็ตาม
"แต่เราไม่แคร์ เพราะเรารู้สึกว่าถ้าคุณดูอดีตผม ผมมาไกลมาก เดินมาไกลมากจนผมรู้สึกว่านี่ล่ะคือหนึ่งความสำเร็จของตัวเอง เหมือนกับโพสต์ที่เอาไปโพสต์ในที่ต่างๆ หลายคอมเมนต์ก็ชื่นชม หลายคอมเมนต์ก็จะด่า ซึ่งถ้าเราใส่ใจในเรื่องของคำด่า เราก็จะต้องรีบโทร.ไปหาที่บ้านเลย เพราะที่บ้านจะเป็นคนแคร์เรื่องพวกนี้มาก แต่เราดูแค่ว่าเขาเอาเราไปชื่นชมก็พอ มันก็ทำให้เรามีความสุขในชีวิต"
ไม่น่าเชื่อว่าความล้มเหลวของการเปลี่ยนแปลงตัวเองภายนอก ระเบียบ วินัย การควบคุม จะส่งผลมาถึงเรื่องภายในจิตใจได้มากมายถึงเพียงนี้ จากอดีต “อ้วนดำ” ที่มีปัญหาด้านร่างกายและการเผชิญหน้ากับสังคมจนละทิ้งความฝันของชีวิต และมาในวันนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เขากลับมายืนหยัดเปลี่ยนสถานะร่างกาย “แฮนด์ซัม” แต่ภายใต้มัดกล้ามเนื้อ เรามองเห็น “หัวใจ” ที่ผ่านการฝึกฝนจนแข็งแกร่งไม่แพ้กัน
“ใช่ครับ” นราวิศน์ กล่าวแซมยิ้มพลางยืนยัน
"เพราะเวลาที่เรามีความสุข เราก็ทำอะไรทุกอย่างได้อย่างมีความสุข เวลาที่เราทุกข์เหลือเกิน เราก็จะทำอะไรออกมาได้ไม่ดีเลย แม้กระทั่งการออกกำลังกาย เราไปอยู่บนเครื่องวิ่ง 5 นาที เราก็ลงมาแล้ว เพราะจิตเราไม่นิ่งไง คืออยากจะฝากไว้เลยอย่าจิตตก
"เราต้องรู้ตัวเอง มันขึ้นอยู่กับว่าเรามีความสุขกับมันที่จุดไหน คือถ้าคนเรามีความสุขกับการอ้วน ก็อ้วนสิ ไม่เห็นแคร์เลย คนอ้วนแล้วดูดีก็มีเยอะแยะถมไป ถูกไหม แต่ถ้าเราเริ่มมีปัญหากับสุขภาพและร่างกาย เราต้องการที่จะควบคุมหรือลด อย่างที่บอก เราก็ต้องอยู่กับปัจจุบัน อย่ากดดันตัวเอง เราอาจจะออกกำลังกายแล้ว น้ำหนักเท่าคนอื่นๆ ที่เรามองว่าผอม หุ่นรูปร่างดีแล้ว แต่ทำไมเรายังดูใหญ่กว่าเขาอยู่ นั่นก็เพราะร่างกายของคนเราไม่เหมือนกัน
"เราต้องมองหาความพอดีสำหรับเรา แล้วความสุขคนเราอยู่กับปัจจุบัน แล้วก็มองอนาคตให้เป็นบวก อาจจะดูเหมือนพูดง่าย ใช้วิธีปรับความคิดเราไปเรื่อยๆ มันจะออกมาจากข้างในจริงๆ"
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : ปวริศร์ แพงราช
"ชัยชนะมักวิ่งไปหาผู้ที่เตรียมทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมอยู่เสมอ เราเรียกสิ่งนั้นว่าความโชคดี ผู้ที่ข้ามขั้นตอนจำเป็นไป ในภายหลังต้องได้รับความล้มเหลวอย่างแน่นอน เราเรียกสิ่งนั้นว่าความโชคร้าย"
ถ้อยคำที่ “ไรอัลด์ อามุนด์เซน” นักสำรวจขั้วโลกกล่าวไว้ในย่อหน้าที่ผ่าน คงไม่แตกต่างกันนักกับชีวิตของคนหนุ่มคนนี้ "เบท-นราวิศน์ บุณยพัตพิสิฐ" ผู้พลิกชีวิตจากอดีตลูกเป็ดขี้เหร่ และอดีตหนุ่มแฮนด์ซัมในคราเดียวกัน...
