“กาก” “เกรียน” “อ่อนด๋อย” “โกงแน่ๆ” และอีกหลากคำด่าสารพัดมากมาย ที่เรามักจะเห็นได้บ่อยตามเว็บบอร์ดหรือแฟนเพจเกี่ยวกับฟุตบอลซึ่งมักจะประกาศศักดาหรือโชว์พลังให้ดูเหนือกว่า ว่าทีมตูข้านี่แหละเจ๋งสุดในปฐพี และมักจะลงเอยด้วยการตอบโต้กันไปมาจนแทบวางมวยบนโลกเสมือน และเป็นที่มาของ ‘ดราม่า’ ให้เสียสุขภาพจิตกันไปในที่สุด
ดูฟุตบอลเล่นเฟซบุ๊ก อาจเป็นเหตุทะเลาะวิวาทและก่ออาชญากรรมทางคำพูด แต่สำหรับแฟนเพจฟุตบอลที่มีนามว่า “Football Vintage” กลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่กล่าวมา เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่ในเพจนั้นนำเสนอเรื่องราวอีกฟากในแบบฉบับ ‘ฟีลกู๊ด’ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ติดตามเพจ จนทำให้รู้สึกว่าวงการลูกหนังก็มีแง่งามให้เห็นเช่นเดียวกัน

ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ “บัง-ขวัญชัย ธำรงโชติ” ผู้ดำรงสถานะคนทำสื่อกีฬาแห่งหนึ่งซึ่งรับหน้าที่เป็นแอดมินแฟนเพจที่ว่านี้ด้วย เขาพาลูกเพจมองกว้างออกไป ซึ่งไม่ใช่เพียงการแข่งขันอันดุเดือดในสนาม หากแต่พยายามถ่ายทอดเรื่องราวที่เขาใช้คำว่า “อบอุ่นเป็นมิตร”
เล่นกีฬาดีกว่ายาเสพติด แต่สุขภาพจิตอาจจะโทรมได้ หากงมงายไปกับ “ดราม่า” ที่มาจากกีฬา โดยเฉพาะกีฬายอดฮิตอย่างลูกหนังกลมๆ ที่มีชื่อว่าฟุตบอล
“ฟุตบอล วินเทจ” ดูเหมือนจะวินเทจสมชื่อ เพราะมันพาเราย้อนกลับไปสู่บรรยากาศวัฒนธรรมการชม-การเชียร์ศึกลูกหนังที่ยังไม่ระอุอย่างเช่นทุกวันนี้ บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้อาจกระตุ้นให้คุณฉุกคิดตั้งคำถามว่า เราเดินทางมาถึงยุค “สังคมอุดมดราม่า” นี้ได้อย่างไร และ/หรือ จะดีกว่าไหม ถ้าเราย้อนกลับไปดูฟุตบอลกันแบบ “วินเทจ” อีกครั้งหนึ่ง

• ที่มาที่ไปของแฟนเพจนี้มาจากอะไร
มันเกิดมาจากการคุยเล่นกับเพื่อนของผมครับ พอดีเพื่อนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับฟุตบอล ผมก็ไปเสิร์ชหาข้อมูลหาคำตอบให้เขา เพื่อนก็บอกกับผมว่าลองทำแฟนเพจดูสิ ผมก็เลยลองทำเพจฟุตบอลดู ก็อาศัยจากความสงสัยส่วนตัวก่อนครับ เราสงสัยเรื่องไหน เราก็เอามาลงเอง จุดประสงค์ในตอนแรกก็คือ แค่ทำให้เพื่อนดูแค่นั้น ก็จะบอกกลุ่มเพื่อนว่าสร้างเพจแล้วนะ ให้เข้ามาดูกัน คือก่อนหน้าที่จะมาทำแฟนเพจนี้ ผมก็ดูฟุตบอลไปตามเนื้อผ้า อาจจะมีแบบมีข้อสงสัยเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามองข้ามไป ซึ่งพอมาทำ ก็ได้รู้มากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ ทุกเรื่องในเพจ จึงเป็นการคลายความสงสัยของเราก่อน เกิดจากความไม่รู้แล้วก็ไปหาคำตอบนั้นมา แล้วเราก็เหมือนกับว่านำมาบอกต่อให้เพื่อนได้รู้อีกที หรือเพื่อนมีข้อสงสัย ก็จะไปหาคำตอบมาให้
