xs
xsm
sm
md
lg

นางเอกโหมโรง เดอะ มิวสิคัล “แนน สาธิดา” ยอดหญิงแห่งแรงบันดาลใจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เมื่อปี พ.ศ. 2551 เธอคือคนไทยคนแรกที่มีโอกาสเข้าประกวดร้องเพลงระดับโลกในเวที World Championships of Performing Arts (WCOPA) และคว้าเหรียญทองกลับมา 5 รายการ โดยที่คนไทยอาจจะยังงงๆ ว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นใครกันหนอ

กระนั้นก็ดี นั่นนับเป็นจุดแรกๆ ที่ทำให้ชื่อเสียงเรียงนามของ “แนน-สาธิดา พรหมพิริยะ” ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง ก่อนที่เสียงใสๆ ในการขับร้องเพลงของเธอ จะกลายเป็นที่จดจำในหมู่คนผู้รักชอบเสียงเพลง

ช่วงเดือนที่ผ่านมา แนน สาธิดา กลับมาเป็นประเด็นทอล์กให้คนพูดถึงด้วยความชื่นชมอีกครั้ง กับบทบาทการแสดงละครเวที เรื่อง “โหมโรง เดอะ มิวสิคัล” ที่กล่าวขวัญกันว่า บท “แม่โชติ” ของเธอนั้น น่าประทับใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการขับร้องบทเพลง


 
 
ในความรับรู้บางส่วนของเรา นอกเหนือจากที่กล่าวไปข้างต้น เธอคือคนที่ร้องเพลงประกอบให้กับละครหลายต่อหลายเรื่อง เธอเคยออกอัลบัมและร่วมร้องกับค่าย เลิฟอิส ของบอย โกสิยพงษ์ เธอมีผลงานเพลงและออกอัลบัมกับทางค่าย Classy เธอคือครูสอนร้องเพลงที่ลูกศิษย์ลูกหาให้ความเชื่อมั่น และยิ่งไปกว่านั้น เธอคือนักศึกษาแห่งคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ที่จบออกมาด้วยคะแนนเกียรตินิยม

จากเด็กหญิงวัย 8 ขวบที่แอบพ่อแม่ไปประกวดร้องเพลงที่โรงเรียน และได้รับการบอกกล่าวจากคุณครูว่า “หนูอาจจะไม่เหมาะกับการร้องเพลงนะ” จนต้องเก็บพับความอยากเป็นนักร้องไว้ในกล่องของความเงียบ จนกระทั่งหลายปีต่อมา ศักยภาพของ “แนน สาธิดา” ก็สว่างจ้าขึ้นมาอย่างที่กล่าว

อย่างไรก็ตาม...
นี่ไม่ใช่เรื่องราวของคนเก่งกล้าสามารถ หากจะพูด
นี่ไม่ใช่เรื่องราวของทูตแห่งอัจฉริยะที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์อันสูงส่ง
แต่คือเรื่องราวของคนคนหนึ่ง ซึ่งเราบอกได้เพียงสั้นๆ ณ บรรทัดนี้ว่า
เปี่ยมด้วยพลังแห่งความทุ่มเท มุ่งมั่น และมากแรงบันดาลใจ...


 • อยากให้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการได้มาเล่นละครเวทีเรื่อง โหมโรง เดอะ มิวสิคัล สักหน่อยค่ะว่าเป็นมาเป็นไปอย่างไร

โดยส่วนตัว แนนอยากเล่นละครเวทีมิวสิคัลอยู่แล้วค่ะ ที่ผ่านมา ก็ลองไปออดิชันดู แนนแคสต์มาหลายเรื่องมากนะคะเพราะอยากเล่น แต่เดิมที เราเป็นนักร้อง ซึ่งการแสดงยังไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ เราร้องเพลงในเรื่องที่เราไปแคสต์ได้หมดทุกเพลงก็จริง แต่เวลาที่ต้องใช้ทักษะการแสดง กลับไม่ได้เรื่องเลย (หัวเราะ) ซึ่งแนนก็พยายามไปเรียนเพิ่ม

ที่สำคัญ ก่อนจะได้มาเล่นเรื่องโหมโรง แนนมีโอกาสได้ไปเล่นละครเวทีเรื่องซูสีไทเฮา ซึ่งตรงนั้นทำให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับการแสดงมากขึ้นกว่าเดิม เราได้เห็นคนที่เขาแสดงดีและเก่ง ทำให้เราได้ศึกษาไปด้วยว่า คนที่เขาทำได้ดี เขาเป็นแบบนี้นี่เอง พอมาออดิชันเรื่องโหมโรง เราจึงทำได้ มันน่าจะเป็นเพราะที่เราได้ผ่านจุดนั้นมาบ้างแล้ว

 • แบบนี้มีความยากง่ายอย่างไรบ้างคะ

จริงๆ การเป็นนักร้อง เราจะเป็นตัวของเราเอง เรานำเสนอเพลงก็ผ่านทางอารมณ์ในการตีความของเรา ในขณะที่ละคร เราเป็นบทบาทของคนอื่น ซึ่งตั้งแต่เด็กๆ มา แนนก็ไม่ค่อยจะได้เล่นละครหรือแสดงอะไรเท่าไหร่ แนนรู้สึกว่า เอ๊ะนี่มันคือความจริงหรือการเสแสร้งหรือเปล่า แต่พอมาเข้าใจมันจริงๆ ไม่ใช่เลย เราต้องฝึกสมาธิ ต้องทำความเข้าใจบทบาทตัวละครนั้นๆ แล้วมีสมาธิสื่อเรื่องราวออกมาในฐานะตัวละครนั้นๆ มันก็รู้สึกสนุกดีนะคะ (ยิ้ม)

 • อย่างบทบาทแม่โชติในละครเวทีโหมโรง เดอะ มิวสิคัล มีคนชื่นชมเยอะมากกับบทบาทที่ได้รับ ตรงนี้เราคิดอย่างไรบ้างคะ