จากลูกเป็ดขี้เหร่อ้วนดำ
สู่นายแบบแฮนด์ซัม
"มันเริ่มจากการที่ผมเอนจอยกับการกิน ตั้งแต่จำความได้ ก็กินเก่งแล้ว"
อดีตเด็กเจ้าเนื้อจ้ำม่ำกว่า 120 กิโลกรัม เริ่มต้นสนทนาถึงสาเหตุที่มาของเรื่อง
"เหมือนว่าคุณพ่อคุณแม่ในสมัยที่ท่านเด็กๆ ลำบากมาก่อน พอเขามีเรา เขาก็อยากจะให้เราเต็มที่ทุกอย่าง เรื่องกินก็เต็มที่ เราก็เต็มที่อย่างที่เขาต้องการ (หัวเราะ) ขาหมูก็เป็นขาหมู กินไข่ต้มวันละ 10 ฟอง ร่วมกับอย่างอื่นด้วย ก็สุดท้าย ตอนเด็ก หาเสื้อผ้าใส่ไม่ได้เลย กางเกงนักเรียนนี่เอว 46 สมัยก่อนไม่มี ต้องสั่งตัด เสื้อก็ต้องสั่งตัด"
ตัดเสื้อผ้ากางเกงชุดนักเรียนยังไม่พอ นราวิศน์เล่าว่าการกินของเขานั้นเพียงแค่ชั้นประถม 3 ก็ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดไส้ติ่ง ทรมานเป็นเดือนๆ เพราะแผลหายช้ากว่าคนรูปร่างปกติ
"เพราะกินเสร็จแล้วไปวิ่ง วิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ตอนนั้นก็อยู่ ป.3 ก็ต้องไปผ่าตัดไส้ติ่ง พอเป็นไส้ติ่ง ผ่าตัดปุ๊บ ชั้นไขมันมันหนาใช่ไหม มันก็ติดเชื้อ เราก็ปวดแผลไปนาน เป็นเดือนเหมือนกัน นั่นก็เป็นปัญหา และเป็นจุดแรกเลยที่ทำให้เราคิด ทำไมมันทรมานจังวะ"
"แต่เราก็ยังคิดไม่ได้จริงๆ หรอก จนกระทั่งตอนเรียน ป.6 ก่อนเข้าชั้นมัธยม 1 เป็นวัยรุ่นก็เริ่มสนใจสาวๆ เรื่องรูปร่าง ก็เริ่มมองตัวเองในกระจก ทำไมเราน่าเกลียดอย่างนี้วะ คอก็ดำ ไปหาหมอทุกหมอเลยเพื่อแก้คอดำ แต่ก็ไม่หาย อายเขา โดนเพื่อนล้อ คอดำๆ อ้วนดำๆ เหมือนเรื่องแฟนฉันเลย แล้วตัวก็จะเหม็นเปรี้ยว ก็รู้สึกว่าต้องเริ่มปรับปรุงตัวเองตั้งแต่ตอนนั้น"
โดยการเป็นกีฬาบาสเกตบอลของโรงเรียน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ถึงแม้จะอยู่ในช่วงเจริญวัยและส่วนสูงที่เข้ามาหักล้างน้ำหนัก จะช่วยให้ความเหลื่อมล้ำบาลานซ์ก็ตามที
"ไม่ได้ผล..." ชายหนุ่มลากเสียงจงใจให้ผลลัพธ์ในวันนั้นหายลงลำคอ ก่อนจะผุดสาเหตุสำคัญที่ทำให้ความอ้วนยังประกบตามเป็นเงา
"เพราะว่าการลดความอ้วน มันเหมือนกับเราต้องมีแรงบันดาลใจ แต่ตอนนั้นเรายังไม่ตั้งมั่นพอ ทั้งๆ ที่เป็นนักบาสเกตบอลโรงเรียน ออกกำลังกายก็ออก ตัวก็เริ่มยืด มันก็ช่วยขึ้นมาแค่หน่อยเดียว"
"ชีวิตก็ดำเนินมาอย่างนี้เรื่อยๆ จนขึ้น ม.3 เรารู้สึกว่า เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว"
นราวิศน์ กล่าวแซมยิ้ม เมื่อเอ่ยถึงความพยายามอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับสร้างบาดแผลลึกลงไปในจิตใจ จนถึงขนาดต้องล้มเลิกความฝันในเสียงเพลงอันเป็นที่รักไว้เบื้องหลัง
"คือตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่จับไมค์ประกวดร้องเพลง ขึ้นประกวดเวทีจังหวัด เวทีอำเภอโน่นนี่นั่น เราก็ชนะได้ที่ 1 ได้รางวัลพระราชทานเพลงสากลปี 2549 แต่พอลงเวทีแล้วก็แค่นั้น เขาไม่ได้สนใจเรา เขาสนใจคนอื่นที่รูปร่างหน้าตาดีกว่าเรา เราก็เลยเสียความรู้สึกตัวเอง คือแทนที่เราจะไปได้สุดกว่านี้ เรากลับหยุดอยู่แค่นี้ มันเหมือนมีกำแพงอยู่ในใจว่าเราอ้วน เราไม่โอเค มันเป็นปม"
หลังจากผิดหวังชีวิตคืนวันก็ปล่อยผ่าน ความล้มเหลวที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเลือนหายไป ที่เพิ่มขึ้นมาก็มีเพียงน้ำหนักตัวกว่า 30 กิโลกรัมโดยประมาณ ในระยะเวลา 2 ปี
"ที่บ้านก็เริ่มเป็นห่วงเรา กลัวเราจะมีปัญหา คุณแม่ก็จะเริ่มห้ามการกินของเรา เราก็ไม่พอใจ เราก็ทำเป็นฟัง แต่เราก็แอบทุกๆ เย็นจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปซื้อขาหมูกับข้าวสั่งพิเศษ 60 บาท ได้ชามใหญ่ๆ มานั่งกินในห้องทุกวันๆ น้ำหนักเราก็ขึ้นมาถึง 120 กิโลกรัม สูงไม่ถึง 170 เซนติเมตรด้วย ก็ไม่ไหวแล้ว"