• การนำเสนอเรื่องราวในวงการฟุตบอล เน้นเรื่องแบบไหนเป็นหลัก
โดยส่วนใหญ่ ผมจะลงเรื่องราวในแบบที่ตัวเองชอบก่อน แต่เรื่องที่คนชอบกันเยอะๆ จะเกี่ยวกับแรงบันดาลใจ อย่างเช่นการสู้ชีวิตของนักเตะดังๆ คือบางคนอาจจะรู้แค่ว่า นักเตะคนนี้ประสบความสำเร็จยังไง แต่ไม่รู้ว่าเบื้องหลังที่มาของเขาว่า กว่าเขาจะมาถึงจุดนี้ เขาผ่านอะไรมาบ้าง

• แล้วอย่างเรื่องที่อิงกับกระแสข่าวปัจจุบันล่ะมีไหม
ส่วนหนึ่งครับ คือถ้ามีเรื่องไหนกำลังเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ เราก็จะพยายามหามุมอื่นๆ ที่เพจอื่นๆ ไม่ได้นำเสนอ อย่างเรื่องของ ฆวน มาตา (กองกลางของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และทีมชาติสเปน) ซึ่งแฟนเพจทั่วไปจะมีข้อมูลว่าเขาทำสถิติยิง 2 ประตูให้ทีมแมนฯ ยูฯ ไม่เคยแพ้นะ หรือมาตาลงเป็นตัวจริงและตัวสำรองกี่นาที แต่สำหรับเราจะเอาเรื่องอีกมุมมาถ่ายทอด อย่างเช่นมาตาเรียนจบอะไรมา เป็นนักเตะที่มีกระบวนการความคิดยังไง อะไรอย่างงี้ครับ คือเขาอาจจะอัจฉริยะในสนาม แต่นอกสนามเขาเป็นคนแบบไหน เรียนรู้อะไรมา เราก็จะค้นมาให้
• ข้อมูลไหนที่ถือว่าทำให้แฟนเพจของเราเริ่มเป็นที่เข้าตาของประชาชาวเฟซฯ
น่าจะเป็นเรื่องของแฟนบอล “เฟเนร์บาห์เช” ของประเทศตุรกี เป็นเรื่องของสองตายายคู่หนึ่งมาดูฟุตบอล แล้วภาพต่อมาคือคุณตาเสียไปแล้ว แต่คุณยายก็ยังมาดูฟุตบอล คือยังนั่งอยู่ที่เดิม เก้าอี้ตัวเดิม สแตนด์ฝั่งเดิม แต่ไม่มีคุณตา เหมือนมาเชียร์แทนสามีด้วย ซึ่งเรื่องนั้นคือเรื่องแรกที่มีถึง 1,000 ไลค์ และมีคนแชร์ออกไปเยอะสุด อันนี้คือได้รับความนิยมมาก ณ ตอนนั้น ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์แล้ว เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 300-400 ไลค์ มันค่อนข้างจะพัฒนาเติบโตเรื่อยๆ แต่เรื่องนั้นจะพีกสุดแล้ว

• พูดได้ไหมว่า เพจของเราจะมีอารมณ์แบบฟีลกู๊ดค่อนข้างสูงมาก
พูดจริงๆ ผมสร้างเพจฟุตบอลนี้ขึ้นมา ไม่ได้ต้องการว่าให้โด่งดังทั่วประเทศ แต่เป้าหมายหลักของผมคือเป็นแฟนเพจที่อบอุ่นที่สุดในประเทศ ใครเข้ามาก็อยากให้รู้สึกแบบนั้น คือความอบอุ่นแรกมาจากกลุ่มเพื่อนฝูงก่อน คุยกันเอง แลกเปลี่ยนทรรศนะกัน ผมอยากให้เพื่อนใหม่เข้ามาแล้วรู้สึกแบบนั้นด้วย อยู่กันเหมือนพี่น้อง และสบายใจที่จะเข้ามาแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่ว่าเข้ามาคอมเมนท์แล้วถูกคนอื่นด่าอะไรอย่างนั้น
บรรยากาศของเพจเราเหมือนอยู่ในบ้าน แล้วเขารู้สึกว่าเหมือนเจอเพื่อน จะสามารถพิมพ์อะไรก็ได้ในความเห็นของเขา จะไม่รู้สึกว่าถูกต่อต้าน ซึ่งความเห็นนั้น ก็จะรู้สึกแบบว่ามาจากใจเขาจริงๆ และไม่กลัวที่จะพิมพ์ออกมา ผมอาจจะมีมุมที่โหดร้ายบ้าง แต่ฟุตบอลมันคือสิ่งที่ผมรัก แล้วก็อยากให้มีมุมดีๆ ณ มุมหนึ่ง การทำแฟนเพจนี้ขึ้นมา ไม่อยากให้เข้ามาด่ากันอย่างเดียว