แนนว่าตัวเองโชคดีมากนะคะ ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่า ก่อนหน้านี้ แนนพยายามออดิชันมาหลายเรื่องแล้วนะคะ ออดิชันอยู่เป็นปี แต่ไม่ได้ แนนเลยตัดสินใจว่าจะย้ายไปเมืองนอก แล้วตลกมากตรงที่ว่าพอแนนตัดสินใจจะไป ตกลงกับครอบครัวแล้วว่าเราจะตามสามีไปเลี้ยงลูกที่นั่น บังเอิ๊ญ...เราได้ทราบข่าวว่าละครเรื่องโหมโรงที่เราออดิชันนั้นผ่าน ก่อนวันที่จะเดินทางสี่วันเองค่ะ (ยิ้ม) ซึ่งแนนชอบเพลงในเรื่องนี้อยู่แล้ว อีกอย่าง โปรดักชันเขายิ่งใหญ่ จนแนนต้องขอสามีกลับมาเล่นให้ได้ (หัวเราะ)

 • เห็นว่าได้มีโอกาสเล่นกับศิลปินแห่งชาติด้วย รู้สึกอย่างไรบ้าง

โอ้โห นี่แหละค่ะที่ทำให้แนนรู้สึกว่ามันคุ้มค่าทุกๆ เวลา เพราะว่าได้ดูพ่ออี๊ด (สุประวัติ ปัทมสูต) เล่น แนนว่าพ่ออี๊ดท่านมีความมหัศจรรย์ เวลาท่านแสดงแล้วเรารู้สึกเชื่อ ขนาดนั่งดู ซ้อมเป็นสิบรอบ ท่านก็ทำให้น้ำตาไหลได้ทุกครั้ง ซึ่งแนนจะดูมากี่รอบก็ยังคงรู้สึกทึ่งอยู่เหมือนเดิมเลยค่ะ (ยิ้ม)

 • ถ้าจะถาม โหมโรง เดอะ มิวสิคัล เวอร์ชั่นนี้มีจุดเด่นหรืออะไรแตกต่างจากฉบับอื่นๆ อย่างไรบ้าง

อย่างแรกเลย ต่างตรงที่เวอร์ชั่นก่อนๆ จะเป็นภาพยนตร์ เป็นละครทีวี แต่เวอร์ชั่นนี้เป็นมิวสิคัล มีเพลงเข้ามา นอกจากมีเพลง ยังมีดนตรีที่เพราะพริ้ง มันเป็นมุมมองการนำเสนอที่ต่างไปเลยนะคะ เพราะว่ามิวสิคัลตัดต่ออะไรไม่ได้ ทุกอย่างจะเกิดขึ้นสดๆ บนเวที เพราะฉะนั้นมันต้องใช้การร่วมแรงร่วมใจของคนจำนวนมาก ไม่ว่าจะผู้กำกับ คนออกแบบฉาก ไฟ แสง สี เครื่องดนตรี คนแสดง คนคุมเทคนิค สเตจ มันมีความสดใหม่ ซึ่งแนนคิดว่าคนที่มาดู จะรู้สึกว่าเขาได้เข้าไปร่วมอยู่ในเหตุการณ์นั้น ตรงนั้นจริงๆ ค่ะ

 • คิดว่าคนดูจะได้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง

แนนคิดว่าการที่คนจะตีความและรับรู้เรื่องราว ต้องขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคนด้วยค่ะ อย่างแนนเป็นนักร้อง แนนเคยแข่งขัน แนนรู้สึกชอบมากเลยในประเด็นที่ว่าแต่ละคนนั้นมีทางของตัวเอง เวลาที่เราจะไปแข่ง เราเครียด แนนว่าละครเรื่องนี้ได้แฝงข้อคิดดีๆ ของการเล่นดนตรีเอาไว้ว่าเราเล่นเพื่ออะไร มันใช่เพื่อประชันขันแข่งหรือเปล่า หรือเล่นเพราะเรามีความสุข ในจุดหนึ่ง แนนคิดว่า ในขณะที่เรามัวแต่เอาทางของเราไปเปรียบกับทางของคนอื่น มันจะมีแต่ความเครียด แต่ถ้าเราเล่นเพื่อค้นหาทางของตัวเองและเล่นด้วยความสุขมันจะค้นพบคีย์ของเราเองค่ะ

อีกอย่างแนนภูมิใจมากที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้คนดูรู้สึกภูมิใจในดนตรีไทย ในวัฒนธรรมของไทยซึ่งเป็นรากเหง้าของเรา อย่างแนนก็ชอบดนตรีไทยนะคะ สมัยเด็กๆ เคยตีขิมอยู่เหมือนกัน โตมาก็จะเป็นการร้องเพลงซึ่งจะร้องเพลงออกไทยๆ เลย ได้ฟังเครื่องดนตรีไทยเพราะๆ มาก่อนหน้านี้เหมือนกันค่ะ แต่พอมาฟังในเรื่องนี้ เขาใส่ความเป็นวัยรุ่นลงไปในเพลงได้ด้วย ทำให้ทุกเพศทุกวัยสามารถดูได้ (ยิ้ม)

 • เห็นบอกชอบการร้องเพลง คุณแนนเริ่มร้องเพลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ

ตั้งแต่อายุ 18 ปีค่ะ (ตอบเร็ว) ถ้าถามว่าแนนเริ่มร้องเพลงได้ยังไง แนนต้องบอกก่อนว่า จริงๆ แล้ว ครอบครัวของแนนไม่ใช่ครอบครัวดนตรีเลยนะคะ แนนโชคดีที่ถึงแม้ว่าในครอบครัวเราจะไม่ได้มีนักดนตรีหรือนักร้อง แต่พ่อแนนชอบฟังเพลง แล้วแนนก็ชอบฟังเพลง ซึ่งพ่อแม่ก็จะหามาให้ฟังตั้งแต่เด็ก ถามแนนว่าชอบร้องเพลงไหมแนนตอบเลยว่าชอบ ตอนนั้นเราเป็นเด็ก เราร้อง เราก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่รู้ว่าเราเสียงเพราะหรือไม่เพราะ