"เพราะขาเราก็เริ่มที่จะแบะออก ด้วยน้ำหนักตัวที่มาก อีกอย่างก็ใกล้เข้ามหาวิทยาลัยแล้วด้วยช่วงมัธยม 6 คราวนี้ก็เลยไปวิ่ง แล้วสมัยนั้นเขาฮิตเต้นแอโรบิกกัน เราก็ไปเต้นกับป้าๆ น้าๆ ผู้หญิง คือเราคิดว่ามันไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวจริงๆ ความองความอายไม่มีนาทีนั้น (ยิ้ม) ก็ลดลงมาเหลือ 96 กิโลกรัม ก่อนขึ้นปี 1"
ทำท่าเหมือนจะไปได้สวย หากดำเนินไปตามครรลองนี้ แต่แล้วด้วยความที่เร่งรัดตามประสาคนหนุ่ม ยิ่งโลกของวัยรุ่นเปิดม่านเต็มตัวในชีวิตมหาวิทยาลัยก็ทำให้เขาตัดสินใจใช้ “ยาลดความอ้วน” เป็นตัวช่วย ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เขาล้มคว่ำอีกครั้ง และยังจดจำเป็นบทเรียนจนถึงทุกวันนี้
"คือช่วงของการเข้าปี 1 ได้หน่อยๆ ก็ไปลองกินยา เขาว่าสถาบันไหนดี ไปหมด เอามากินหมด กินแค่เดือนเดียวเรารู้สึกว่า เรียนไม่รู้เรื่อง มันหลอน แล้วมันเบลอ มันปวดหัว มันเวียนหัว มันจะอ้วก คนรอบๆ ข้าง คนใกล้ชิด อย่ามายุ่งเด็ดขาด จิตมันตก มันเป็นความทรงจำที่แย่มากเลย ก็หยุดกิน แต่ก็เป็นฝันร้ายในชีวิต ทุกวันนี้ยังพูดแล้วขนลุกอยู่เลย"
"น้ำหนักก็กลับมาแตะถึง 100 กิโลกรัม กลับมาอ้วนอีก จนเรียนไปประมาณ ปี 3-4 เราเริ่มคิดแล้วว่าถ้าจบไปเราจะทำอะไรดี เราเรียนนิเทศ สาขา วิทยุโทรทัศน์
"ช่วงนั้นก็คิดอีกที่จะลดความอ้วน คือถ้าเราอ้วนแบบนี้ ในรั้วมหา'ลัยเขาให้โอกาสเราเสมอ ให้เราเป็นพิธีกร เป็นนักร้อง เท่าที่เราอยากจะเป็น แต่ถ้าเราออกมาโลกภายนอกแล้ว เราต้องแข่งกันกับใครอีกตั้งหลายคน ซึ่งแน่นอนว่ารายการต่างๆ ตามหาฝัน เราไปมาหมด แต่สุดท้ายแล้ว เราก็ยังไม่มั่นใจ เพราะความอ้วนของเรา ทุกอย่างที่เราทำออกมามันจะไม่ดี ก็ไม่ได้"
"คือในโลกความเป็นจริง ความสามารถดีไหม ถ้าเรามองที่ความสามารถอย่างเดียวมันก็ดี แต่ในทุกวันนี้ต้องยอมรับครับว่าความสามารถของเราทุกคนแล้ว มันพัฒนากันได้เสมอๆ แต่จิตใจที่เข้มแข็ง มันจะพัฒนากันได้มากสักแค่ไหนเชียว"
เป็นอีกครั้งที่ต้องล้มลงไปให้กับคำว่า “อ้วน” แต่กระนั้นคราวนี้เขาเลือกที่จะไม่ยอมแพ้ กัดฟันสู้ร่างกายด้วยการอดอาหาร และก็ชนะในที่สุด ซึ่งก็ทำให้เขาได้มีโอกาสเดินแบบ เล่นละคร ร้องเพลง แต่แล้วด้วยวิธีการลดที่ผิดแบบ “ความฝัน” ก็มลายหายไปกับไขมันกลับเข้าสู่โหมดอ้วนดำอีกจนได้
"คือชีวิตผมมันค่อนข้างผกผัน ขึ้นๆ ลงๆ ลดๆ ตอนนั้นหลังจากเรียนจบ เราก็สามารถลดลงมาได้เหลือประมาณสัก 72-73 กิโลกรัม มีซิกแพกด้วย (ยิ้ม) เราก็ไปร้องเพลงกลางคืน แล้วก็เรียนการแสดงเสริม มันก็ทำให้มีโอกาสได้เล่นละครเรื่อง อนิลทิตา ได้เดินแบบ เล่นละครซิตคอมต่างๆ เรียกได้ว่ามีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เรารัก แต่ว่าเราลดผิดวิธี ไม่ใช่ว่าเราชะล่าใจหรือว่าอะไร เราเลือกใช้วิธีการอดอาหาร เพราะเราคิดว่าก็ลดเฉยๆ คือทำอย่างไรก็ได้ขอให้น้ำหนักลดพอ ออกกำลังกายบ้าง
"ทีนี้การอดอาหารเนี่ย เป็นการทำให้ร่างกายของเราโหยอาหาร ณ วันหนึ่งที่เราต้องการน้ำตาล สมองจะสั่งการว่าเราขาดน้ำตาล เราขาดแป้ง เราก็โหย พอเรากินปุ๊บ ร่างกายที่ไม่เคยได้รับมาเป็นปีๆ พอมันได้รับ มันก็ดูดซับเอาหมดเลย เก็บทุกอย่างที่เรางดมันไว้ เพราะมันกลัวว่าเดี๋ยวมันอดอีก แล้วคราวนี้มันลงยากมาก ก็เลยกลายเป็น 100 กิโล จาก 72-73 กิโลกรัมในช่วงนั้น แค่ 1 ปี"
"งานต่อๆ ไป จากวันแรกที่ผู้กำกับเห็น กับวันแคสติ้งจริง มันไม่ใช่เลย มันห่างกันเป็น 10 กิโลกรัม มันต่างกันมาก เราทิ้งโอกาสตัวเอง มันเป็นบทเรียนของชีวิตที่ทำให้เรารู้ว่า ถ้าวันหนึ่งโอกาสมาถึงแล้ว เราไม่พร้อมคือจบ"
ถึงแม้จะต้องหวนกลับคืนสู่สถานะ “อ้วน” และต้องพับเก็บความฝันลงลิ้นชักอีกครา แต่อย่างน้อยๆ ครั้งนี้ การได้ลองผิดลองถูกทำก็ทำให้เขามีความรู้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างในการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง...