• ขณะเดียวกัน ในลูกเพจของคุณก็มีการให้ความรู้เสริมด้วย ถือว่าเป็นการตอบโจทย์ของเราด้วยหรือเปล่า
ถือว่าเป็นข้อดีครับ บางทีแฟนบอลมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งบางอย่าง ผมก็ยังไม่รู้ และก็ได้รู้ไปพร้อมๆ กัน ก็ได้แลกเปลี่ยนความรู้ข้อคิดเห็นกัน เหมือนสภากาแฟครับ เจอกันทุกเช้าและทุกเย็น มีความคิดเห็นอะไรดีๆ หรือมีประสบการณ์ดีๆ ก็มาแบ่งปันกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมพยายามเสนอไปคือ แรงบันดาลใจ ความฝัน คืออยากให้ทุกคนเรียนรู้ โดยมีฟุตบอลเป็นตัวกลางในการนำเสนอ ผมเชื่อว่าฟุตบอลมันเชื่อมโยงกับทุกบทบาทในสังคมอยู่แล้วครับ วัฒนธรรม สังคม ศาสนา การเมือง แรงบันดาลใจ

• เพจฟุตบอลในปัจจุบัน ค่อนข้างบลัฟฟ์กัน แล้วอย่างนี้ เหมือนว่าเราเป็นตัวแปลกแหวกแนวไปเลย
ก็ถือว่าเป็นเพจไม่กี่เพจดีกว่าครับที่เป็นแบบนี้ คือตั้งแต่เริ่มทำมาก็เริ่มจากความเป็นเพื่อนก่อน ผมไม่เคยเรียกคนในเพจว่าลูกเพจมากดไลค์ ผมจะแทนทุกครั้งว่าเพื่อนกัน คนอื่นว่าไงผมไม่รู้นะ แต่ผมจะอ่านทุกความเห็นเลย ส่งมาเป็น 100-200 ผมก็นั่งอ่านหมด ผมก็จะกดไลค์ทุกความเห็น เพื่อให้เห็นว่าผมอ่านนะ ให้เขารู้สึกว่า เป็นเพื่อนกับเขามากกว่า
• คิดว่าการทำเพจนี้มา มันเหมือนการกวนบาทาสังคมหรือเปล่า
ผมมองว่าเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งนะ ว่าเออ หลายเพจส่วนใหญ่จะด่าใช่มั้ย แต่เราจะทำเพจที่แบบรู้สึกดี และรักษาความอบอุ่นนี้ไปเรื่อยๆ เหมือนกับท้าทายให้เราไปเรื่อยๆ บางคนเขาก็ไม่อยากเกรียนหรอก ถ้าเรามีวิธีพูด วิธีคุยกับเขาจริงๆ ผมว่าเขาอาจจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติได้ อย่างน้อยในเพจเราก็ยังดี

• การที่เราทำเพจนี้ มันเหมือนว่าเราเรียกร้องความสนใจไหม
ไม่นะครับ (ตอบทันที) เอาจริงๆ ธรรมชาติของมนุษย์ ไม่มีใครชอบถูกด่าทอหรอก แต่ชอบที่จะด่าทอคนอื่นมากกว่า แต่เรามองในแง่มุมหนึ่งว่าเราสร้างเพจนี้ มันเป็นสิ่งที่ดีนะ ถ้าให้มาคุยกัน ถ้าความดี ทำให้ผมรู้สึกแตกต่าง ผมก็ยินดีกับความแตกต่างนั้นครับ
• โดยส่วนตัวแล้วคิดเห็นยังไง กับการดราม่ากันของแฟนบอล
เรื่องดราม่ากัน โดยส่วนตัวผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า เราต้องเคารพสิทธิของคนอื่นก่อน แล้วคนอื่นก็จะเคารพสิทธิของเรา ซึ่งความขัดแย้งมันมีทุกที่อยู่แล้วครับในสังคม แต่อยู่ที่ว่าเราจะมองในแง่มุมไหนมากกว่า ถ้ามันเลยเถิดไปก็ไม่ดี แต่ถ้าดราม่าในแง่ของเหตุผล ผมว่าโอเคนะครับ จะได้รับรู้มุมมองต่างๆ ของแต่ละคน