ตอนแนนอายุ 8 ขวบ แนนก็เริ่มไปประกวดที่โรงเรียน แอบประกวดโดยที่พ่อแม่ไม่รู้ ตอนนั้นก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันนะคะว่าทำไมไปประกวด แต่รู้สึกว่าเราอยากร้องเพลง เห็นคนอื่นขึ้นเวทีไปร้อง เราก็รู้สึกชอบ พอขึ้นไปประกวดเท่านั้นแหละ เราร้องผิดคีย์ ผิดแบบมหันต์เลย แล้วเสียงก็แหลมมาก ครูนาฏศิลป์เลยบอกกับแนนมาว่า “หนูอาจจะไม่เหมาะกับการร้องเพลงนะ” เชื่อไหมว่าแนนเป็นเด็กที่เชื่อคนง่ายมาก แนนเชื่อครูแล้วเราก็รู้สึกมาตลอดว่าเสียงเราเล็กและแหลมจังเลย เราคงไม่เหมาะที่จะร้องเพลงหรอก ตั้งแต่วันนั้นเราเลยกลายมาเป็นผู้ฟังอย่างเดียวจนมาถึงอายุ 18 ปี

 • เหมือนเส้นทางสายนี้จะถูกตัดจบไปแล้ว แล้วไปยังไงมายังไงถึงได้มาเป็นนักร้องคะ

ตอนนั้น แนนเรียนนิติศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีโอกาสได้ไปแข่งว่าความ แต่เพราะความที่เสียงบางและแหลมมาก เราจึงรู้สึกว่ามันดูไม่น่าเชื่อถือ ดูไม่เท่เลย ซึ่งแนนเห็นคนที่เขามีเสียงที่มีพลัง เราก็เลยอยากจะมีบ้าง แนนก็เลยตัดสินใจไปเรียนโอเปรา

แนนเลือกเรียนโอเปรา เพราะว่าไปถามครูมาว่าเลือกเรียนอะไรในเวลาสั้นๆ จะคุ้มที่สุดและจะทำให้เสียงเราแข็งแรงขึ้น ปรากฏว่าพอไปเรียน ได้ฟังแล้ว เรากลับชอบ สนุก ตอนนั้นเรียนได้เดือนกว่าๆ เพราะค่าเรียนแพงมาก ร่วมๆ 2,000 บาทต่อชั่วโมงเลย แต่ ณ จุดนั้นก็ทำให้แนนรู้ว่าเสียงคนเรามันมีหลายชนิด แล้วธรรมชาติมันสร้างมา แต่ละชนิดก็เหมาะกับเพลงแต่ละแบบ เราอย่ามัวแต่ไปร้องเพลงที่มันแรงซึ่งมันไม่ใช่เรา แล้วถึงแม้ว่าแนนเรียนเพื่อจะทำให้เราเสียงใหญ่ขึ้น แต่ปรากฎว่ามันไม่ใช่เลย มันกลับทำให้เราเข้าใจธรรมชาติของเสียงและเลือกเพลงที่เหมาะสมกับเสียงของตัวเอง ตอนนี้ก็ยังเสียงเล็กอยู่เหมือนเดิม แต่เราเข้าใจการใช้มันมากขึ้น ก็เลยเลือกเพลงประกวดที่มันเหมาะกับตัวเอง ซึ่งพอมหาวิทยาลัยมีประกวด แนนสมัครประกวดเพื่อแข่ง แล้วเราก็ชนะมา ซึ่งเราไม่คิดเลยว่าจะชนะ (หัวเราะ)

 • มีทักษะอะไรที่เราต้องฝึกบ้างคะในการร้องเพลง

เยอะเลยค่ะ แนนว่าการร้องเพลงเหมือนกีฬาเลย พอเราทำความเข้าใจว่าเราใช้แต่ละอย่างยังไง หายใจยังไง ควบคุมเส้นเสียงยังไง เราก็ต้องฝึกจนกระทั่งกลายเป็นธรรมชาติ ปกติแนนเป็นคนที่ชอบฝึก ชอบซ้อมอยู่แล้วด้วยค่ะ ซ้อมแล้วสบายใจ จะซ้อมไปเรื่อยๆ แล้วก็จะไปปรับปรุงบุคลิกเพิ่มเติม อย่างเช่น บทแม่โชติก็จะต้องมีกิริยาที่อ่อนช้อย ต้องก้าวเดินอย่างช้าๆ ต้องเรียบร้อย เดินหลังตรง เดินให้เนิบขึ้นค่ะ

 • การที่เราเริ่มฝึกช้าแบบนี้เราต้องมีความมุ่งมั่น ความพยายามมากกว่าคนอื่นๆ ไหม

มันต้องเริ่มจากความรักก่อนนะคะ แต่บางทีเราเคยคิดเหมือนกันว่า เรามีกำแพงปิดกั้นว่าเราชอบฟังเพลง เราชอบร้องเพลงนะ แต่เราไม่ได้อยากให้ใครฟัง คิดว่าเราทำไม่ได้ เพราะเรามัวแต่คิดว่ามันไม่เหมาะกับเรา มันเลยทำให้เราเริ่มช้ามาก แนนคิดว่าถ้าเรากล้าเร็วกว่านี้ จะได้ฝึกมากกว่านี้เยอะเลย

แนนคิดว่าเพราะเรามีความรักมากกว่า ตอนที่เราทำ เราไม่ได้คิดว่าเราจะไปดีเด่นอะไร เพียงแต่เราแค่ทำ ทำเพราะมันสนุกแล้วเราชอบ ที่แนนร้องเพลงมา แนนไม่ได้คิดไม่ได้หวังอะไรเลย ร้องเพราะชอบจริงๆ แต่ว่าพอประกวดชนะที่จุฬาฯ ก็มีค่ายเพลงติดต่อเข้ามา ซึ่งตอนนั้น ทำให้เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตไปเลย

แนนมีคนที่แนนอยากร้องเพลงด้วยที่สุดคือพี่บอย โกสิยพงษ์ มีค่ายอื่นๆ มากมายที่ติดต่อมาแต่เราอยากร้องกับคนที่เขาแต่งเนื้อเพลงที่มีความหมายให้กำลังใจ แนนเลยตัดสินใจส่งเดโมไปทางค่ายซึ่งตอนนั้นเป็นค่ายเบเกอรี่ (Bakery) ค่ะ แล้วก็เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่พี่บอยตั้งเป็นค่ายเลิฟอิส (Love is) ขึ้นมาแนนเลยมีโอกาสไปร้องเพลงในอัลบัมของค่ายเลิฟ อิส (Love Is) ในตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยปี 4 ค่ะ (ยิ้ม)

 • ชอบร้องเพลง แต่เห็นว่าเลือกเรียนกฎหมาย

ที่เรียนกฎหมายมาก็ชอบนะคะ ก็สนุก ชอบทั้งสองอย่างเลย ซึ่งแนนไม่ได้เรียนด้วยความที่เราถูกบังคับ แต่เราเห็นเพื่อนๆ ที่เขาเก่งๆ ชอบเข้าคณะนี้กัน แนนเลยเข้าตามเพื่อนๆ พอเข้าไปเรียนก็รู้สึกชอบและสนุกดี ได้ความรู้ ได้อะไรใหม่ๆ เยอะเลย

 • ด้านหนึ่ง เรียนกฎหมาย อีกด้านรักการร้องเพลง สุดท้ายแล้ว เราต้องเลือกอย่างไรไหมกับทางสองสายนี้

วันที่แนนเป็นนักร้องแล้ว แนนมีความรู้สึกว่าเราไม่อยากทิ้งการร้องเพลงเลย ตอนนั้นอยู่ปี 4 ใกล้จะเรียนจบแล้วด้วย แนนเลยตัดสินใจคุยกับทางบ้านว่าถ้าแนนเลือกกฎหมาย ทำไปร้องเพลงไปจะได้ไหม พ่อกับแม่บอกว่ามันไม่สุดสักทาง ดูเหมือนจับปลาสองมือ และแนนก็เห็นเพื่อนๆ ที่เป็นนักกฎหมายเขาทำงานหนักมาก ถ้าเราทำสองอย่างมันจะไม่ดี แนนเลยมานั่งคิดว่าเราชอบร้องเพลง เราชอบมากจริงๆ ชอบจนไม่อยากทิ้ง เลยตัดสินใจขอทางบ้านใช้ชีวิตกับดนตรี

แนนไปเรียนร้องเพลงเพิ่มและศึกษาตำราเกี่ยวกับการสอนแล้วก็สมัครเป็นครู จริงๆ แนนสมัครเป็นครูตั้งแต่แนนชนะการประกวดที่จุฬาฯ แล้วนะคะ เพราะว่าแนนจะสอนและเก็บเงินค่าสอนเพื่อเอาไปเรียนเพิ่ม ตอนนั้นก็สอนและมีนักเรียนพอสมควรแล้ว พอจบมา แนนเลยใช้ชีวิตเป็นครูสอนร้องเพลงไปเลย

บอกตามตรงว่าแนนอยากเป็นตัวอย่างเล็กๆ สักตัวหนึ่งที่อยากให้คนเห็นว่าบางทีเราก็ไม่จำเป็นว่าต้องฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเล็ก ถ้าเราชอบ เรารัก เราฝึกได้ มันไม่สายไปแน่นอน (ยิ้ม)

ขณะเดียวกัน ถ้าถามว่าแนนเสียดายไหมที่เรียนกฎหมายมา แนนบอกได้เลยว่าไม่เสียดายเลยค่ะ เพราะช่วงเวลาที่เรียนกฎหมายก็มีความสุขมาก แนนว่าชีวิตแต่ละช่วงมันเข้ามาอย่างมีเหตุผล แล้วเราก็ได้เรียนรู้จากทุกช่วงเลย ไม่มีความรู้สึกเสียดายเลย เพราะกฎหมายนี่แหละที่ทำให้เราได้ร้องเพลง ถ้าเราไม่ได้ไปแข่งว่าความ เราก็คงไม่ได้ไปแข่งร้องเพลง

 • เห็นว่าคุณแนนเป็นคนไทยคนแรกที่ได้เข้าแข่งและชนะเลิศ ในการประกวด World Championships of Performing Arts จากเวทีของสหรัฐอเมริกาด้วย

จริงๆ ตอนไปประกวดที่อเมริกาก็ตลกมากนะคะ แนนสอนนักเรียน ก็กดคลิปดูนู่นนี่นั่นไปเรื่อย แล้วก็ไปเจอผู้ชายฟิลิปปินส์ที่เขาร้องเพลงเพราะมาก เขาร้องเพราะจนแนนต้องเอาชื่อเขาไปเสิร์ชในวิกิพีเดียว่าเขาคือใคร ปรากฎว่าเขาคือคนที่เป็นแชมป์ แชมป์เกือบทุกอย่าง แล้วเขาก็เคยแข่งในเวทีนี้ แนนเลยลองหาข้อมูลว่าจะสมัครยังไง ต้องทำยังไงบ้างซึ่งเขาก็ไม่รับนะคะเพราะว่าการประกวดต้องไปในนามประเทศ นั่นก็คือต้องมีการตั้งคณะกรรมการในประเทศเพื่อหาตัวแทน ซึ่งประเทศไทยก็ไม่มี ถ้าจะจัดตั้งเอง มันก็ดูเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากๆ ต้องมีงบประมาณ ปีนั้นเราก็เลยไม่ได้ไป

แนนก็ยังคงส่งอีเมลหาเขาเรื่อยๆ ว่าถ้ามีทางอื่นให้บอกด้วย สองปีถัดมา เราก็เลยลองถามเขาแล้วก็ส่งอีเมลไปหากองประกวดว่าเราเคยได้แชมป์ประเทศไทยในการแข่งขันชิงแชมป์ได้ถ้วยประทานของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ชื่อว่าเวทีชิงแชมป์ประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ ถามเขาไปว่าใช้ได้ไหม เขาเลยบอกมาว่าโชคดีมากที่ปีนี้เป็นปีแรกที่มีหนทางใหม่โดยให้คณะกรรมการของเขาพิจารณารับเข้าไปในการแข่งขัน ตอนนั้นเราก็เลยได้เป็นตัวแทนประเทศไทยโดยที่ไม่มีคนไทยรู้จัก (หัวเราะ) โชคดีที่ไปแข่ง ได้เหรียญทองมาเราก็ขึ้นเฟซบุ๊กว่าเราดีใจได้เหรียญทองกลับมาแล้ว คนก็แชร์ลงพันทิป ก็เลยรู้จักเรามากขึ้นค่ะ

ตอนนั้นที่ได้ไปแข่ง แนนไปเพราะแนนมีนักเรียนของแนนที่เขาไปประกวดตามที่ต่างๆ หลายคนเขาไม่ชนะ เขาผิดหวังกลับมา ร้องไห้เสียใจกับเรา แนนก็จะคอยบอกเขาตลอดว่ารู้ไหมที่เขาไปแข่งเขาไม่ได้แข่งกับคนอื่น แต่เขาแข่งกับตัวเองอยู่ แค่ได้ลงประกวด แค่เราฝึกซ้อม เราก็ไปได้ไกลกว่าเดิมแล้ว แต่เวลาที่นักเรียนเราแพ้ เราก็ร้องไห้เสียใจเหมือนกันนะคะ แต่มันก็เป็นความคิดหนึ่งที่ทำให้เราได้ก้าวต่อไป มันทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำมามันก็ได้ประโยชน์

แนนจะพูดกับนักเรียนแบบนี้เป็นประจำ แนนเลยตัดสินใจอยากทำให้เขาดู ซึ่งตอนนั้นแนนก็ร้องเพลงอยู่กับที่ มันรู้สึกว่าไฟเริ่มมอดแล้ว เราก็เลยหาเวทีที่เป็นนานาชาติ แล้วด้วยอารมณ์เหมือนตอนที่ไปแข่งกฎหมายเลยค่ะว่าเราอยากไปเวทีนานาชาติที่เราไปแล้ว เรารู้สึกว่าเราตัวเล็กแค่ไหน เราจะได้มีไฟที่จะพัฒนาตัวเอง อยากมีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้น อยากหาเป้าหมายให้ตัวเอง ไม่ได้คิดเรื่องว่าจะแพ้จะชนะ อย่างน้อยแค่เราได้ไปเห็นไปดูแล้ว เราจะได้มีแรงที่จะพัฒนา

เหมือนตอนไปแข่งกฎหมาย เรารู้เลยว่าเรากระจอกมาก อย่างไปแข่งว่าความที่ยุโรป มีมหาวิทยาลัยเท่ๆ เทพๆ มาทั้งนั้นเลย มากัน 50 กว่าทีม ซึ่งเรานี่อยู่หลังๆ เขาเลยค่ะ แนนไปแล้วแนนรู้เลยว่า ที่เราคิดว่าเราเรียนจุฬาฯ เราก็เท่อยู่นะ แต่ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราเป็นกบในกะลาเล็กๆ เลยค่ะ และนั่นแหละมันเป็นความรู้สึกที่ดีมันทำให้เรากลับมาแล้วเรามีทัศนะที่กว้างมากขึ้น เราได้รู้ว่าโลกนี้มีคนเก่งๆ เจ๋งๆ อีกมากมาย ทำให้เราไม่มีความรู้สึกหลงตัวเองเลย เพราะแนนคิดเสมอว่า เวลาที่เราทำได้ดี ก็ยังมีคนที่ทำได้ดีกว่าเราอีกมากมาย มันเลยทำให้เรามีไฟที่อยากจะพัฒนาตัวเอง (ยิ้ม)

 • ตอนไปประกวดนั้น บรรยากาศชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง เครียดไหม

อันดับแรกเลย แนนฝึกหนักมาก เพราะความที่เรารู้ว่าตัวเราช่างห่างไกลมาก แรกๆ แนนดีใจนะคะที่จะได้ไปแข่ง แต่สักพักหนึ่งก็จะเริ่มเครียดเหมือนกัน กลัวว่าเราทำไม่ได้ แต่สุดท้าย เราก็คิดว่าเราทำให้เต็มที่ที่สุดก็พอ พอเราไปเหยียบที่อเมริกา แนนบอกตัวเองเลยว่าเรามาแล้ว ไม่ว่าเราจะแพ้หรือชนะ แต่อย่างหนึ่งที่เราชนะแล้วคือเราชนะตัวเอง เพราะเราฝึกซ้อมมาเยอะมาก ดังนั้น เราจึงไปแข่งแบบไม่เครียด แนนจะนึกถึงความสุขใจที่ได้มา

มันแปลกมากนะคะเวลาที่แนนทำอะไรแล้วไม่เครียด แนนจะทำมันออกมาได้ดี ถ้าเครียด ถ้าอยากได้ อยากชนะ มันจะออกมาทุเรศทุกที ถ้าเราปลง เราเตรียมพร้อมให้เต็มที่แล้วก็ร้องด้วยความสุข ผลจะออกมาเกินกว่าที่คาดไว้มาก

เวทีนั้น ทุกคนที่เข้ามาแข่ง เก่งหมดนะคะ แต่สำหรับแนน ขอใช้คำว่าโชคดีมากกว่าคำว่าเก่ง มันโชคดีที่เราเลือกเพลงที่พอดีกับเราและกับกรรมการซึ่งเขาอาจจะชอบเพลงแบบนี้ และโชคดีที่เราไม่เป็นหวัด ซึ่งสำคัญมากๆ สำหรับการร้องเพลง เวลาที่ใครบอกแนนว่าได้รางวัลมาเก่งจังเลย แนนคิดว่ามันเป็นความโชคดีมากกว่าค่ะ

 • คิดว่าเป็นความโชคดีอย่างเดียวเหรอคะ ไม่คิดว่าตัวเองเก่งบ้างเหรอ

(หัวเราะ) แนนรู้สึกว่าคนอื่นเขาเก่งกว่าเราเยอะ ถึงแม้ว่าเราจะกลับมาแล้วมีคนชมเราเยอะ ซึ่งแนนก็ดีใจนะคะที่คนเขาให้เกียรติเรา แต่ในความคิดของแนนคนที่เขาเป็นระดับโลกจริงๆ เขายิ่งใหญ่กว่านี้อีกมาก ยังรู้สึกว่าตัวเองต้องพัฒนาอีกเยอะ จนทุกวันนี้ แนนก็ยังมีไอดอลที่เป็นนักร้องบรอดเวย์ที่แนนชอบอีกหลายคน แนนมีไอดอลในเพลงแต่ละสาย อย่างสายเพลงป็อป สาย R&B สายโอเปราก็มี ยังมีเทพอยู่บนหิ้งมากมายที่เขาเป็นระดับโลกจริงๆ ซึ่งแนนยังห่างไกลและเรายังมีจุดให้แก้ไขอีกเยอะค่ะ ก็ยังฝึกและพัฒนาอยู่ทุกวัน


 • ดูเหมือนคุณแนนจะทำอะไรก็ดูจะประสบความสำเร็จ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงานและแม้แต่เรื่องร้องเพลง

จริงๆ ชีวิตแนนก็เคยล้มเหลว ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนกันนะคะ อย่างเรื่องการแสดง เรื่องเต้นรำ บุคลิกแนนก็มีปัญหา โดนดุโดนด่ามาเยอะ เดินแบบก๊อกแก๊กๆ แต่ในบทบาทในเรื่องโหมโรงที่ได้รับมา เราต้องมีบุคลิกที่ดี จะต้องเดินหลังตรง เดินช้าๆ ก้าวสวยๆ ต้องแก้เยอะเลยค่ะ

คนเราไม่เก่งทุกอย่างหรอกค่ะ มันมีมุมที่เราไม่เก่งเหมือนกันนะ บังเอิญคนเขาอาจจะมองมาเห็นในมุมที่ดีของเราก็เท่านั้นเองค่ะ

 • แต่หลายคนมองมาเขาก็ว่าเราเป็นคนเก่ง อย่างเรียนก็ได้เกียรตินิยม ร้องเพลงก็ได้รางวัลมามากมาย

แนนว่าแนนมีกัลยาณมิตร แนนโชคดีกับหลายๆ เรื่อง แนนมีเพื่อนที่เรียนเก่ง คอยแนะนำ มีครูดี อย่างตอนแนนเรียนมหาวิทยาลัย เพราะความที่ชีวิตอยู่กับการสอบด้วยการกากบาทมาตลอด แล้วพอต้องเขียนคำตอบยาวๆ คะแนนดิ่งลงเหวเลยเพราะว่าเราเขียนอธิบายไม่เก่ง ก็ต้องปรับต้องแก้

เวลาที่แนนลงเหว มีอุปสรรคมากๆ แนนจะหาทางกลับขึ้นมาโดยการฝึกฝนตัวเอง เพราะพอเรารู้ว่าเรามีข้อบกพร่องอะไร เราไม่จำเป็นจะต้องแก้ข้อบกพร่องทุกอย่างในชีวิตเรา แต่ถ้าเรารู้สึกว่ามันจะเป็นข้อที่จะต้องแก้ เราก็จะไม่ท้อแท้ง่ายๆ

ส่วนตัวแนนจะถูกสอนมาว่าคนเราผิดพลาดได้ ความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดามาก การผิดพลาดเป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำที่ทำให้เรารู้ว่าเราสามารถที่จะพัฒนาในจุดด้อยนั้นได้ เวลาที่เราเจอเรื่องที่แย่ๆ เราจะไม่ท้อแท้เท่าไหร่ เราจะคิดเสมอว่ามันคงจะแก้ได้แล้วก็ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ แก้

 • ชีวิตประสบความสำเร็จในหลายเรื่องขนาดนี้ เคยท้อแท้หรือเบื่อที่จะทำอะไรบ้างไหมคะ

แนนเคยมีท้อนะคะ แต่พอท้อมากๆ เราก็ทำใจได้ มันตลกมากที่ว่า คนหลายคนกลัวผิดกลัวพลาด พอผิดพลาด เขาก็เสียใจ แต่ตรงกันข้าม แนนถูกสอนมาว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์มากๆ ไม่ต้องอาย จะทุเรศก็ให้มันทุเรศไป เราค่อยๆ หาทางกลับขึ้นมา ซึ่งแนนจะมีความคิดนี้ในหัว แต่บอกได้เลยว่ายังมีอีกหลายเรื่องมากที่เราไม่เก่ง หลายคนที่มองว่าแนนทำทุกอย่างออกมาดีจริงๆ แล้วมันมาจากการแก้ไข การถูกสั่งสอนที่หนัก

 • เคยมีความคิดว่าเราจะทิ้งสิ่งที่รักเพราะความท้อบ้างหรือเปล่า

แนนรักการร้องเพลงมาก แนนจึงอดทนจนมีวันนี้ แนนมีปัญหากับการร้องเพลงนะคะ ทั้งออกเสียงไม่ชัด ทั้งร้องแล้วมีเสียงลมเยอะมาก ก็ต้องโดนแก้ให้เสียงใสและคมขึ้น ซึ่งมันก็เหมือนการฝืนความเคยชินของเราก่อนหน้านี้มาตลอด ซ้อมไปร้องไห้ไป เคยคิดเหมือนกันนะคะว่าถ้าร้องเพลงแล้วมันทุกข์ขนาดนี้ ไม่ร้องดีกว่า แต่ว่าวันหนึ่งก็ทนไม่ได้ ก็ต้องทำอยู่ดี พอมันแก้ไขได้ เราจะรู้สึกขอบคุณทั้งอาจารย์และตัวเองมากๆ ที่อดทน (ยิ้ม)
แนนเชื่อนะคะว่าทุกคนต้องมีจุดที่ท้อ พอมันแย่มากๆ สิ่งที่จะช่วยเราได้อีกอย่างหนึ่งคือ การหยุดพักความรู้สึกตรงนั้น ทิ้งมันไปสักพักหนึ่งก่อน แล้วให้อารมณ์เย็นลง จึงค่อยกลับมาทำใหม่ ก็สามารถช่วยได้ค่ะ

 • เวลาทำอะไรสักอย่างหนึ่ง อย่างการร้องเพลง การเรียน คุณแนนตั้งเป้าให้ตัวเองอย่างไรบ้างคะ

แนนจะเป็นคนที่ถ้าสนใจอะไร ก็จะสนใจจริงจังมากๆ ทุ่มเททุ่มสุดตัวเลยค่ะแก่สิ่งที่เรารัก และภูมิใจกับการทุ่มเทของตัวเองด้วยว่า เราได้ทำเต็มที่ให้กับสิ่งที่เรารัก ได้ไม่ได้ มันก็อีกเรื่องหนึ่ง เราจะไม่เสียใจที่เราได้ทำมันจนถึงที่สุดแล้ว

 • ในความคิดของคุณแนน คนเก่งเขาต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้างคะ ถึงจะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ

แนนเชื่อว่าคนเก่งทุกคนต้องมีใจมาก่อนว่าเราอยากทำอะไร คนทำอาหาร ถ้าทำอาหารอร่อยก็สุดยอด คนทำเสื้อผ้า ออกแบบเสื้อผ้าให้สวยก็สุดยอด ถ้าเราชอบแล้วเราหามันเจอว่าเราชอบอะไร แล้วเราทุ่มเท เราชอบอย่างเดียวไม่พอหรอก เรารักอย่างเดียวไม่พอ เราต้องทุ่มเท ต้องไม่ยอมแพ้เวลาที่เจออุปสรรค แนนเชื่อว่าคนคนนั้นจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้

แนนไม่ได้เคยคิดว่าคนชาติไหนเป็นชาติไหน เพราะคนก็คือคน แล้วคนที่เกิดมาเขามีศักยภาพทั้งนั้นแหละ จะคนไทย คนฝรั่งก็คนเหมือนกัน อย่างฝรั่งทำอะไรได้ คนไทยก็เป็นคนเหมือนกัน เราก็ต้องทำได้เหมือนเขา อยู่ที่ว่าตัวบุคคลนั้นอยากจะทำมันขนาดไหน และมุ่งมั่นขนาดไหน คนไทยที่ไปสร้างชื่อเสียงในระดับนานาชาติมีเยอะมาก มีหลายคนที่เขายิ่งใหญ่กว่าแนนเยอะมาก (ลากเสียงยาว) แนนเป็นแค่คนไปร้องเพลง เป็นแค่อะไรเล็กๆ เอง เพราะฉะนั้น แนนอยากให้คนมองว่าเราเป็นคนหนึ่งแล้วเราไม่ด้อยกว่าคนไหนๆ เพราะเราเป็นคนเหมือนกัน

 • ฟังๆ ดู คล้ายกับว่าเราเป็นสายเพอร์เฟกชันนิสม์เหมือนกันนะ เพราะทำอะไรก็ต้องเพอร์เฟกต์

ไม่เลยค่ะ (ตอบเร็ว) เพราะเรารู้ว่ามีคนที่เขาเก่งกว่าเราอีกตั้งเยอะ มีคนที่เขาเป็นไอดอลของเราอีกเยอะที่เขาฝึกหนักมาก เก่งมากจริงๆ แนนต้องขอบคุณทุกคนที่ให้เกียรติแนน แนนจะเอาคำชมที่ได้รับมาเป็นกำลังใจให้เราได้พัฒนาต่อไป

แนนเชื่อว่าคำชมเป็นกำลังใจนะคะ แต่เราต้องมีใจที่เป็นกลางด้วย เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดว่าเราเจ๋ง นั่นแหละจะเป็นวันที่เราจะหยุด แนนถึงชอบที่จะออกไปหาแรงบันดาลใจจากคนที่เขาเก่งกว่าเราอีกหลายขุม เหนือเมฆไปอีกหลายชั้น และเราจะรู้ว่าเราก็ยังเป็นกบในกะลาอยู่ เพราะการที่ไม่หยุด จะทำให้เราพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเหลิงและเราหยุด มันจะทำให้เราหยุดพัฒนา

 • มีคำแนะนำอะไรให้กับน้องๆ ที่ตามหาความฝันและอยากประสบความสำเร็จบ้างไหม

แนนได้ยินคนสมัยก่อนบ่นถึงเด็กรุ่นใหม่เยอะมาก ซึ่งฟังแล้วก็จะรู้สึกอารมณ์เสียแทนเด็ก เขาจะหาว่าเด็กรุ่นใหม่ยอมแพ้ง่าย เหมือนกับว่าถ้าทำอะไรแล้วไม่ได้ดั่งใจ เขาจะเปลี่ยนง่ายๆ เพราะชีวิตมีทางเลือกเยอะ แนนก็อยากจะบอกว่า จริงๆ แล้วคนที่เขาประสบความสำเร็จ เขาได้มาด้วยความยากลำบาก มันไม่ได้ว่าได้ง่ายๆ เลย

บางคนชมแนนว่าโชคดีจังเลยนะ แต่แนนรู้สึกว่าจริงๆ แล้วที่ผ่านมาก็หนักอยู่เหมือนกันนะ แนนอยากจะบอกเด็กรุ่นใหม่ว่า เวลาที่เขายอมแพ้ ให้สู้อีกนิดหนึ่งแล้วจะพบว่าสิ่งที่เขาเคยมองว่าเขาทำไม่ได้จริงๆ เขาอาจจะทำได้ก็ได้ เด็กรุ่นใหม่อย่าทำให้เขาครหาเราได้ เราต้องเป็นรุ่นใหม่ที่สู้ แต่คนเราก็ไม่ได้ต้องทำดีหมดไปเสียทุกอย่าง ให้หาอย่างที่เราชอบ ที่เรารักแล้วเราไม่ทิ้งมันง่ายๆ

อีกอย่าง อย่าทิ้งความหวัง เพราะความหวังทำให้เรามีไฟ อย่างตอนที่แนนออดิชันโหมโรง แนนก็ไม่คิดหรอกว่าตัวเองจะได้ เพราะว่าเริ่มมีคนบอกเราแล้วว่าเราอายุเยอะแล้ว จะ 30 ปีแล้ว แนนมีลูก มีครอบครัวแล้ว แนนก็ยอมรับนะคะว่าแนนเริ่มต้นช้าไป แต่แนนจะบอกตัวเองเสมอว่ามันเริ่มได้หมดแหละ

 • เห็นว่าคุณแนนมีลูกแล้ว และลูกก็ต้องโตมาเป็นเด็กรุ่นใหม่ เรามีวิธีการสอนลูกอย่างไรบ้างคะ

แนนตั้งใจจะสอนลูกให้เหมือนกับที่พ่อแม่สอนมาว่า เวลาเราเจอปัญหา เราลงเหว เราต้องค่อยๆ หาทางกลับขึ้นมา มันไม่ใช่จุดจบของทุกวัน

ตอนนี้ลูกอายุสองขวบ ก็ยังเลี้ยงยังปล่อยสบายๆ ให้เล่น ให้เรียนรู้ ไม่กดดันเลย แต่จะมีอบรมบ้าง เวลาที่ทำอะไรไม่ดี อย่างเรื่องดนตรี แนนก็ไม่ได้บังคับเขานะคะว่าต้องชอบต้องรักเหมือนเรา เพราะว่าจะให้ลองได้เจออะไรหลายๆ อย่าง ให้ลูกได้ลองกิจกรรมหลายๆ อย่าง เผื่อเขาจะเจอสิ่งที่เขารัก ตอนนี้ก็สังเกตเห็นว่าลูกก็ชอบดนตรีนะคะ เพราะเห็นเราฟังทุกวัน แนนคิดไว้ว่า ถ้าเขาโตกว่านี้ จะพาไปเล่นกิจกรรมหลายๆ อย่างให้เขาดูว่าเขาชอบอะไร แล้วเขาจะได้เลือกในสิ่งที่เขาชอบเอง

 • ตอนนี้ คุณแนนทำอะไรอยู่บ้าง หรือมีแพลนอะไรในอนาคตอยากทำต่อไปบ้าง

แนนเป็นครูสอนร้องเพลงมาประมาณสิบปี ตั้งแต่อายุ 18 ปี จนถึงอายุ 28 ปีก็หยุดสอน สาเหตุที่หยุดเพราะเราจะไปเมืองนอก แต่ก็มีการพลิกแผนกลับมาเล่นละคร ซึ่งใจแนนอยากจะให้ทุกอย่างลงตัว พาลูกเข้าโรงเรียน จัดการภารกิจให้เรียบร้อย หมดภารกิจทุกอย่าง ถ้าได้กลับมาอยู่เมืองไทยเป็นระยะเวลานานก็จะกลับมาสอนอีกครั้งค่ะ อยากจะร้องเพลง อยากอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ (ยิ้ม)

อาชีพครูทำให้แนนมีความสุขมากนะคะ เพราะส่วนตัวแนนได้ครูดีมาเยอะ แล้วเวลาที่เราฟังเขาแล้วช่วยเขาแก้ปัญหา นักเรียนทำได้ดี มันดีใจยิ่งกว่าที่เราทำได้เองซะอีก มันเป็นความรู้สึกที่พิเศษมาก แนนอยากสอนคนรุ่นใหม่ อยากเห็นคนรุ่นใหม่ประสบความสำเร็จ ส่วนเรื่องงานตอนนี้ จะมีไปร้องเพลงที่อิตาลีแล้วก็จะมีมิวสิคัลเรื่องต่อไป ถ้ามีโอกาสก็ยังจะอยากเล่นอยู่เรื่อยๆ ค่ะ

 • ถ้ามีใครสักคนกำลังท้อแท้มากๆ กับสิ่งที่ทำ เดินเข้ามาขอคำปรึกษาจากคุณแนน จะมีคำแนะนำให้แก่คนคนนั้นอย่างไรคะ

มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ อยู่แล้ว ถ้ารักจริงให้สู้ ความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา ผิดเรายังได้เรียนรู้ แต่อย่าทำผิดซ้ำหลายรอบเกินไป อย่ากลัวที่จะผิดพลาด ถ้ารักอะไรก็ต้องทำ อย่าได้อาย บางคนล้มเลิกทำในสิ่งที่เรารัก เพราะว่าเคยผิดพลาดแล้วเจ็บใจ ไม่อยากทำมันต่อไปอีก แต่ว่าถ้าเราทำใจยอมรับได้จริงๆ ว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ อย่างแนนเลี้ยงลูก ไม่รู้ต้องล้มลุกคลุกคลานตั้งกี่ครั้ง กว่าลูกจะเดินได้ เพราะฉะนั้น เราก็เหมือนกัน เราทำอะไร จะต้องล้มสักแค่ไหน มันเป็นธรรมดามาก เซ็งได้ เศร้าได้ แต่ต้องกลับมาใหม่ ถ้าเรารักมันจริงๆ (ยิ้ม)




เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : ปัญญพัฒน์ เข็มราช

กำลังโหลดความคิดเห็น