• หลังจากน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาตอนนั้น เราทำอย่างไรกับชีวิต
ก็ปล่อยมาเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็ถูกที่บ้านเรียกตัวให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน ก็มีอยู่วันหนึ่งไปทานอาหารร้านแห่งหนึ่งในวันพ่อ ปี 2557 ที่ผ่านมา เขาก็มีการถ่ายรูปครอบครัวให้เรา ทีนี้พอเราได้เห็นภาพ มันเป็นภาพที่ที่แย่มาก เรารับไม่ได้ และตอนนั้นเรามีโอกาสได้ไปทำอัลบัมการกุศลให้โรงพยาบาลที่บ้าน แต่มันก็ไม่สำเร็จ ก็ไม่ได้โทษใครโทษตัวเอง คือคนบุคลิกดีร้องเพลงดีก็เยอะ คนอ้วนร้องเพลงดีก็เยอะ เราอาจจะยังดีไม่พอ แต่ถ้าเราเอาทั้งสองอย่างมารวมกันได้ มันก็น่าจะทำให้เราทำได้ ก็กลับมาสเต็ปเดิม ขอกลับมาอยู่กรุงเทพฯ บอกกับที่บ้านว่าขอเลยเวลาครึ่งปี ดูแลตัวเองแบบเต็มที่ ไม่ทำอะไรเลย
• กลับมากรุงเทพฯ คราวนี้แล้วยังไงต่อ
ท่านก็สนับสนุนเราเรื่องนี้ตลอดมา ก็ใช้เวลาทั้งหมด 4 เดือน ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกันยายน อยู่แต่ในฟิตเนสวันละ 4-6 ชั่วโมง ทุกวัน จาก 100 กิโลกรัม ก็ลดลงมาเหลือ 74 กิโลกรัมอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าร่างกายก็โอเวอร์เทรนนิ่ง เพราะมันเยอะไป น้ำหนักมันลงเร็วมากก็จริง แต่สุขภาพเราแย่ลงตามไปด้วย คืออากาศในห้องฟิตเนสทำให้เราเป็นภูมิแพ้ เหงื่อจากการออกกำลังกายทำให้เท้าเราโดนเหงื่อกัด มันก็ทรมาน
แล้วก็กลับไปอ้วนอีก (ยิ้ม) เพราะพอเราลดลงได้ เราก็ไปทำงานคอมพิวเตอร์กราฟิก นั่งหน้าคอมพ์อย่างเดียวตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน มีคนเสิร์ฟข้าว น้ำ แล้วบางครั้งไปทำงานร้านอาหารเขาก็เอาไวน์ เอาเบียร์มาให้เราชิม ตั้งแต่เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน-ธันวาคม-มกราคม-กุมภาพันธ์ ปีนี้ 2558 น้ำหนักก็ขึ้นกลับมาเลยเป็น 89 กิโลกรัมเห็นจะได้
• มันรู้สึกท้อไหมกับการลองลดน้ำหนักตัวเอง
ไม่ท้อ...และต้องขอบคุณคุณแม่ เขาสอนให้เราเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ มันคือเรื่องที่เราเจอจนรู้สึกว่าไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ หลังจากนั้นเราก็ลดอีก (ยิ้ม) พอถึงเดือนเมษายนที่ผ่านมา เราป่วย ร่างกายเกิดอาการแพ้อาหาร ก็ลาออกจากงานไปรักษาตัวที่บ้านไปอยู่ 1 เดือน น้ำหนักก็ลงมานิดหนึ่งเพราะเราป่วย เหลือสัก 86 กิโลกรัมเราออกจากโรงพยาบาลวันที่ 11 พฤษภาคม เราก็ถามตัวเองเราจะทำไงดีวะ มันก็ไม่มีอะไรช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง เราก็เลยเริ่มศึกษาวิธีการที่ถูกต้องด้วยตัวเอง คือนักออกกำลังกายทุกคนทราบดีว่า ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จในเรื่องของหุ่นต้องรู้
นั่นคือจุดเปลี่ยน เพราะทำให้ได้รู้ในเรื่องของการลองผิดลองถูกว่า บางคนอาจจะคิดว่าการเดินตามรอยเท้าคนอื่นไม่ใช่เรื่องดี แต่ถ้าเป็นรอยเท้าที่ถูกต้อง มันก็เป็นเรื่องที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้เสมอ อย่างบางคนบอกว่า ถ้าคุณอยากแตกต่างจากคนอื่น คุณต้องลองหาวิธีอื่นสิ แต่การลดน้ำหนัก เราไม่สามารถที่จะหาวิธีที่ดีไปกว่าการออกกำลังกายได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือการออกกำลังกาย และกินอาหารที่ถูกวิธี แล้วอีกสิ่งหนึ่งก็ควรรู้ว่าร่างกายเราต้องการแคลอรีเท่าไร ตรงนี้สำคัญไม่แพ้กัน