แต่อย่างบางคนที่ถึงขั้นเลยเถิด ถึงขนาดเอาภาพคนของทีมอีกฝั่ง มาตัดต่อล้อเลียน หรือ ถึงขนาดถ่ายคลิปถือปืนขู่ ผมมองว่าสื่อในปัจจุบันนี้ เข้าถึงเร็วกว่าเมื่อก่อน พอสื่อเร็วมันก็สวนทางกับความอดทนของเราที่มันมีน้อยลง คือคนเราจะพิมพ์อะไรแต่ละอย่าง ความยับยั้งชั่งใจหรือการไตร่ตรองน้อย ผมว่าคนสมัยนี้ไตร่ตรองน้อยลง

• คือเหมือนจะบอกว่า คนสมัยนี้ใช้ชีวิตแบบรวดเร็วเกินไป
ใช้ชีวิตเร็วไป มองข้ามในสิ่งที่แบบว่า ความเป็นเหตุผลมากขึ้น ผมว่าคนสมัยนี้ ไม่รู้จักรอคอยนะ ถ้าพูดถึงในแง่ของฟุตบอล สมัยก่อนเวลาเราจะดูไฮไลต์แมตช์หนึ่งเนี่ยเราต้องรอเป็นเดือนเลย รายการเจาะสนาม กว่าที่จะได้ดูแมกกาซีนเล่มหนึ่ง มันนานมาก มันรู้สึกว่า เราสร้างจินตนาการของเราได้ เราไตร่ตรองได้ว่า มันจะเป็นยังไงวะ คือรู้ผลแล้ว แต่จะนึกว่า รูปเกมจะเป็นยังไง แต่สมัยนี้ 1 นาทีมีคลิปดูแล้วใส่เลย ผมว่าเทคโนโลยีมีส่วนทำให้คนสมัยนี้ไม่รู้จักการรอคอย
อีกอย่าง ความยับยั้งช่างใจของคนสมัยนี้มีน้อย อาจจะด้วยที่เรารับสื่อได้หลายทางด้วย รับมากๆ คือเด็กสมัยนี้บางทีก็เชียร์บอลไว้ข่มคนอื่นมากกว่าที่จะเชียร์ด้วยความรัก บางคนก็อาจจะเริ่มดูบอลมาไม่นาน เริ่มรู้สึกว่าทีมฟุตบอลนี้เป็นตัวแทนในการข่มคนอื่น ด่าทอคนอื่น เหมือนรู้สึกว่าชีวิตจริงอาจจะเจออะไรมา ไม่รู้นะ แต่ฟุตบอลมันเหมือนตัวแทนของเขาที่จะไปฆ่าความมั่นใจคนอื่น ทำให้คนอื่นมีปมด้อยกับทีมที่ตัวเองเชียร์ ซึ่งผมมองว่า สมัยนี้เป็นอย่างงี้ มันก็เลยดราม่าวายป่วงหมดเลยในตามสื่อต่างๆ บางคนก็แยกแยะไม่ได้เลยก็มี ส่วนใหญ่ผมจะอ่อนไหวเรื่องพ่อแม่มากกว่า คือถ้ามาด่าทีมหรืออะไรก็ตาม จะไม่ว่า แต่ถ้าด่าพ่อแม่เมื่อไหร่นะ ผมจะรู้สึกว่า มันนอกเหนือจากคำว่าฟุตบอลแล้ว ผมก็จะแบนไปเลย ซึ่งเพจนี้ไม่ค่อยแบนใครนะ แต่ถ้าแบนจริง ส่วนใหญ่ตีไว้เลยว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์ เรื่องพ่อแม่ ด่าพ่อแม่กัน ผมรับไม่ได้

• แต่มันก็มีแบบบลัฟฟ์กัน จนแบบถึงขั้นฆ่ากันตายเลย ตรงนี้มองยังไง
มนุษย์ปกติ ต่อให้ไม่เกี่ยวกับเรื่องฟุตบอล ถ้าไม่ชอบกัน ก็ต้องพูดคุยกันก่อน ในเรื่องที่เราชอบหรือไม่ชอบ แต่ในเรื่องฟุตบอล มันคล้ายกับว่า พอเห็นแฟนบอลใส่เสื้อทีมสักทีมที่เราไม่ชอบ เราก็รู้สึกด้านลบต่อเขาแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้พูดคุยกันเลยนะ แต่เรารู้สึกว่าเขาคือศัตรูของเราแล้ว
• อย่างกระแสดราม่าในสังคม ที่คนเห็นแล้วแชร์แล้วไม่ไตร่ตรองก่อน ในมุมมองของคุณคิดยังไง
จริงๆ การแชร์มันเลวร้ายมากกว่าการคอมเมนต์อีกนะ สมมติว่าเราไปแสดงความคิดเห็น มีเราคนเดียวที่เห็น หรือคนที่มาคอมเมนต์ในนั้นจะเห็น แต่ถ้าเราแชร์ มันเหมือนกับการส่งต่อน่ะครับ ทั้งที่เรื่องนั้นมันอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ คืออยากให้คิดและให้มีความรับผิดชอบกันนิดหนึ่ง ถ้าเรื่องจริงก็เป็นการช่วยเหลือสังคม แต่ถ้าไม่จริง คนในนั้นก็อาจจะเสียหายได้

เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ดูฟุตบอลเล่นเฟซบุ๊ก อาจเป็นเหตุทะเลาะวิวาทและก่ออาชญากรรมทางคำพูด แต่สำหรับแฟนเพจฟุตบอลที่มีนามว่า “Football Vintage” กลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่กล่าวมา เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่ในเพจนั้นนำเสนอเรื่องราวอีกฟากในแบบฉบับ ‘ฟีลกู๊ด’ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ติดตามเพจ จนทำให้รู้สึกว่าวงการลูกหนังก็มีแง่งามให้เห็นเช่นเดียวกัน
ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ “บัง-ขวัญชัย ธำรงโชติ” ผู้ดำรงสถานะคนทำสื่อกีฬาแห่งหนึ่งซึ่งรับหน้าที่เป็นแอดมินแฟนเพจที่ว่านี้ด้วย เขาพาลูกเพจมองกว้างออกไป ซึ่งไม่ใช่เพียงการแข่งขันอันดุเดือดในสนาม หากแต่พยายามถ่ายทอดเรื่องราวที่เขาใช้คำว่า “อบอุ่นเป็นมิตร”
เล่นกีฬาดีกว่ายาเสพติด แต่สุขภาพจิตอาจจะโทรมได้ หากงมงายไปกับ “ดราม่า” ที่มาจากกีฬา โดยเฉพาะกีฬายอดฮิตอย่างลูกหนังกลมๆ ที่มีชื่อว่าฟุตบอล
“ฟุตบอล วินเทจ” ดูเหมือนจะวินเทจสมชื่อ เพราะมันพาเราย้อนกลับไปสู่บรรยากาศวัฒนธรรมการชม-การเชียร์ศึกลูกหนังที่ยังไม่ระอุอย่างเช่นทุกวันนี้ บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้อาจกระตุ้นให้คุณฉุกคิดตั้งคำถามว่า เราเดินทางมาถึงยุค “สังคมอุดมดราม่า” นี้ได้อย่างไร และ/หรือ จะดีกว่าไหม ถ้าเราย้อนกลับไปดูฟุตบอลกันแบบ “วินเทจ” อีกครั้งหนึ่ง
• ที่มาที่ไปของแฟนเพจนี้มาจากอะไร
มันเกิดมาจากการคุยเล่นกับเพื่อนของผมครับ พอดีเพื่อนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับฟุตบอล ผมก็ไปเสิร์ชหาข้อมูลหาคำตอบให้เขา เพื่อนก็บอกกับผมว่าลองทำแฟนเพจดูสิ ผมก็เลยลองทำเพจฟุตบอลดู ก็อาศัยจากความสงสัยส่วนตัวก่อนครับ เราสงสัยเรื่องไหน เราก็เอามาลงเอง จุดประสงค์ในตอนแรกก็คือ แค่ทำให้เพื่อนดูแค่นั้น ก็จะบอกกลุ่มเพื่อนว่าสร้างเพจแล้วนะ ให้เข้ามาดูกัน คือก่อนหน้าที่จะมาทำแฟนเพจนี้ ผมก็ดูฟุตบอลไปตามเนื้อผ้า อาจจะมีแบบมีข้อสงสัยเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามองข้ามไป ซึ่งพอมาทำ ก็ได้รู้มากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ ทุกเรื่องในเพจ จึงเป็นการคลายความสงสัยของเราก่อน เกิดจากความไม่รู้แล้วก็ไปหาคำตอบนั้นมา แล้วเราก็เหมือนกับว่านำมาบอกต่อให้เพื่อนได้รู้อีกที หรือเพื่อนมีข้อสงสัย ก็จะไปหาคำตอบมาให้
• การนำเสนอเรื่องราวในวงการฟุตบอล เน้นเรื่องแบบไหนเป็นหลัก
โดยส่วนใหญ่ ผมจะลงเรื่องราวในแบบที่ตัวเองชอบก่อน แต่เรื่องที่คนชอบกันเยอะๆ จะเกี่ยวกับแรงบันดาลใจ อย่างเช่นการสู้ชีวิตของนักเตะดังๆ คือบางคนอาจจะรู้แค่ว่า นักเตะคนนี้ประสบความสำเร็จยังไง แต่ไม่รู้ว่าเบื้องหลังที่มาของเขาว่า กว่าเขาจะมาถึงจุดนี้ เขาผ่านอะไรมาบ้าง
• แล้วอย่างเรื่องที่อิงกับกระแสข่าวปัจจุบันล่ะมีไหม
ส่วนหนึ่งครับ คือถ้ามีเรื่องไหนกำลังเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ เราก็จะพยายามหามุมอื่นๆ ที่เพจอื่นๆ ไม่ได้นำเสนอ อย่างเรื่องของ ฆวน มาตา (กองกลางของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และทีมชาติสเปน) ซึ่งแฟนเพจทั่วไปจะมีข้อมูลว่าเขาทำสถิติยิง 2 ประตูให้ทีมแมนฯ ยูฯ ไม่เคยแพ้นะ หรือมาตาลงเป็นตัวจริงและตัวสำรองกี่นาที แต่สำหรับเราจะเอาเรื่องอีกมุมมาถ่ายทอด อย่างเช่นมาตาเรียนจบอะไรมา เป็นนักเตะที่มีกระบวนการความคิดยังไง อะไรอย่างงี้ครับ คือเขาอาจจะอัจฉริยะในสนาม แต่นอกสนามเขาเป็นคนแบบไหน เรียนรู้อะไรมา เราก็จะค้นมาให้
• ข้อมูลไหนที่ถือว่าทำให้แฟนเพจของเราเริ่มเป็นที่เข้าตาของประชาชาวเฟซฯ
น่าจะเป็นเรื่องของแฟนบอล “เฟเนร์บาห์เช” ของประเทศตุรกี เป็นเรื่องของสองตายายคู่หนึ่งมาดูฟุตบอล แล้วภาพต่อมาคือคุณตาเสียไปแล้ว แต่คุณยายก็ยังมาดูฟุตบอล คือยังนั่งอยู่ที่เดิม เก้าอี้ตัวเดิม สแตนด์ฝั่งเดิม แต่ไม่มีคุณตา เหมือนมาเชียร์แทนสามีด้วย ซึ่งเรื่องนั้นคือเรื่องแรกที่มีถึง 1,000 ไลค์ และมีคนแชร์ออกไปเยอะสุด อันนี้คือได้รับความนิยมมาก ณ ตอนนั้น ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์แล้ว เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 300-400 ไลค์ มันค่อนข้างจะพัฒนาเติบโตเรื่อยๆ แต่เรื่องนั้นจะพีกสุดแล้ว
• พูดได้ไหมว่า เพจของเราจะมีอารมณ์แบบฟีลกู๊ดค่อนข้างสูงมาก
พูดจริงๆ ผมสร้างเพจฟุตบอลนี้ขึ้นมา ไม่ได้ต้องการว่าให้โด่งดังทั่วประเทศ แต่เป้าหมายหลักของผมคือเป็นแฟนเพจที่อบอุ่นที่สุดในประเทศ ใครเข้ามาก็อยากให้รู้สึกแบบนั้น คือความอบอุ่นแรกมาจากกลุ่มเพื่อนฝูงก่อน คุยกันเอง แลกเปลี่ยนทรรศนะกัน ผมอยากให้เพื่อนใหม่เข้ามาแล้วรู้สึกแบบนั้นด้วย อยู่กันเหมือนพี่น้อง และสบายใจที่จะเข้ามาแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่ว่าเข้ามาคอมเมนท์แล้วถูกคนอื่นด่าอะไรอย่างนั้น
บรรยากาศของเพจเราเหมือนอยู่ในบ้าน แล้วเขารู้สึกว่าเหมือนเจอเพื่อน จะสามารถพิมพ์อะไรก็ได้ในความเห็นของเขา จะไม่รู้สึกว่าถูกต่อต้าน ซึ่งความเห็นนั้น ก็จะรู้สึกแบบว่ามาจากใจเขาจริงๆ และไม่กลัวที่จะพิมพ์ออกมา ผมอาจจะมีมุมที่โหดร้ายบ้าง แต่ฟุตบอลมันคือสิ่งที่ผมรัก แล้วก็อยากให้มีมุมดีๆ ณ มุมหนึ่ง การทำแฟนเพจนี้ขึ้นมา ไม่อยากให้เข้ามาด่ากันอย่างเดียว
• ขณะเดียวกัน ในลูกเพจของคุณก็มีการให้ความรู้เสริมด้วย ถือว่าเป็นการตอบโจทย์ของเราด้วยหรือเปล่า