ตอนนี้ก็กลับมา 72-73 กิโลกรัมในหนึ่งเดือน อาจจะมีบางส่วนที่กล้ามเนื้อยังไม่กระชับเหมือนเดิม แต่ก็เริ่มมีงานถ่ายละครซิตคอมเรื่องมือปราบกุ๊กกุ๊กกู๋ แล้วก็มีคุยๆ ตอนนี้ก็รับงานเพลง งานพิธีกร และครั้งนี้ก็ครั้งสุดท้ายแล้วในชีวิตที่จะไม่ยอมกลับไปอ้วนอีก
วินัย กำลังใจ
และเป้าหมาย
หลังจากลัดเลาะวัฏจักร “ชีวิต” ขึ้นๆ ลงๆ ผิดๆ ถูกๆ ของน้ำหนักตัว จนปัจจุบันนี้กลับมาเป็นหนุ่มหุ่นสมาร์ทพร้อมยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่มีทางให้ความอ้วนเข้ามาย่างกรายอีกแล้วในชีวิต คำถามที่น่าคิดก็คือ “การค้นพบ” ที่เขาว่านั้นมันคืออะไร
"คือมันไม่มีอะไรช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง เราก็ต้องควบคุม อันดับแรกเรื่องวินัย มันไม่มีทางลัด ในวัยเรียนยังทำได้ แต่ในวัยโตอย่างเราอาจจะค่อนข้างยาก เพราะด้วยหน้าที่การงาน แน่นอนว่าการออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือช่วงเวลา 07.00 -15.00 น. ถ้าเลยเวลานี้แล้วไปออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายตื่น นอนไม่หลับ แต่เราทำไม่ได้หรอกครับ มนุษย์ทุกคนที่ทำงานเช้า-เย็น มันทำไม่ได้
"แล้วทำไมเราไม่จัดเวลาให้ตัวเอง เราคิดกันว่าพอถึงเวลาปุ๊บก็เหนื่อยแล้ว ขี้เกียจแล้ว นอนเที่ยงคืนแล้ว ทำไมต้องตื่นเช้าอีก ตื่นเช้ามาก็ต้องมานั่งทำงานต่อ แล้วก็เลิกดึกอีก อย่างที่เราผอมแล้วได้เล่นละคร แล้วก็กลับมาอ้วน แล้วก็ผอมอีก ตอนนั้นเรายังไม่ได้ทำงานประจำใช่ไหม แต่พอเราทำงานประจำปุ๊บ เราไม่มีเวลาที่จะอยู่กับมัน ก็มาเหมือนเดิม เราไม่ได้โทษใคร โทษตัวเองที่ไม่จัดเวลา"
"อย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง คือไม่ต้องไปจริงจังอะไรกับมันมากการออกกำลังกาย ไม่ต้องไปเซตว่าตรงนี้วันกี่เซต ต้องวิ่ง 20 กิโลนะ วิ่งเท่านี้ๆ ยกน้ำหนัก 100 ครั้ง วิดพื้นซิตอัพทุกอย่างและทุกเรื่องด้วย ถ้าเราไปฟิกซ์กับมันมาก มันเพิ่มภาวะเครียดแล้วเราก็จะทำมันออกมาได้ไม่ดี พยายามอย่าไปเครียด สบายๆ กับมัน ทุกวันนี้ผมก็มีไปปาร์ตี้บุฟเฟต์เหมือนกันนะ แต่เป็นบุฟเฟต์อาหารมีประโยชน์ กินเนื้อย่างแทนเนื้อทอด เราก็ให้ตัวเองได้ผ่อนคลายเดือนละ 2 ครั้ง
"เราต้องเปลี่ยนความคิดก่อน"
นราวิศน์ เน้นย้ำ และสำหรับนักหัดออกกำลังกายใหม่ๆ ที่จิตใจยังไม่เข้มแข้งพอ ทำให้หลายต่อหลายคนหมดไฟและเหนื่อยล้าในช่วงท้ายๆ ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ อีกสิ่งหนึ่งที่ควรจะต้องมีคือ “กำลังใจ”
"คือผมโชคดี อย่างที่บอกว่าที่บ้านให้การสนับสนุนตลอด แม้ว่าเราจะกลับมาอ้วนอีกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขาก็ให้กำลังใจผมตลอด อันนี้อยากจะฝากไว้เลย เพราะมันส่งผลทางจิตใจ เวลาที่เราอ้วน เราจะหลอน แล้วว่าเราอ้วนดำ คอดำ ตัวเหม็น ภาพเหล่านั้นมันจะกลับมาหมดจริงๆ ถึงได้บอกว่ารอบนี้รอบสุดท้าย
"ผอมลงแล้วนะ" "อีกนิดหนึ่งดูดีแล้ว สู้ๆ นะ" ถึงแม้มันจะไม่จริงก็ตาม แต่เสียงชื่นชมเป็นสิ่งที่ดี เป็นเสียงที่ให้กำลังใจได้ดีมาก ผมจะพูดกับคนรอบตัวเราเสมอว่า อย่าดึงให้เราลบ อย่าดึงให้เรารู้สึกแย่ ช่วยให้กำลังใจเราหน่อย"
และนอกจากกำลังใจจากคนรอบข้างจะเป็นตัวช่วยผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้า “กำลังใจ” จากตัวเราเองก็เป็นส่วนสำคัญไม่แพ้กัน
"เราต้องให้กำลังใจตัวเองให้ได้ด้วย ที่คิดอย่างนี้เพราะว่าผมมีโอกาสได้ไปเจอ ครูเป็ด "วาเนสซ่า กัณโสภณ" เขาบอกว่าตื่นเช้ามา คนเรายิ้มให้ตัวเองมากน้อยแค่ไหนหน้ากระจก บางคนเห็นตัวเองอ้วน เขาก็จะรู้สึกว่ามองกระจกแล้วท้อ รู้สึก ทำไมอ้วนจัง หรือถ้าคนเป็นสิว ก็ทำไมสิวเราเยอะจัง แต่ทำไมเราไม่คิดว่าวันหนึ่งเราจะต้องดูแลตัวเองให้ได้ เราจะต้องทำให้เราดูดีให้ได้
"เพราะว่าถ้าเราคิดแล้วว่ามันจะต้องดูดี คิดว่ามันจะต้องทำได้ ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ นอกจากจะไปเอาดวงจันทร์มาไว้ในมือ คือมันไม่มีอะไรที่ขีดความจำกัดของมนุษย์คนหนึ่งจะทำไม่ได้ ถ้าเราตั้งใจจะทำ อันนี้ต้องยอมรับจริงๆ ว่ามันสำคัญ เรื่องเป้าหมายของชีวิต"
จากคนที่เคยมีแต่คนรอบข้าง ครอบครัว ถามไถ่ปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว แต่เมื่อความคิดเปลี่ยนและมุ่งมั่นอย่างจริงจัง วันนี้เขากลายเป็นบุคคลหนึ่งที่เป็นที่ชื่นชมของคนอื่น
"เราชื่นชมคนอื่น ชื่นชมได้ครับ วันนี้มีคนสนใจก็ดีใจอย่างที่บอก กำลังใจจากข้างใน คือการลดน้ำหนักเราอาจจะมีต้นแบบก็ได้ แต่เราต้องมีเป้าหมายของเราให้ชัดเจน เพราะว่าร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน เรื่องความสำเร็จก็เหมือนกัน เราจะเอาจุดความสำเร็จตรงไหน เรามีเป้าหมายในชีวิตว่าอย่างไร เป้าหมายในชีวิตเรามากพอแค่ไหน ถ้าสมมติวันหนึ่งเราบอกว่า เป้าหมายชีวิตเราเราอยากจะเป็นคนคนหนึ่งที่ดูดีให้ได้ หุ่นดีให้ได้ เราก็ต้องโฟกัสให้ถูกจุด มองเป้าหมายเราให้ชัดเจน
"เราสามารถที่จะนำหุ่นคนคนหนึ่งมาเป็นไอดอลเราได้ แต่เราไม่สามารถที่จะเป็นเหมือนเขาได้ คิดไว้เสมอว่า เขาหุ่นดีในแบบของเขา เราต้องหาของเราให้เจอ ถ้าสมมติว่าผมเป็นคนรูปร่างใหญ่แล้วจะไปผอมเหลือแต่กระดูกมันก็ไม่ใช่เรา ถามว่าเคยไหมทำได้ แต่ร่างกายมันจะโทรม เราอยากที่จะเป็นคนคนหนึ่งที่ดูดี หุ่นดี มันก็ไม่ตอบโจทย์เราใช่ไหม
"แล้วอีกอย่าง คนภายนอกเขาก็จะมองเราไปในทำนองเล่นยาเสพติดทันทีแน่นอน เราก็จะไม่ผอมไปกว่านี้ เพราะเราเอาจุดสำเร็จตรงนี้พอดีเราแล้ว นอกนั้นก็เล่นหุ่นในส่วนที่เราต้องการ คือการคิดบวกสำคัญมาก การมองภาพของเราให้เป็นบวก มีเป้าหมายของเราเองสำคัญที่สุด"
แม้ทุกวันนี้ บางส่วนของร่างกายจะยังไม่กระชับเข้ารูปชัดเจนเหมือนครั้งที่เล่นละคร เดินแบบ แต่เรากลับสัมผัสได้ถึงความคิดอ่านบางอย่างที่มีพลังและมุ่งมั่นตลอดการพูดคุยและสนนทนาในเรื่องนี้ และเรามองเห็นคนที่ไม่ได้มองปัญหาอย่าง “คนแพ้” แต่กลับเป็น “คนชนะ” ที่มองหาทางออก
• การที่เรามั่นใจว่าเราจะไม่กลับไปอ้วนอีก เพราะเรามีเป้าหมายของการลดคือการทำเพื่อตัวเราเองใช่ไหม
คือเมื่อก่อนจะชอบถามตลอดว่าเราอ้วนไหม ใส่ชุดนี้อ้วนไหม ใส่ชุดนี้เป็นอย่างไร ไม่มีความมั่นใจเลยก่อนออกจากบ้าน แต่วันนี้ เราตอบตัวเองได้เลยว่าโอเคแล้ว โอเคมาจากตัวของเรา ไม่ได้หวังให้ใครมาชื่นชมว่าหุ่นดีจังเลย เราไม่ได้หวัง เราทำทุกอย่าง เราทำเพื่อตัวเอง เพราะไม่เคยมีใครมาบอกให้เราลดความอ้วนแล้วเราต้องลด ไม่มีใครมาบอก นอกจากมาท้าว่าลดความอ้วนภายใน 2 เดือน ได้ให้ 3 แสนบาท หรือ 10 ล้านบาท อันนี้ได้ (หัวเราะ) ชัดเจน มีเป้าหมาย แต่เป้าหมายของเราตอนนี้มันต่าง เป้าหมายของเราก็คือตัวเราเอง แต่ถ้าเราเอาจุดอื่นเป็นเป้าหมาย อย่างเรื่องท้า พอพ้น 3 เดือน 10 เดือนที่เขาจะให้ 3 แสนบาทหรือ 10 ล้านบาท หลังจากได้เงินมาแล้วทำอย่างไร เราก็อาจจะปล่อยตัวให้อ้วนเหมือนเดิมอีก...ถูกไหม