ถือว่าเป็นข้อดีครับ บางทีแฟนบอลมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งบางอย่าง ผมก็ยังไม่รู้ และก็ได้รู้ไปพร้อมๆ กัน ก็ได้แลกเปลี่ยนความรู้ข้อคิดเห็นกัน เหมือนสภากาแฟครับ เจอกันทุกเช้าและทุกเย็น มีความคิดเห็นอะไรดีๆ หรือมีประสบการณ์ดีๆ ก็มาแบ่งปันกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมพยายามเสนอไปคือ แรงบันดาลใจ ความฝัน คืออยากให้ทุกคนเรียนรู้ โดยมีฟุตบอลเป็นตัวกลางในการนำเสนอ ผมเชื่อว่าฟุตบอลมันเชื่อมโยงกับทุกบทบาทในสังคมอยู่แล้วครับ วัฒนธรรม สังคม ศาสนา การเมือง แรงบันดาลใจ
• เพจฟุตบอลในปัจจุบัน ค่อนข้างบลัฟฟ์กัน แล้วอย่างนี้ เหมือนว่าเราเป็นตัวแปลกแหวกแนวไปเลย
ก็ถือว่าเป็นเพจไม่กี่เพจดีกว่าครับที่เป็นแบบนี้ คือตั้งแต่เริ่มทำมาก็เริ่มจากความเป็นเพื่อนก่อน ผมไม่เคยเรียกคนในเพจว่าลูกเพจมากดไลค์ ผมจะแทนทุกครั้งว่าเพื่อนกัน คนอื่นว่าไงผมไม่รู้นะ แต่ผมจะอ่านทุกความเห็นเลย ส่งมาเป็น 100-200 ผมก็นั่งอ่านหมด ผมก็จะกดไลค์ทุกความเห็น เพื่อให้เห็นว่าผมอ่านนะ ให้เขารู้สึกว่า เป็นเพื่อนกับเขามากกว่า
• คิดว่าการทำเพจนี้มา มันเหมือนการกวนบาทาสังคมหรือเปล่า
ผมมองว่าเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งนะ ว่าเออ หลายเพจส่วนใหญ่จะด่าใช่มั้ย แต่เราจะทำเพจที่แบบรู้สึกดี และรักษาความอบอุ่นนี้ไปเรื่อยๆ เหมือนกับท้าทายให้เราไปเรื่อยๆ บางคนเขาก็ไม่อยากเกรียนหรอก ถ้าเรามีวิธีพูด วิธีคุยกับเขาจริงๆ ผมว่าเขาอาจจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติได้ อย่างน้อยในเพจเราก็ยังดี
• การที่เราทำเพจนี้ มันเหมือนว่าเราเรียกร้องความสนใจไหม
ไม่นะครับ (ตอบทันที) เอาจริงๆ ธรรมชาติของมนุษย์ ไม่มีใครชอบถูกด่าทอหรอก แต่ชอบที่จะด่าทอคนอื่นมากกว่า แต่เรามองในแง่มุมหนึ่งว่าเราสร้างเพจนี้ มันเป็นสิ่งที่ดีนะ ถ้าให้มาคุยกัน ถ้าความดี ทำให้ผมรู้สึกแตกต่าง ผมก็ยินดีกับความแตกต่างนั้นครับ
• โดยส่วนตัวแล้วคิดเห็นยังไง กับการดราม่ากันของแฟนบอล
เรื่องดราม่ากัน โดยส่วนตัวผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า เราต้องเคารพสิทธิของคนอื่นก่อน แล้วคนอื่นก็จะเคารพสิทธิของเรา ซึ่งความขัดแย้งมันมีทุกที่อยู่แล้วครับในสังคม แต่อยู่ที่ว่าเราจะมองในแง่มุมไหนมากกว่า ถ้ามันเลยเถิดไปก็ไม่ดี แต่ถ้าดราม่าในแง่ของเหตุผล ผมว่าโอเคนะครับ จะได้รับรู้มุมมองต่างๆ ของแต่ละคน
แต่อย่างบางคนที่ถึงขั้นเลยเถิด ถึงขนาดเอาภาพคนของทีมอีกฝั่ง มาตัดต่อล้อเลียน หรือ ถึงขนาดถ่ายคลิปถือปืนขู่ ผมมองว่าสื่อในปัจจุบันนี้ เข้าถึงเร็วกว่าเมื่อก่อน พอสื่อเร็วมันก็สวนทางกับความอดทนของเราที่มันมีน้อยลง คือคนเราจะพิมพ์อะไรแต่ละอย่าง ความยับยั้งชั่งใจหรือการไตร่ตรองน้อย ผมว่าคนสมัยนี้ไตร่ตรองน้อยลง