เพราะฉะนั้น เป้าหมายที่สำคัญคือตัวเรา สำคัญที่สุด เราอย่าเอาปัจจัยภายนอกมาเป็นเป้าหมาย เมื่อก่อนเคยคิดว่าอยากผอมเพราะอยากเข้าวงการ แต่เราจะผอมแค่ไหนก็ตาม ถ้าเขาไม่เอา ก็คือยังไงก็ไม่ได้เล่น แต่ถ้าวันนี้เราผอม ถามว่าเราอยากผอมมาเพื่อตัวเราเอง แล้ววันหนึ่งถ้าเขาให้เราเล่น เราเล่นได้ไหม มาซิครับผมพร้อม ณ วันหนึ่ง มีพี่เขาติดต่อมา ก็ไปช่วยเล่น เป็นซิตคอมที่อาจจะไม่ใช่ฉากต่อเนื่อง ไม่ได้ค่าตัวเยอะอะไรมากกมาย แต่เรามีโอการสได้ไป เราก็ไป คือมันทำให้เราคว้าโอกาสทุกโอกาสเข้ามาในชีวิต
• ความสำเร็จมักวิ่งไปหาผู้ที่เตรียมพร้อมทุกสิ่งอย่างอยู่เสมอว่าอย่างนั้น
ใช่ครับ คนที่จะสำเร็จคือคนที่พร้อมที่สุดเมื่อโอกาสมาถึง เพราะเราพลาดโอกาสมาหลายรอบมาก พอโอกาสมาปุ๊บเวลานี้ติดต่อมา ช่องนี้ให้ไปแคสติ้งหนัง เราปล่อยให้อ้วนแล้ว อันนั้นคือเราไปทำเพื่อตามคนอื่น เพื่อให้ได้มา แต่ทีนี้เราทำตามความฝันเราแบบนิ่งๆ ผิดพลาดอะไรเราก็ไม่รู้สึกผิดหวัง หรือคิดท้อหนัก เราแทบจะไม่อยากกลับมาผอมอีกด้วยซ้ำไป มันเป็นปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายในสำคัญที่สุด
เหมือนความคิดโลกสวย แต่เปล่า ผมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ค้นหาเจอว่า การที่เราจะทำอะไรสำเร็จก็ตาม มันควรจะเกิดจากข้างในความคิดเรา ตัวเรา เรามองภาพของเราในวันพรุ่งนี้เป็นอย่างไร เรามองภาพตัวเองในอีกหนึ่งเดือนเป็นอย่างไร แต่เราไม่ได้เครียดกับมันนะ เราแค่มองไว้ เราจะสำเร็จหรือเปล่า อีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยเราก็ได้ทำ ทุกวันนี้ก็รู้สึกดีใจที่มีคนให้เกียรติเรามากขึ้น ไม่ล้อหรือเรียกเราว่าอ้วนดำแล้ว
ในสู่นอก
กายใจที่ดีที่สุด
"หลักๆ เลย ภาพลักษณ์เราค่อนข้างที่จะเปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้นว่า เราไม่ใช่คนอ้วนแล้ว เราคือคนที่รูปร่างปกติ แต่ก็ไม่ใช่คนหุ่นดีมีซิกแพกชัด แต่มันทำให้เราคิดได้อีกว่า เราจะเป็นคนหุ่นดีมีซิกแพกชัดได้อย่างไร นั่นคือการต่อยอดความคิดเรา แล้วนอกจากนั้นมันก็ยังส่งผลไปเรื่องอื่นๆ ถึงได้บอกว่าภายนอก คนเห็นเราดูดีขึ้นนะ แต่คนไม่เห็นภายในจิตใจของเรา"
นราวิศน์ เผยการเปลี่ยนแปลงที่ตัวเองจากการออกกำลังกายที่นอกจากเรียกความมั่นใจในรูปร่างบุคลิกภาพแล้ว ยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงไปถึงข้างในจิตใจ
"เราไม่ได้โลกสวยอย่างนี้มาแต่ไหน เราไม่ได้มองโลกในแง่ดีมาตั้งแต่เกิด คือเพิ่งมาค้นพบ เมื่อเราพลาดไปแล้วหลายๆ ครั้ง เมื่อเรามองดูอดีตของเรา เราจะค้นพบว่าเราควรจะทำอะไร เราควรจะคิดอะไร เราจำได้แม่นเลยล่ะว่าความรู้สึกนั้นเป็นอย่างไร ความรู้สึกของคนอ้วนที่ภาพฝังใจ แต่เราจะไม่เอามันมาเป็นภาพลบในใจให้เราท้อแท้ วันนั้น เราเดินออกมาจากโอกาส ก็ไม่ได้คิดว่าจะมีโอกาสกลับไปอีกครั้ง คือตอนเดินแบบ จะมีคนจำได้หรือเปล่าเราไม่รู้ เราจำไม่ได้ว่ารายการประกวดเขาฟังเสียงหรือหรือมองหน้าเรา
"แต่วันนี้เราภูมิใจที่มีใครหลายๆ คนมาสอบถามว่าทำอย่างไรถึงลดความอ้วนได้ขนาดนี้ นี่แหละครับคือสิ่งที่จำได้ตอนนี้ อยู่กับปัจจุบัน ความสุขคนเราอยู่กับปัจจุบัน แล้วก็มองอนาคตให้เป็นบวก มีแค่นี้ อาจจะดูเหมือนพูดง่าย ใช้วิธีปรับความคิดเราไปเรื่อยๆ มันจะออกมาจากข้างในจริงๆ แล้วการเข้าวัดทำบุญ เป็นอะไรที่มีความสุขมาก การเป็นผู้ให้ ก็เป็นอะไรที่มีความสุข นี่คือแนวคิดที่เราคิดได้ ที่ส่งผลให้บุคลิกเราดูดี"
ขณะที่หลายต่อหลายคนเลือกที่จะลบภาพความทรงจำบางสิ่งบางอย่างที่เลวร้ายในชีวิตออกไป ตรงกันข้ามกับนราวิศน์ที่เลือกมองและเก็บข้อดีเอามาผนวกเข้ากัน
"บางคนที่เขาเคยอ้วน เขาก็อาจจะไม่เก็บภาพถ่ายเอาไว้ใช่ไหม คือเขาอาจจะมีความเชื่ออีกความเชื่อหนึ่ง การที่เรามองภาพเก่ามีคำสอนอยู่คำหนึ่งว่า “จิต” เป็นภาพชัดที่สุด ดังนั้น ถ้าเรามองภาพที่ลบบ่อยๆ ภาพที่แสดงออกมาก็จะเป็นแบบนั้น มันอาจจะใช้ได้กับเฉพาะบางคน อย่างเราจะมองภาพตัวเองในอดีตว่าเราเห็นความสุข ความสุขในการกิน เราเห็นความสุขในการที่เราไปไหนมาไหนแล้วญาติก็ส่ง อันนี้อันนั้นน้องเบทต้องกิน กินให้หมดนะ (ยิ้ม)
"ทุกคนรัก ทุกคนเอ็นดู เราเจอความสุขของเด็กคนนั้น ในขณะเดียวกัน เราก็เจอความทุกข์ในระหว่างวัย ตอน ม.6 มันเป็นความทุกข์ มันก็เป็นอีกภาพหนึ่งที่เรามอง เรารู้สึกว่าเด็กคนนี้ก็มีความทุกข์เหมือนกัน แต่เราจะไม่เอามันมาเป็นปมในปัจจุบัน เพราะทุกวันนี้สำเร็จแล้ว แล้วก็จะไม่กลับไปอีกแล้ว ก็จะต้องดูแลตัวเอง ดูดีกว่านี้อีกคือหมายความว่าเราต้องหมั่นออกกำลังกายเรื่อยๆ ตอนนี้ต้องยอมรับว่าหลังจากที่เราป่วย แล้วเราออกกำลังกาย มันยังมีบางส่วนที่ยังไม่กระชับเหมือนก่อนหน้านี้ มันก็ยังมีนิ่มๆ บ้าง พอบางคนเห็น เราอาจจะมาบอกว่าไม่เหมือนตัวจริง ตัวจริงไม่เหมือนในรูป ทำไมตัวจริงดูตัวใหญ่กว่าหรืออะไรก็ตาม
"แต่เราไม่แคร์ เพราะเรารู้สึกว่าถ้าคุณดูอดีตผม ผมมาไกลมาก เดินมาไกลมากจนผมรู้สึกว่านี่ล่ะคือหนึ่งความสำเร็จของตัวเอง เหมือนกับโพสต์ที่เอาไปโพสต์ในที่ต่างๆ หลายคอมเมนต์ก็ชื่นชม หลายคอมเมนต์ก็จะด่า ซึ่งถ้าเราใส่ใจในเรื่องของคำด่า เราก็จะต้องรีบโทร.ไปหาที่บ้านเลย เพราะที่บ้านจะเป็นคนแคร์เรื่องพวกนี้มาก แต่เราดูแค่ว่าเขาเอาเราไปชื่นชมก็พอ มันก็ทำให้เรามีความสุขในชีวิต"
ไม่น่าเชื่อว่าความล้มเหลวของการเปลี่ยนแปลงตัวเองภายนอก ระเบียบ วินัย การควบคุม จะส่งผลมาถึงเรื่องภายในจิตใจได้มากมายถึงเพียงนี้ จากอดีต “อ้วนดำ” ที่มีปัญหาด้านร่างกายและการเผชิญหน้ากับสังคมจนละทิ้งความฝันของชีวิต และมาในวันนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เขากลับมายืนหยัดเปลี่ยนสถานะร่างกาย “แฮนด์ซัม” แต่ภายใต้มัดกล้ามเนื้อ เรามองเห็น “หัวใจ” ที่ผ่านการฝึกฝนจนแข็งแกร่งไม่แพ้กัน
“ใช่ครับ” นราวิศน์ กล่าวแซมยิ้มพลางยืนยัน
"เพราะเวลาที่เรามีความสุข เราก็ทำอะไรทุกอย่างได้อย่างมีความสุข เวลาที่เราทุกข์เหลือเกิน เราก็จะทำอะไรออกมาได้ไม่ดีเลย แม้กระทั่งการออกกำลังกาย เราไปอยู่บนเครื่องวิ่ง 5 นาที เราก็ลงมาแล้ว เพราะจิตเราไม่นิ่งไง คืออยากจะฝากไว้เลยอย่าจิตตก
"เราต้องรู้ตัวเอง มันขึ้นอยู่กับว่าเรามีความสุขกับมันที่จุดไหน คือถ้าคนเรามีความสุขกับการอ้วน ก็อ้วนสิ ไม่เห็นแคร์เลย คนอ้วนแล้วดูดีก็มีเยอะแยะถมไป ถูกไหม แต่ถ้าเราเริ่มมีปัญหากับสุขภาพและร่างกาย เราต้องการที่จะควบคุมหรือลด อย่างที่บอก เราก็ต้องอยู่กับปัจจุบัน อย่ากดดันตัวเอง เราอาจจะออกกำลังกายแล้ว น้ำหนักเท่าคนอื่นๆ ที่เรามองว่าผอม หุ่นรูปร่างดีแล้ว แต่ทำไมเรายังดูใหญ่กว่าเขาอยู่ นั่นก็เพราะร่างกายของคนเราไม่เหมือนกัน
"เราต้องมองหาความพอดีสำหรับเรา แล้วความสุขคนเราอยู่กับปัจจุบัน แล้วก็มองอนาคตให้เป็นบวก อาจจะดูเหมือนพูดง่าย ใช้วิธีปรับความคิดเราไปเรื่อยๆ มันจะออกมาจากข้างในจริงๆ"
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : ปวริศร์ แพงราช