• คือเหมือนจะบอกว่า คนสมัยนี้ใช้ชีวิตแบบรวดเร็วเกินไป
ใช้ชีวิตเร็วไป มองข้ามในสิ่งที่แบบว่า ความเป็นเหตุผลมากขึ้น ผมว่าคนสมัยนี้ ไม่รู้จักรอคอยนะ ถ้าพูดถึงในแง่ของฟุตบอล สมัยก่อนเวลาเราจะดูไฮไลต์แมตช์หนึ่งเนี่ยเราต้องรอเป็นเดือนเลย รายการเจาะสนาม กว่าที่จะได้ดูแมกกาซีนเล่มหนึ่ง มันนานมาก มันรู้สึกว่า เราสร้างจินตนาการของเราได้ เราไตร่ตรองได้ว่า มันจะเป็นยังไงวะ คือรู้ผลแล้ว แต่จะนึกว่า รูปเกมจะเป็นยังไง แต่สมัยนี้ 1 นาทีมีคลิปดูแล้วใส่เลย ผมว่าเทคโนโลยีมีส่วนทำให้คนสมัยนี้ไม่รู้จักการรอคอย
อีกอย่าง ความยับยั้งช่างใจของคนสมัยนี้มีน้อย อาจจะด้วยที่เรารับสื่อได้หลายทางด้วย รับมากๆ คือเด็กสมัยนี้บางทีก็เชียร์บอลไว้ข่มคนอื่นมากกว่าที่จะเชียร์ด้วยความรัก บางคนก็อาจจะเริ่มดูบอลมาไม่นาน เริ่มรู้สึกว่าทีมฟุตบอลนี้เป็นตัวแทนในการข่มคนอื่น ด่าทอคนอื่น เหมือนรู้สึกว่าชีวิตจริงอาจจะเจออะไรมา ไม่รู้นะ แต่ฟุตบอลมันเหมือนตัวแทนของเขาที่จะไปฆ่าความมั่นใจคนอื่น ทำให้คนอื่นมีปมด้อยกับทีมที่ตัวเองเชียร์ ซึ่งผมมองว่า สมัยนี้เป็นอย่างงี้ มันก็เลยดราม่าวายป่วงหมดเลยในตามสื่อต่างๆ บางคนก็แยกแยะไม่ได้เลยก็มี ส่วนใหญ่ผมจะอ่อนไหวเรื่องพ่อแม่มากกว่า คือถ้ามาด่าทีมหรืออะไรก็ตาม จะไม่ว่า แต่ถ้าด่าพ่อแม่เมื่อไหร่นะ ผมจะรู้สึกว่า มันนอกเหนือจากคำว่าฟุตบอลแล้ว ผมก็จะแบนไปเลย ซึ่งเพจนี้ไม่ค่อยแบนใครนะ แต่ถ้าแบนจริง ส่วนใหญ่ตีไว้เลยว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์ เรื่องพ่อแม่ ด่าพ่อแม่กัน ผมรับไม่ได้
• แต่มันก็มีแบบบลัฟฟ์กัน จนแบบถึงขั้นฆ่ากันตายเลย ตรงนี้มองยังไง
มนุษย์ปกติ ต่อให้ไม่เกี่ยวกับเรื่องฟุตบอล ถ้าไม่ชอบกัน ก็ต้องพูดคุยกันก่อน ในเรื่องที่เราชอบหรือไม่ชอบ แต่ในเรื่องฟุตบอล มันคล้ายกับว่า พอเห็นแฟนบอลใส่เสื้อทีมสักทีมที่เราไม่ชอบ เราก็รู้สึกด้านลบต่อเขาแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้พูดคุยกันเลยนะ แต่เรารู้สึกว่าเขาคือศัตรูของเราแล้ว
• อย่างกระแสดราม่าในสังคม ที่คนเห็นแล้วแชร์แล้วไม่ไตร่ตรองก่อน ในมุมมองของคุณคิดยังไง
จริงๆ การแชร์มันเลวร้ายมากกว่าการคอมเมนต์อีกนะ สมมติว่าเราไปแสดงความคิดเห็น มีเราคนเดียวที่เห็น หรือคนที่มาคอมเมนต์ในนั้นจะเห็น แต่ถ้าเราแชร์ มันเหมือนกับการส่งต่อน่ะครับ ทั้งที่เรื่องนั้นมันอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ คืออยากให้คิดและให้มีความรับผิดชอบกันนิดหนึ่ง ถ้าเรื่องจริงก็เป็นการช่วยเหลือสังคม แต่ถ้าไม่จริง คนในนั้นก็อาจจะเสียหายได้
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี