xs
xsm
sm
md
lg

คุยเรื่องวาเลนไทน์กับสุภาพบุรุษ “อาหนิง” นิรุตติ์ ศิริจรรยา : ให้ปัญญาโอบกอดความรัก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

...วาเลนไทน์ยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพคนโสด
ถ้าสวรรค์ทรงโปรด อาจได้สละโสดวันวาเลนไทน์

...วันวาเลนไทน์ ไม่รู้ว่าวันสำคัญของใคร
แต่มันเป็นวันสะเทือนใจของกรู!

...ซวยแล้วตู วาเลนไทน์ปีนี้ จัดคิวไม่ทัน!

... ผ่านไปตรุษจีนเลยได้ไหม วาเลนไทน์ไม่ต้องมี
ฯลฯ

ไม่ว่าจะล้อจะอำ หรือขำแบบเอาจริง ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือลักษณะหนึ่งแห่งอารมณ์ร่วมของผู้คนที่มักจะเดินทางในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ โดยเฉพาะวันที่ 14 กุมภาฯ ที่รับรู้กันในชื่อวัน “วาเลนไทน์” วันที่ดอกไม้สีสวยและคำหวานเว้าวอนจะทำให้หัวใจใครต่อใครไหวคลอนด้วยพลังแห่งความรัก

ในวันที่อบอวลไปด้วยมวลบรรยากาศอันหอมหวานแบบนี้ เราเดินเข้าไปหานักแสดงรุ่นใหญ่ลายคราม “นิรุตติ์ ศิริจรรยา” ชายผู้ผ่านเห็นวันวาเลนไทน์มาจนวัยย่างเลขเจ็ด และผู้คนจำนวนไม่น้อยก็คงจะรู้ว่า “อาหนิง” นั้นเคยผ่านประสบการณ์อันยากจะลืมเกี่ยวกับการสูญเสียคนรักเมื่อหลายปีก่อน กระนั้นก็ดี สถานการณ์แวดล้อมทั้งหมดนี้ อาจนับเป็นแค่ “ต้นทาง” แห่งการสนทนา เพราะว่ากันตามจริง มันมีสิ่งที่น่าสนใจมากไปกว่านั้น

ความรักเป็นความสวยงามของโลกและชีวิต นั่นคือสิ่งที่ทุกคนพยายามบอกตัวเอง
วาเลนไทน์คือวันแห่งความรัก นั่นคือสิ่งที่เราได้รับการบอกต่อกันมา
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ความรักก็ยังคงเป็นความรัก
มันงดงามได้เสมอ ทุกเมื่อเชื่อวัน
และเมื่อเราเข้าใจเช่นนั้น
บางที ถ้อยคำอย่าง “คนโสดโปรดเตรียมใจ สถานีต่อไป วาเลนไทน์”
อาจฟังดูแสลงใจน้อยลงกว่าเดิม...

• ช่วงนี้คนเขากำลังตื่นเต้นกัน เพราะกุมภาพันธ์เป็นเดือนแห่งความรัก

โอ้...จริงๆ แล้วผมคิดว่าทุกเดือน หรือทุกวัน มันเป็นวันแห่งความรักดีกว่านะ ชีวิตของเราในทุกวัน มันขาดไม่ได้ซึ่งความรักหรอก ความรักก็มีหลากหลาย เช่นว่า ความรักที่มีต่อพ่อแม่ ต่อสังคม ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน รักสัตว์ รักธรรมชาติ เพราะฉะนั้น ความรักมันกว้างมาก พอคนมาตั้งนิยามว่าวาเลนไทน์เดย์ เราก็ไปให้ความสำคัญว่า วันนี้เป็นวันแห่งความรักของคู่รัก หรือไปตั้งนิยามผิดๆ ว่าวันนี้เป็นวันพลีกายให้ผู้ชาย หรือว่าผู้ชายก็ไปมอบความรักครั้งแรกให้กับผู้หญิง จะได้จำง่าย ผมว่ามันเป็นทัศนคติที่ผิด ทำไมเราต้องไปยึดทัศนคติอันนี้

แล้วอีกอย่าง มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับวัฒนธรรมหรือประเพณีของคนไทยเลย เราชอบไปจับเอากระแสนิยมของชาวต่างชาติมา แล้วก็เอามาสวมใส่ลงในวัฒนธรรมประเพณีของเรา และที่มันเสียหายเพราะเราไปเข้าใจผิด คิดว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์หรือเดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนของความรัก มันก็ไม่จริงซะทั้งหมดหรอก มารักกันแค่เดือนเดียวหรือวันเดียวเหรอ แล้วอีกสิบเอ็ดเดือนล่ะ เกลียดกันเหรอ หรือได้กันแค่วันที่ 14 แล้ววันรุ่งขึ้น ไม่รู้จักกันแล้วเหรอ สิ่งต่างๆ มันมีคำถามที่ตามมา ถ้าคุณจะให้ความสำคัญ ก็ให้ได้ แต่ไม่ต้องมากมายอะไร ไม่ต้องไปซื้อดอกไม้ดอกละแปดร้อยหรือพันบาท แล้วดอกไม้นี่ก็เหมือนกัน ทำไมวันอื่นราคามันถูก ไอ้ดอกไม้ดอกเดียวกัน จากต้นเดียวกันนั่นแหละ แต่พอตัดมาขายวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ก็กลายเป็นราคาแปดร้อยหรือพันนึง แต่พอวันรุ่งขึ้น คุณไปซื้อ มันลดราคามาแล้ว เหลือไม่ถึงร้อยบาทด้วยซ้ำ

วันสำคัญต่างๆ บางทีก็กลายเป็นการโหมประโคมเพื่อเหตุผลทางธุรกิจ และที่ผมมองนะ วันสำคัญจริงๆ ของเรานี่ คือวันพระนะ ไม่เห็นมีใครพูดถึงเลย เดือนหนึ่งมีตั้งสี่ครั้ง ผมถามวันนี้วันอะไร บางคนยังไม่รู้เลยว่าวันพระ ไม่เคยมีใครจำเลย แต่พอเป็นกระแสที่มาจากต่างประเทศ เรามักจะยึดถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ ทำไมเราให้ความสำคัญในความเป็นตัวตนของเราน้อยเหลือเกิน แต่เราไปให้ความสำคัญกับวันที่ไม่ใช่ตัวตนของเราเลย ทำไมเราไม่ยึดถือว่า ย่านาคพระโขนงของเราคือเทพเจ้าแห่งความรัก แล้วก็มีวันย่านาคพระโขนง เพราะว่าเราไม่สามารถไปตีตลาดต่างประเทศได้ใช่มั้ย อะไรที่เป็นไทยที่ดีๆ เราไม่นำไปเผยแพร่ให้โลกรู้แล้วให้ยึดถือบ้างล่ะ ในเวลาเดียวกัน เรากลับยอมรับสิ่งที่มาจากข้างนอก เอามาเป็นตัวตนของเรา ซึ่งมันไม่ใช่เลย แล้วเด็กวัยรุ่นก็ไปเข้าใจผิด เนื่องจากการประชาสัมพันธ์ตามสื่อว่าวันนี้เป็นวันแห่งความรัก เด็กก็เลยไปยึดว่า อ๋อนี่คือนิยามแห่งความรัก และกลายเป็นทัศนคติว่า วันนี้เป็นวันที่เราต้องมอบความรักให้กับผู้ชาย มันผิดโดยสิ้นเชิงเลย

ในต่างประเทศ เขาไม่มีหรอกว่าวันนี้เป็นวันพลีร่างกาย ความรักกับการพลีร่างกายมันคนละเรื่องกันนะ กลายเป็นว่า ในหนึ่งปี ฉันรอเดือนกุมภาพันธ์หรือ 14 กุมภาฯ นี่แหละที่จะบอกความรัก “ชั้นรักเธอ” หรือ “เธอรักชั้นแต่ชั้นยังไม่รักตอบหรอก รอให้ถึง 14 กุมภาฯ ก่อน” เหมือนกับเป็นตัวปลดล็อกแล้วว่า 14 กุมภาฯ นี้ เธอจะทำอะไร ฉันยอมให้เธอหมด มันไม่ใช่ เพราะฉะนั้น อย่าไปคิดแค่ว่าเดือนกุมภาฯ มันเป็นเดือนแห่งความรัก ส่วนเดือนมกราคมไม่รักใครเลยเหรอ หรือว่าเดือนหน้าแล้ว ฉันไม่มอบความรักให้กับใครเลยแล้วเหรอ ฉันจะเฉยๆ ฉันจะไม่มีแฟนเหรอ หรือว่ามีแฟนแต่ฉันก็จะไม่ให้ ต้องรอไปเดือนกุมภาฯ ปีหน้าเหรอ มันไม่ได้เกี่ยวกับการเสียตัวเลย เราควรจะรักศักดิ์ศรีของความเป็นลูกผู้หญิง ผู้ชายเองก็เหมือนกัน ถ้าคุณยังไม่มั่นใจกับคุณสุภาพสตรีท่านนั้น คุณก็อย่าเพิ่งไปยุ่งอะไรกับเขา ให้เกิดความมั่นใจแล้วความรักมันถึงจะเกิด ไม่ใช่ว่าไม่ได้มั่นใจอะไรเลย พอ 14 กุมภาฯ ฉันก็จะรักกันและยอมพลีร่างกายให้แก่กัน ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง

ดังนั้นแล้ว วันแห่งความรักมาถึง แล้วยังไงล่ะ เดือนนี้ต้องนอนกันใช่มั้ย ผู้หญิงให้ผู้ชาย ผู้ชายให้ผู้หญิง แล้วอีกหน่อย คงมีกฎเกณฑ์ตั้งกันว่าเดือนกุมภาฯ ต้องไปนอนกับผู้หญิง ไปหาจีบผู้หญิงเหรอ มันไม่ใช่น่ะ ความรักมันไม่ใช่เรื่องสะเปะสะปะหรือจับฉ่ายแบบนั้น มันไม่ถือว่าเป็นความรัก ผมถือว่าเป็นความต้องการทางเพศมากกว่า แล้วคุณต้องเปลี่ยนเลยนะ นี่คือเดือนแห่งความต้องการทางเพศ ไม่ใช่เดือนแห่งความรักน่ะ มันถึงจะเหมาะกว่า ต้องการทางเพศกับความรัก คนละเรื่องกันเลย เรากำลังไปตีความเรื่องการต้องการทางเพศมากกว่า อย่ามาพูดว่าเป็นเรื่องความรักเลย ผมไม่เคยให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้เลย ผมจะรักใคร ผมไม่ต้องเลือกเดือนเลือกวันเลือกปีหรือเลือกเวลาหรอก

"ถ้าคุณยังไม่มั่นใจกับคุณสุภาพสตรีท่านนั้น
คุณก็อย่าเพิ่งไปยุ่งอะไรกับเขา
ให้เกิดความมั่นใจแล้วความรักมันถึงจะเกิด
ไม่ใช่ว่าไม่ได้มั่นใจอะไรเลย พอ 14 กุมภาฯ
ฉันก็จะรักกันและยอมพลีร่างกายให้แก่กัน
ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง"

• เหมือนกับว่าเรารับบางอย่างมาโดยไม่เข้าใจเนื้อหาจริงๆ ของมัน หรือกระทั่งตีความผิดเพี้ยนไป?

คือรับมาจากการฟังต่อๆ กันมา จากการพูดต่อๆ กันมา แล้วมันก็เริ่มขยายวงกว้างขึ้นทุกปี จนกระทั่งกลายเป็นประเพณีที่ทำให้โรงแรมสามารถเอามาจัดเป็นงานเลี้ยงแล้วก็ขายโต๊ะราคาแพงๆ ได้ ขายดอกไม้แพงๆ ได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าตัดมาจากเชียงใหม่ จากน่าน หรือเพชรบูรณ์หรือเปล่า แต่โฆษณาว่านำเข้าจากต่างประเทศแล้วก็ขายดอกละแปดร้อยหรือพันนึง มันก็กลายเป็นความฟุ่มเฟือย ความรักมันไม่ต้องฟุ่มเฟือยหรอก ไม่ต้องให้เงิน ไม่ต้องให้ทองอะไรกันหรอก มันเป็นเรื่องของจิตใจ ไม่ใช่เอาดอกกุหลาบพันบาทมามอบให้กันแล้วบอกว่าต้องรักกัน ไม่ต้องหรอก ถ้าหากว่าผมรักคุณ ไม่ต้องเอาดอกไม้อะไรมาให้สักดอกเลยก็ได้ ไม่ต้องเอาอะไรมาแลกเปลี่ยนหรอก ผมก็รักคุณได้ เช่นเดียวกัน ถ้าคุณจะรักผม ผมไม่ต้องเอาอะไรไปแลกเปลี่ยนคุณหรอก เพราะถ้าผมต้องเอาอะไรไปแลกเปลี่ยนแบบนั้น คุณไม่ได้รักผมจริงหรอก อย่ามารักกันเลยดีกว่า แล้วไม่ต้องมารอเดือนกุมภาฯ หรอก ผมถึงจะรักคุณเดือนตุลาฯ ได้ไหม น้ำท่วมน่ะ ถ้าไม่ได้ ก็ไม่ต้องมารักกัน ก็จบกัน

คือเราไปยึดถือเอากระแสความนิยมกันจนเลยเถิด ต้องไปจดทะเบียนกันวันที่ 14 กุมภาฯ แล้วก็เอามาคุยกันให้ดูเท่มากกว่าว่า โห นี่เราไปจดทะเบียนกันในวันแห่งความรัก ต้องไปอำเภอที่มันมีชื่อของความรักด้วยอย่างบางรัก จดที่บางพลัดก็ไมได้นะ เดี๋ยวมันพลัด ถามว่ามันจะคิดอะไรกันมากมายขนาดนั้นน่ะ แล้วสมมติคุณเกิดที่เขตบางพลัด คุณไม่พลัดพรากจากใคร อยู่มาจนถึงแฟนคนนี้ มันก็ไม่เห็นพลัดพรากกันเลย แม้แต่ชื่อเขตบางพลัด มนุษย์ก็ตั้งเอง พอตั้งแล้วก็บอกว่า ชื่อมันเป็นกาลกิณี ต้องเปลี่ยนเหรอ อย่างผม อายุจะเจ็ดสิบแล้ว มีคนมาบอกว่า ตัวรอเรือเป็นกาลกิณี นิรุตติ์นี่ แล้วยังไงล่ะ อีกไม่กี่ปีก็จะลงโลงแล้ว ก็ให้มันเป็นกาลกิณีไปก็แล้วกัน ก็พระเป็นคนตั้งให้ แล้ววันนึง คุณก็เอาเท้ามาลบ คุณบอกว่ามันไม่ดี มันไม่ดีตรงไหน มันจะดีไม่ดี มันอยู่ที่ตัวเราทำ คุณไม่ดี คุณไปเปลี่ยนอีกร้อยชื่อ มันก็ตาย บางคนบอกว่ามันมีชื่อตัวนี้เป็นกาลกิณี ต้องไปเปลี่ยน มันก็อยู่อีกสี่ปี คนมันจะตาย มันก็ตายอยู่ดี เพราะฉะนั้น มันอยู่ที่ตัวเรา เรารู้ว่ามันไม่ดี เราก็ไม่ทำสิ เรารู้ว่ายาเสพติดมันเลว เราก็อย่าไปเสพมันสิ มันก็ไม่เป็นกาลกิณีแล้ว แต่ถ้าเปลี่ยนชื่อร้อยหน แล้วยังเสพสิ่งที่ไม่ดีอยู่ ชีวิตก็เหมือนเดิม มันก็ผิดอยู่ดี เพราะฉะนั้น มันจึงอยู่ที่สติ เรามีสติหรือเปล่า ถ้าเราขาดซึ่งสติและปัญญาแล้ว มันทำอะไรก็ไม่เจริญหรอกครับ โดยไม่ต้องบอกว่า 14 กุมภาฯ ฉันต้องนอนกับผู้ชาย ฉันคิดไว้แล้วว่า ถ้าผู้ชายคนนี้มาขอฉันต้องให้ มันเป็นการเริ่มต้นที่ผิด คุณเริ่มต้นมา คุณก็แพ้แล้ว

• เท่าที่ฟังมา คล้ายกับว่าเราเข้าใจอะไรต่อมิอะไรคลาดเคลื่อนกันไปเยอะเลยนะครับ

เราไม่ยอมใช้สติและปัญญาที่เรามีอยู่เพื่อจะเข้าใจ เราใช้แต่เพียงการฟังการได้ยินแล้วเราก็ตัดสิน เราไม่ได้ใช้ปัญญาในการตัดสินเลยทุกวันนี้ วัฒนธรรมตะวันตกบางเรื่อง เป็นเรื่องที่ดี เราก็นำเข้ามาใช้ในประเทศเรา อย่างเช่น เทคโนโลยีสมัยใหม่ เรื่องของการพัฒนาประเทศหรือระบบต่างๆ ที่จะทำให้ประเทศเราเจริญขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องสิ่งของนอกกาย อย่าเอาเรื่องของจิตใจมาพัฒนาจิตใจของคนในประเทศ มันคนละจิตใจกัน อย่าทำให้จิตใจและวัฒนธรรมของคนไทยเราเพี้ยนไป กลายไปเป็นจิตใจหรือวัฒนธรรมของคนต่างชาติ แล้วค่านิยมบางอย่าง มันเป็นค่านิยมผิดๆ ที่เราไปรับเขามา แล้วอย่างบางที เราอาจจะเห็นว่าเขาฟรีสไตล์ แต่เขาไม่ได้นอนกันง่ายนะ เราไปจำไปเชื่อมาจากหนัง มันไม่ใช่นะ เด็กที่อยู่ชั้นไฮสกูลแล้ว จะเข้ามหา’ลัยอยู่แล้ว เขาไปไหนมาไหนก็ยังมีพ่อแม่คอยควบคุมตลอด มีกำหนดเวลาในการกลับบ้าน แล้วเขาจะมีการพูดคุยสนทนากันระหว่างพ่อแม่ตลอดเวลา จะบอกความจริงกันตลอด ไม่เหมือนเด็กไทยหรอกนะ บางที แอบไม่บอกพ่อแม่ ตามเพื่อนไป แต่อเมริกาไม่ใช่ เราจะไปมองว่า เฮ้ย โลกตะวันตก ฟรีสไตล์ เขาฟรีสไตล์ก็จริง แต่ก็แค่ออกไปเที่ยวกันได้ ไปเต้นรำอะไรได้ แต่ก็กลับมาส่งบ้านตามเวลาที่กำหนด เพราะฉะนั้น พ่อแม่จะควบคุมเวลาได้ หรือแม้แต่จะไปนอนค้างบ้านไหน พ่อแม่เขาจะต้องรู้จักกัน พ่อแม่เขาเช็กกันได้

บางที เราอาจจะไปโทษโลกตะวันตกมากเกินไปก็ได้ เพื่อที่จะได้ในสิ่งที่เราต้องการ โอ้โห ทำไมอเมริกาเขายังเป็นอย่างนั้นได้เลย มันเกี่ยวกับเราตอนไหนล่ะ มันเป็นเพียงข้ออ้างหรือหาความชอบธรรมในการทำบางสิ่งบางอย่าง อ้างคนอื่นเพื่อให้เราได้มาในสิ่งที่เราต้องการ มันไม่ใช่ โลกตะวันตกเขามีการควบคุมด้วยกฎและระเบียบของเขาค่อนข้างเข้มข้น แล้วเด็กก็จะโตโดยมีความรับผิดชอบ เขาโตไปตามปัญญาของเขา เด็กบ้านเราไม่ได้ถูกสอนให้โตไปกับปัญญา เด็กบ้านเราถูกสอนให้โตไปกับความคิดของเพื่อนหรือความคิดของตะวันตกที่เข้ามาแล้วเราไปตีความแบบผิดๆ ว่าเขาเป็นอย่างนั้น เราไม่ได้สอนให้เขาคิด ไม่ได้สอนให้เขามีปัญญาตามความจริงของโลกใบนี้ เราสอนให้เรียนวิชา แต่การใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราไม่ได้สอนกันเลย และเด็กก็ไปคิด ไปตีความเอาแบบหนังฝรั่งที่ดู คือความเจริญทางด้านการศึกษาของเขาสูงเกินไปแล้ว เขาสามารถแยกแยะได้ระหว่างความจริงกับหนัง นี่คือความแตกต่างของการป้อนข้อมูลเข้าไปให้กับเด็กสองประเทศ และเด็กสองประเทศ การรับมันไม่เหมือนกัน เด็กในประเทศที่เจริญแล้ว ในอเมริกาก็ดี อังกฤษก็ดี ญี่ปุ่นก็ดี นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย เขาดูแล้ว เขาวิเคราะห์ตามไปว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้แบบในหนังไม่ได้ แต่ของเรานี่แบบว่า ทำอย่างนี้แล้วเท่ ดี ทำได้ ดูหนังแก๊งสเตอร์ก็ออกไปตั้งแก๊งกัน นี่คือผลของการนำทุกอย่างเข้ามาในประเทศเราเร็ว ในขณะที่เรายังไม่มีปัญญาในการวิเคราะห์กลั่นกรองสิ่งที่เราเห็นและรับรู้ มันถึงได้วุ่นวายอยู่ในขณะนี้

คนเราทุกวันนี้ไม่มีปัญญาในการใช้เพื่อตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิด ซึ่งมันใช้ไม่ได้ คุณฟังอย่างเดียวแล้วบอกว่าเขาถูก แต่ถ้าอะไรที่ไม่ถูกใจหรือไม่เป็นที่พอใจของคุณ คุณก็บอกเขาผิด แล้วปัญญาคุณอยู่ตรงไหน ปัญญาคุณไม่มี เพราะคุณฟังเขาอย่างเดียวหรือคุณอ่านอย่างเดียวแล้วคุณก็เชื่อเลย มันต้องมีอะไรที่เป็นตัวถ่วงดุลก่อน คุณอ่านคุณฟังคุณดู แล้วมันขาดอีกตัวหนึ่งคือปัญญา

"บางที เราอาจจะไปโทษโลกตะวันตกมากเกินไปก็ได้
เพื่อที่จะได้ในสิ่งที่เราต้องการ
โอ้โห ทำไมอเมริกาเขายังเป็นอย่างนั้นได้เลย
มันเกี่ยวกับเราตอนไหนล่ะ
มันเป็นเพียงข้ออ้างหรือหาความชอบธรรมในการทำบางสิ่งบางอย่าง
อ้างคนอื่นเพื่อให้เราได้มาในสิ่งที่เราต้องการ มันไม่ใช่"

• แล้วปัญญากับความรัก นี่เกี่ยวข้องกันอย่างไรไหมครับ

ความรักคือตาบอดไง ปัญญาคือสติและไม่ประมาท เพราะฉะนั้น ถ้าคุณมีปัญญา คุณต้องคิดให้ได้ว่า การคบหาซึ่งกันและกัน และความรักที่ให้กันและกัน มันจะไปถึงขั้นไหน ถ้าคุณไม่มีปัญญาในการคิดหรือตัดสินเลย ทุกอย่างมันก็จะกลายเป็นฟรีสไตล์ไปหมด อะไรที่มันเป็นฟรีสไตล์ มันย่อมไม่ดี เพราะมันไม่มีกฎเกณฑ์ในการบังคับ ถ้าคุณไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ ไม่อยู่ในระเบียบ คุณไม่เข้าสู่ระบบสามตัวนี้แล้ว มันจะเกิดความวุ่นวายแน่นอน อะไรที่มันเป็นฟรีสไตล์ มันคือความประมาท คุณบอกประเทศนี้ โลกนี้อิสรเสรี คุณเดินไป ข้ามถนนไป คุณก็เล่นไลน์ โอกาสตายก็สูงมาก เพราะว่าคุณอิสรเสรีมากเกินไป คุณไม่มีกฎ ระเบียบ และวินัย คุณไม่สามารถอยู่ในสังคมได้ เพราะคุณอิสรเสรีมากเกินไป คุณเดินไป มองแต่โทรศัพท์ เดินไปก็ตกแม่น้ำ โดนรถชนตาย ดังนั้น ต้องมีกฎ มีระเบียบ มีวินัย ในการครองตน ในการใช้ชีวิตประจำวัน ในการอยู่ร่วมกับสังคม

• ความรักต้องการกฎไหมครับ

ต้องมี เช่น ต้องมีกฎว่าอยู่กันแค่นี้ (ยกมือสองข้างแบ่งข้างกัน) ต้องมีขีดกั้นว่าคุณล่วงล้ำมาได้แค่นี้ มันต้องมีกำแพงบ้าง อย่างหน้าที่การงานของแต่ละคน เราก็ไม่เข้าไปยุ่ง คุณเป็นครู ผมก็ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับความเป็นครูของคุณ ผมเป็นนักแสดง คุณก็อย่ามายุ่งกับอาชีพผม เท่านั้นเอง นั่นคือมารยาทส่วนตัว ถ้าเราจะคุย ก็คุยเรื่องอื่นๆ เช่น อาหารการกิน เรื่องสังคม เรื่องบันเทิง หรืออะไรๆ ไป เพราะต่างคนก็ต่างอยู่คนละสายอาชีพ ถ้าแฟนคุณเป็นข้าราชการ คุณเป็นนักแสดง คุณจะไปรู้เรื่องอะไรกับราชการเขา มันคนละเรื่องกัน เพราะฉะนั้น อย่าสับสน เราจะไม่เข้าไปแตะตรงนั้น เท่านั้นเองก็จะมีความสุข เหมือนกับคุณขับรถ แล้วฝรั่งเรียกว่าแบ็กซีตไดรเวอร์ ก็คือไม่ได้ไปนั่งข้างหลัง แต่นั่งข้างๆ นี่แหละ แต่คุณทำตัวเป็นผู้ควบคุมคนขับรถน่ะ “ไปซ้ายดิ ขวาดิ จอดสิ” ถ้าอย่างนั้นก็ขับเองเลยดีไหม ก็เหมือนกัน ถ้าชีวิตรักหรือชีวิตคู่เป็นแบบนั้น มันก็อยู่กันไม่ได้ เดี๋ยวก็เลิกกัน

อีกอย่างหนึ่ง ถึงแม้เขาจะเป็นเมียเรา เป็นสามีเรา เขาก็ยังมีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตส่วนตัวเขาอยู่นะ ไม่ได้หมายความว่าแต่งงานกันแล้ว ชีวิตของทั้งสองคนสูญสิ้นไปเลย โลกส่วนตัวล่มสลายเพราะเป็นของใครคนใดคนหนึ่งไปแล้ว อย่างนั้นไมได้ เพราะถ้าอย่างนั้นก็อยู่กันไม่เกินสามเดือนหรอก เขาต้องมีชีวิตของเขาครึ่งหนึ่งเหมือนเดิม เธอต้องมีชีวิตครึ่งหนึ่งของเธอเหมือนเดิม เอาชีวิตอีกครึ่งที่เหลือมาผสมผสานให้เข้ามาอยู่ด้วยกันได้ แต่อีกครึ่งหนึ่งก็ปล่อยให้เป็นตัวตนของเขาไป เช่น เขาชอบอย่างนั้น เขาจะแบบนั้นก็ปล่อยเขาไป ไม่ใช่ว่า “เธอแต่งงานกับชั้นแล้ว ทำไมไม่บอกวันแรกล่ะว่าห้ามทาคิ้วอย่างงี้ ห้ามกันคิ้วอย่างงี้ มาชอบชั้นทำไมตั้งแต่วันแรก” อย่างนี้นะสามเดือนก็เลิกกันแล้วล่ะ เพราะฉะนั้น อะไรที่เป็นความรักความชอบก็ควรจะให้พื้นที่เขา คนหนึ่งชอบหมา คนหนึ่งชอบแมว ก็แบ่งเขตพื้นที่กันไป ก็ผมชอบหมาน่ะ ผมชอบแมวน่ะ ก็แบ่งเขตกัน ถ้าแบ่งไม่ได้ก็ไม่ต้องเลี้ยงมันเลยทั้งสองคน อยากดูหมาดูแมวก็ไปดูที่อื่นแทน อย่างงี้น่ะครับมันถึงจะไปด้วยกันได้ แต่ถ้าเกิดว่าคุณมาจับผิดสิ่งเล็กสิ่งน้อย พอเขากลับมาบ้าน พอเขาถอดกางเกงในต้องเดินไปดมกางเกงใน ดมทำไมก็ไม่รู้ ทำไมนอนกับผู้หญิง มันต้องติดกลิ่นผู้หญิงที่กางเกงในเหรอ ผมว่ามันก็เป็นเรื่องโง่ไปอีกน่ะนะ ทีนี้พอมันเป็นอย่างนี้ มันก็เกิดอคติอีกว่า โอ้ คุณไม่ไว้ใจผมเหรอ หรือว่าเราไปทำอย่างนั้นกับฝ่ายหญิง เขาก็จะถามว่า “เอ๊ะนี่เธอไม่ไว้ใจชั้นเหรอ” ผู้หญิงถาม สามเดือนมันก็อยู่กันไมได้

สิ่งใดที่เขาชอบ เราก็ไม่จำเป็นต้องไปเกลียดหรือว่าไปชอบด้วยก็ได้ แต่เราก็ไม่ไปขัดหรือไปห้ามในสิ่งที่เขาชอบ เช่นเดียวกันกับสิ่งที่เราชอบ เราก็อธิบายให้เขาฟังไปว่ามันเป็นสิ่งที่เราชอบและเราทำมาตั้งแต่ก่อนรู้จักกับคุณ แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องดึงให้เขามาชอบในสิ่งที่เราชอบนะ เพราะไม่อย่างนั้นมันจะเหมือนกดดัน คืออยู่กันด้วยความไม่กดดันดีกว่า อยู่กันด้วยการไม่พูดอะไรที่ซ้ำซากหรือเอามาเปรียบเทียบ ถ้าเกิดเอามาเปรียบเทียบ มันเป็นสาระแล้ว “ทำไมไม่เป็นอย่างนั้นล่ะ ทำไมไม่เป็นอย่างนี้ล่ะ” อ้าว คุณก็ไปอยู่กับมันซะสิ ก็จบ พรุ่งนี้ก็แยกกันเลย

ที่สำคัญมากๆ คือเป็นสามีภรรยากันแล้วต้องไว้ใจกันร้อยเปอร์เซ็นต์ จนกว่าวันใดเห็นแน่นอน ก็เลิกกันไปด้วยดี แค่นั้นเอง ไม่ได้หมายความว่าแต่งงานกันไปแล้วสามเดือนหรือสิบปีแล้วต้องอยู่กันไปตลอดชีวิต แต่อยากให้อยู่กันไปตลอดชีวิต แต่ถ้ามันเกิดอะไรก็ตามขึ้นมา ก็พูดกันดีๆ คุยกันไปเลย บอกกันไปเลย ก็ต้องมีน้ำใจเป็นนักกีฬา เป็นลูกผู้ชาย ลูกผู้หญิงกัน แต่ถ้าสังคมภายในครอบครัวหรือบ้านหลังนั้น ไม่ดีแล้ว อยู่กันต่อไป รังแต่จะทำให้เสียหายทั้งสองฝ่ายก็ควรเลิกกัน เมื่อคิดว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้างั้น นั่ง พิจารณา คุย แยกกันไป ถ้าทั้งสองคนไม่ไหวแล้ว แล้วจะทำตัวให้ลูกดูถูกทำไม พูดให้ลูกเข้าใจ แล้วก็จากกันไป เพราะมันอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้วนี่ จะอยู่เพื่อสังคมเหรอ เพื่อหน้าตาเหรอ อยู่ด้วยกันเพราะฉันเห็นแก่สังคม แต่ทั้งสองคนไม่ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันเลย ไปอยู่คนละบ้าน บ้านกลางให้ลูกอยู่ ก็ไม่เป็นไร ถ้าคุณอยากอยู่อย่างนั้น ก็เรื่องของคุณ แต่ไม่ใช่ผม เพราะชีวิตคู่มันไม่ใช่การอยู่เพื่อใครนะ มันอยู่เพื่อตัวเราทั้งสองคน

"ไม่ได้หมายความว่าแต่งงานกันแล้ว
ชีวิตของทั้งสองคนสูญสิ้นไปเลย
โลกส่วนตัวล่มสลายเพราะเป็นของใครคนใดคนหนึ่งไปแล้ว
อย่างนั้นไมได้ เพราะถ้าอย่างนั้นก็อยู่กันไม่เกินสามเดือนหรอก"

• คนมีคู่ก็ดูแลประคองกันไป แต่วาเลนไทน์ก็ยังมีอีกหนึ่งด้าน คือส่วนของคนโสด ที่กระทั่งหลายคนถึงกับมองว่าเดือนกุมภาฯ หรือวันวาเลนไทน์กลายเป็นวันทำร้ายคนโสด เหงาซึมกันไป ยิ่งอยู่ในยุคที่โรคเหงามีสถานะเป็นเจ้าเรือนอย่างทุกวันนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ การอยู่คนเดียวเหมือนเป็นบาปแล้วสำหรับใครหลายคน ตรงนี้คุณนิรุตติ์มองอย่างไรครับ

นั่นคือคุณไม่รู้จักตัวตนของคุณไง แล้วคุณควบคุมไม่ได้ มันเลยเกิดเป็นอารมณ์เสแสร้งขึ้นมาในตัวของคุณเอง คือโรคจิตอ่อนๆ ในตัวของคุณเอง ผมไม่รู้นะว่าการแพทย์เขาเรียกว่าอะไร แต่ผมเรียกมันว่า “อารมณ์เสแสร้ง” ที่เกิดขึ้นมาในตัวเอง เพราะว่าทำให้ตัวเองอ่อนแออยู่ตลอดเวลา ต้องมีเพื่อน แล้วก็ไปอ้อนเพื่อน พอเพื่อนไม่เอาก็ซึมเศร้า ทำไมเป็นอย่างนั้น มันคิดเอาเอง เขาเรียกว่าอารมณ์เสแสร้งที่เกิดจากตัวเอง มันไม่ใช่ความเป็นจริง แต่มันเกิดจากนิสัยที่ทำอยู่บ่อยๆ มันคือตัวตนของเรากระทำต่อตัวตนของเราเอง เรามักจะคิดว่าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา เพราะเราคิดไปเอง มันคืออารมณ์ของการเสแสร้างต่างหาก อย่างเมียผมตาย ถ้าผมมีอารมณ์เสแสร้ง ไม่มีเมียผมนอนไม่ได้ ผมต้องตายไปด้วย มันก็ไม่ใช่

• จากคนที่เคยมีคู่ชีวิต และกลายเป็นต้องอยู่คนเดียวอย่างกะทันหัน อยากให้คุณนิรุตติ์เล่าถึงประสบการณ์การอยู่คนเดียวและการผ่านพ้นจากความรู้สึกโดดเดี่ยวตรงนั้นหน่อยครับ

คือตอนนั้น เราก็มานั่งคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำอะไรก็ไม่ได้ เจอใครก็ไม่ได้ มันเห็นภาพเก่า ไปบ้านก็เห็นภาพเก่ามาหลอนอยู่ ทำไงดี ตัดสินใจปลีกวิเวกไปเลย ไปอยู่คนเดียวเลยที่อเมริกา เขาถามไปทำอะไร ไม่ได้ทำอไร เพราะทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าหนีจากประเทศไทยไปแล้วมันจะทำได้ ก็ทำไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของจิตใจ แต่ถามว่าเศร้าซึมไหม ไม่เศร้าซึม ไปนู่นทำอะไรบ้าง เอ้า มองซ้ายมองขวา เริ่มต้นชีวิตใหม่ ทำอะไรดี อยู่คนเดียว ไปซื้อหมามาตัวหนึ่ง ขับรถไปอีกเมือง สุดท้ายมันก็มีอะไรที่ทำได้ แต่คุณไม่คิดที่จะทำเอง เพราะว่ามันเป็นอารมณ์ที่เสแสร้งว่า โอ ทำอะไรไม่ได้

เราคิดซะว่าไม่มีอะไรหมดทุกอย่างวันนี้เลย (เน้นเสียง) มีตัวตนของเราเองนี่แหละ ตัวกูคือกูเองนี่แหละ หาอะไรทำ ไม่มีอะไรทำ นั่ง นั่งแต่ไม่ต้องซึมเศร้า คิดไปสิ คิดถึงใครก็ได้ คิดถึงว่าทำไมมันเกิดขึ้นแบบนี้กับเราก็ได้ จากนั้นแล้ว หยุดมั้ย หยุด หาย เดินไปข้างนอก มีร้านกาแฟ นั่งดื่ม ดูคนไป เดี๋ยวก็ลืมไป แต่ทีนี้ คุณไม่ยอมทำไง เพราะพอมันเสแสร้งปั๊บ มันก็จะเสแสร้งไปเรื่อย อ่อนแอไปเรื่อย ให้คนหันมาสนใจ พอคนไม่สนใจ มันก็ยิ่งเศร้าไปอีก เพื่อให้เขาเห็น เขาจะได้มาสนใจเรา มาช่วยเรา นั่นมันคือการเสแสร้ง แล้วมันก็จะติดเป็นนิสัย กลายเป็นโรคซึมเศร้าไป แล้วพอถึงบั้นปลายจริงๆ มันช่วยเหลืออะไรตัวเองไม่ได้ กู่ไม่กลับแล้วก็ฆ่าตัวตาย เพราะว่ามันเสแสร้งจนเลยเถิดไปจนกลายเป็นเรื่องจริงแล้วว่า ชีวิตฉันขาดแล้วซึ่งความหมาย ไม่มีใครเขาสนใจ จะอยู่ไปทำไม เพราะว่าคิดอยู่ข้างเดียว แล้วก็คิดไม่เป็น ก็จบ

• เหมือนเราทำร้ายตัวตนของตนเองอยู่กลายๆ?

ใช่ไง คุณไม่ยอมกลับมา เฮ้ย ไม่มีใครสนใจ ก็แล้วทำไมไม่สนใจตัวเราเองล่ะ จะเสแสร้งไปทำไมล่ะ เขาไม่สนใจก็ไม่สนใจไปสิ มาสนใจตัวเราเอง ออกไปหาอะไรดู เห็นคนเดินมา มันก็ลืมแล้ว หรือหาอะไรที่เราชอบ ทำในสิ่งที่เราชอบ ไม่ใช่รอให้คนเขามาทำให้เราตลอดเวลาในสิ่งที่เราชอบ มันเป็นการเสแสร้ง ไม่ได้จริงจัง แต่ให้ทำอะไรให้ตัวเองในสิ่งที่เราชอบบ้าง ทำอะไรที่ตัวเองชอบด้วยตัวเอง มัวแต่รอมันก็เสแสร้งไปเรื่อย รอจนวันหนึ่งไม่มีใครมาสนใจจริงๆ ก็เลยคิดว่าโลกนี้มันไม่น่าอยู่แล้ว โลกนี้มันไม่ใช่ของเราแล้ว แล้วชั้นจะอยู่ไปทำไม ไม่อยู่ดีกว่า กระโดดน้ำตู้ม ตายไป มันไม่ใช่น่ะ ถ้าคนคิดไปแบบนี้หมด อีกหน่อยก็เหลือแต่ต้นไม้อยู่บนโลกใบนี้ แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ทุกคนจะคิดแบบนั้น

ก็จึงอยากจะพูดให้เราดึงอารมณ์ที่เป็นอารมณ์เสแสร้งนั้นกลับมาให้เป็นตัวตนที่แท้จริงของเราเอง แทนที่จะมานั่งรอให้คนเขามาสนใจ หันไปสนใจใครสักคนก็จะหายจากความเหงาเศร้าซึมแล้ว คุณไม่มีใครสักคนเลยเหรอบนโลกใบนี้ ถ้าไม่มี เดินเข้าวัดเลย เดี๋ยวคุณก็มีพระมาสนใจ แล้วคุณก็ไปสนใจพระรูปนั้นหน่อย แต่อย่าไปสนใจในทางผิดนะ ไม่ใช่นะ (หัวเราะ) พระพุทธรูปก็ได้ เข้าไปนั่งมองท่าน ดูพระพักตร์ท่านอิ่มเอม จินตนาการไป เดี๋ยวมันก็หายเอง แต่คนมันมักไม่ยอม ถ้าคุณไม่ยอมซะอย่าง มันไม่มีทางแก้ได้หรอก เพราะว่าคุณไม่รู้จักตัวของคุณเอง พอคุณไม่รู้จักตัวเอง คุณก็ไม่มีการยอม คุณก็จะไปต่อของคุณเรื่อยๆ กระทั่งถึงจุดสุดท้ายแล้วมันก็จะจบอย่างที่บอก

• คล้ายๆ ว่าเราวิ่งออกไป “ข้างนอก” มากเกินไป?

วิ่งไปข้างนอกเยอะ เราไม่กลับมาอยู่บ้านเราเลย เราวิ่งไปเรื่อย มันก็หลงไปเรื่อยไง เจอที่แปลกตา เจอคนแปลกหน้าไปเรื่อย เจออะไรที่มันแปลกไปเรื่อย มันก็หลงไปอยู่เรื่อย เพราะคุณไม่กลับมาดูตัวตนของคุณเอง ส่องกระจกดูบ้าง กระจกนั่นน่ะมันไม่เคยโกหกคุณหรอก คุณยืนหน้ากระจกเงา มองมันเมื่อไหร่ มันไม่โกหกคุณเลยสักหน นั่งมองสิ จะซึมเศร้าไปทำไม กลับไปหาคนที่รู้จักคนไหนก็ได้ กลับไปหาคนที่รักเราคนไหนก็ได้ ไม่ใช่ไปรอแต่คนที่เรารักเขาอย่างเดียว อย่าเอาแต่ไปหาคนที่เรารักเขาข้างเดียว กลับไปหาคนที่เขารักเราบ้างสิ คนที่เขารักเราก็มีตั้งแต่พี่น้องญาติมิตร พ่อแม่ แต่ไอ้คนที่เรารักเขานี่ อาจจะเป็นแค่คนคนเดียวเลย คือใครก็ไม่รู้ มาจากไหนก็ไม่รู้ แต่เราทะลึ่งไปรักเขาแล้ว แล้วพอเขาไม่รักเรา ขาดกันแล้ว เจ็บปวดจะเป็นจะตาย ทำไมไม่กลับไปหาคนที่เขารักเราล่ะ อันนั้นมันแน่นอนกว่า

คนที่เขารักเราไม่มีวันที่จะทิ้งเรา แต่ไอ้คนที่เรารักเขา เขาทิ้งเราวันไหนก็ได้ เพราะฉะนั้น ความหมายมันแตกต่างกันเลยนะ คนที่เรารัก กับ คนที่รักเรา นี่คนละเรื่องเลย คุณเลือกเอาว่าคุณจะอยู่กับใคร ไอ้คนที่เรารักเขามาก เขาอาจจะไม่ได้รักเราเลย แต่เราไปปรนเปรอเขาด้วยอะไรต่ออะไรเยอะแยะ ส่วนคนที่รักเรามากๆ เขาพร้อมที่จะอยู่กับเราตลอดชีวิต เรามักจะไม่มองเขาหรอก แต่เรากลับไปมองคนที่เรารักเขา มันผิดตรงนี้ไง คำว่ารักเหมือนกัน แต่ความหมายต่างกัน รักเขา กับ เขารัก อย่างไหนดีกว่า อันนี้คือปัญหาที่ผมถามแล้วคุณไปตัดสินเอาเอง แต่คนเรามักจะเข้าข้างตัวเอง คือไปชอบคนที่เรารักเขามากกว่า เราไม่ได้มองคนที่เขารักเรา สำหรับคนที่เขารักเรานี่จะแบบว่า “น่ารำคาญ น่าหงุดหงิด ยุ่งกะกูไปไหน” (ยิ้ม) แต่ไอ้คนที่เขาไม่รักเราแต่เราไปรักเขา เราก็ทุ่มเทให้เขาหมดทุกอย่าง เขาไม่วุ่นวายไม่อะไร ก็เขาไม่ได้รักคุณเลยไง เอาอะไรไปให้ เขาก็เอา ใช่หรือเปล่า เพราะเราไปรักเขา ถามว่าแบบไหนมันจะซื่อสัตย์และดีกว่าล่ะ ก็ลองคิดดู ตัดสินใจให้ดีว่าคุณจะอยู่กับคนไหน

"เราวิ่งไปเรื่อย มันก็หลงไปเรื่อยไง
เจอที่แปลกตา เจอคนแปลกหน้าไปเรื่อย
เจออะไรที่มันแปลกไปเรื่อย มันก็หลงไปอยู่เรื่อย
เพราะคุณไม่กลับมาดูตัวตนของคุณเอง
ส่องกระจกดูบ้าง กระจกนั่นน่ะมันไม่เคยโกหกคุณหรอก"

• เคยมีประสบการณ์รักคนที่เขาไม่รักเราบ้างไหมครับ

เคย..(เสียงสูง) มันก็เคยผิดมาด้วยกันทั้งนั้นแหละ แต่ตอนนั้นใครจะไปรู้ล่ะ (ยิ้ม) คือส่วนมากเราจะคิดว่า โห ผมรักคุณขนาดนี้แล้ว สรุปแล้วสุดท้ายคุณไม่ได้รักผมเลยเหรอ มันมักจะมาตอนจบแบบนี้ทุกที (ยิ้ม) เรื่องนี้มันจะมาตอนจบทุกที มันไม่มาตอนต้นหรอก ตอนต้น เราจะคิดว่า เออ เรารักเขามากแบบนี้ เขาต้องรักเราแน่ๆ แต่อาจจะไม่ใช่

คือทุกคนที่เกิดมาและเติบโตเป็นหนุ่มสาว จะต้องเคยผ่านการไม่สมหวังในความรักหรืออกหักกันมาทั้งนั้นแหละ ผมว่าอาจจะมีแค่ห้าเปอร์เซ็นต์ของคนบนโลกใบนี้ที่เกิดมาแล้วรักกันตั้งแต่อนุบาลแล้วก็มามัธยม มหา’ลัย ทำงานแล้วแต่งงาน ผมว่ามีไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์ เพราะอนุบาลมันก็ยังไม่มีรักกันแบบชู้สาว มัธยมมันก็เป็นแบบปั๊บปี้เลิฟ คือรักแบบลูกหมารักลูกหมา คนทุกคนบนโลกนี้เห็นลูกหมาก็รักมันหมด พอโตแล้วก็อยากเตะมันทิ้ง มันรำคาญ (หัวเราะ) แต่นี่ผมจะพูดว่าลูกหมาก็เหมือนเด็กทุกคนในโลกนี้ที่น่ารักเหมือนกันหมด อันนั้นเขาเรียกปั๊บปี้เลิฟ วัยรุ่น แล้วก็ผ่านไป เข้ามหา’ลัย มันก็เริ่มมีรักจริงจัง จบออกมาเริ่มทำงานก็อาจจะเห็นชีวิตมากขึ้น ก็เลิกกันได้ อันนั้นก็อกหักได้ มันก็ไม่ใช่ความผิดของใคร ก็เสียใจ แต่ว่ามันก็รู้สึกเสียดายอยู่สักพัก มันไม่เข้าใจ ชั่วครู่ชั่วยาม ทุกอย่างมันก็ใช้เวลาด้วยกันทั้งนั้นที่จะทำให้ผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ ไปได้ ในทุกเรื่องของชีวิต มันใช้เวลา

อย่างคุณถามมา ผมก็อยากถามกลับหรือถามตัวเองเหมือนกันว่า ทำไม สิ่งดีๆ เราไม่ค่อยอยากจะจดจำกัน ทำไมอกหักตั้งแต่อายุสิบแปด ยังจำอยู่เลย เพราะอะไร ทำไมเราถึงจำสิ่งที่มันเป็นความเสียใจหรือเลวร้ายที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่ดี สิ่งที่น่าจดจำ มันไม่จำ นั่นคือธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเราสูญเสียหรือเราถูกขัดใจ เราจะจำตัวนั้น แต่สิ่งที่เขาให้เรามาตลอด สิ่งที่เราเคยได้มาตลอด เรากลับไม่จำ มันถือว่าเป็นเรื่องที่ควรจะต้องได้มั้ง หรือเป็นเรื่องที่เขาควรให้มั้ง แต่พอเขาเลิกให้ปุ๊บ ก็เหมือนกับอกหักน่ะ เราก็จำอันนั้นเลย ก็เช่นเดียวกัน แม่ให้เรามาตลอด วันหนึ่งแม่ไม่ให้ โกรธแม่เลย ทำไม ว่าแม่ใจร้ายว่าแม่ไม่ดี แต่พอมาวันหนึ่ง วันที่แม่เสีย เราค่อยกลับมาคิดทบทวนว่า แม่รักเรา แม้กระทั่งแม่ตายยังเขียนมรดกไว้ให้เราเลย ผมถามหน่อยว่ามีผู้หญิงคนไหนที่ตายแล้วเขียนมรดกไว้ให้เราบ้าง มีแต่แม่นี่แหละ เราไม่เคยทำงานร่วมกับแม่เลย เราก็ใช้ของเราทุกเดือนเลย ไม่เคยให้แม่สักบาทด้วย แต่แม่ตายนี่เขียนมรดกไว้ให้เรา

"อยู่คนเดียวก็มีความรักได้ รักอะไรก็ได้
คุณอยู่กับตัวคุณเอง คุณก็พูดกับตัวคุณเองได้หมด
เช่นเดียวกัน คุณก็รักทุกสิ่งในโลกนี้ได้หมด
คุณสามารถจะคุยกับต้นไม้ก็ได้
คุณสามารถจะคุยกับสุนัขก็ได้"

• ภายหลังการจากไปของคนรัก คุณนิรุตติ์ก็ยังอยู่คนเดียวใช่ไหมตอนนี้

บางทีก็อยู่คนเดียว บางทีก็อยู่หลายคน (หัวเราะ)

• หมายถึง ชีวิตคู่น่ะครับ

ทำไมอ่ะ (น้ำเสียงทีเล่นทีจริงและยิ้ม) ก็สบายดีอยู่แล้วนี่ อยู่คนเดียวก็มีความรักได้ รักอะไรก็ได้ คุณอยู่กับตัวคุณเอง คุณก็พูดกับตัวคุณเองได้หมด เช่นเดียวกัน คุณก็รักทุกสิ่งในโลกนี้ได้หมด คุณสามารถจะคุยกับต้นไม้ก็ได้ คุณสามารถจะคุยกับสุนัขก็ได้ อาจจะขาดไปหน่อยตรงที่ว่า ถ้าคุณมีคู่ เขาอาจจะช่วยตอบกลับมา หรือไม่ช่วยตอบกลับมา ถ้าไม่ตอบกลับมา ก็เหมือนกับว่าเราอยู่กับสิ่งที่ตอบเราไม่ได้ในปัจจุบันนี้ แต่ถ้าหากคุณมีคู่อยู่ ก็ไม่ใช่เสมอไปที่คู่ครองของเราจะตอบเรากลับมาได้ หรือบางครั้ง ไม่มีเวลาที่จะรับฟังเราด้วยซ้ำไป เพราะต่างคนต่างก็มีภารกิจ เราก็ต้องไปอยู่กับสิ่งที่เราไปพูดไประบายกับเขาได้ คุยกับต้นไม้ คุยกับธรรมชาติ คุยกับตัวเอง ก็เท่านั้นเอง มันจะมีปัญหาอะไร ถ้าเราไม่ไปทำตัวเหลวแหลกหรือว่าไปสร้างพฤติกรรมที่ไม่ดี มันก็ไม่เห็นจะต้องมีอะไร ก็ไปนั่งชมนกชมไม้บ้าง ดูวิวทิวทัศน์บ้าง ก็แค่นั้นเอง

เพราะฉะนั้น การจะอยู่ตัวคนเดียวหรือสองคน ผมคิดว่ามันอยู่ที่ตัวเราว่ามันขาดอะไรไปหรือเปล่า มันเคยมีแล้วมันไม่มี สักระยะหนึ่ง มันก็กลับไปอยู่กับตัวตนเราได้ จริงๆ เวลาที่เรามีใครสักคน เขาก็ไม่ใช่ใครสักคนที่เป็นตัวตนของเราจริงๆ ตื่นเช้ามา มันก็ต้องจากกันไป เย็นก็อาจจะเจอกัน หรือไม่เจอกัน เพราะเราไปทำงานต่างจังหวัด ดังนั้น การที่เรามีใครสักคน เพื่อคิดถึง เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยว เพื่อควบคุมความประพฤติเรา ไม่ใช่ว่าเขาเดินมาควบคุมเรา แต่เรามีเขาเพื่อจะยึดเหนี่ยวไว้ ทำอะไรเราก็จะนึกถึงเขาบ้าง ก็เป็นเรื่องดี กระนั้นก็ตาม ต่อให้เราอยู่ตัวคนเดียว ก็ไม่ใช่ว่าเราจะทำอะไร ไม่ต้องนึกถึงใครเลย เพราะเราก็ต้องนึกถึงตัวของเรา ดังนั้น ไม่ว่าจะมีใครหรือไม่มีใคร เราต้องควบคุมตัวตนของเราให้ได้ ถ้าเราควบคุมตัวตนของเราไม่ได้ ต่อให้มีอีกสิบเมีย มันก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าเรารู้จักตัวตนของเรา เราประมาณตัวตนของเราได้ มันก็ไม่มีปัญหา มันขึ้นอยู่กับว่าเรามีความคิดความอ่านมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง

• อาจจะเป็นคำถามโง่ๆ ที่ต้องการคำตอบสำเร็จรูปมากเกินไป แต่ถึงยังไงก็อยากถามครับว่า เราจะดำรงความรักของเราไว้อย่างไรให้ยั่งยืนหรือคงทน ไปจนถึงวันที่โบราณเขาว่า ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร อะไรแบบนั้น

ผมพูดลำบากนะเรื่องนี้ เราไม่สามารถไปพูดสอนคนอื่นเขาได้ เพราะว่าความเป็นอยู่ไม่เหมือนกัน เงื่อนไขชีวิตไม่เหมือนกัน แต่ก็อย่างที่พูดไปเมื่อสักครู่ว่า เราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องส่วนตัวกันให้มาก มีปัญหาอะไรก็แก้ไขกันไป ไม่มีหรอกที่คู่ไหนแต่งงานกันแล้วไม่เคยทะเลาะกัน ไม่เคยพูดกันสามวันห้าวัน ไม่มีหรอก มีทุกคู่นั่นแหละ แต่ว่าทำไมเขาอยู่กันได้โดยไม่เลิก และทำไมเขาอยู่กันได้จนอายุ 80-90 แล้วตายจากกันไป เพราะเขารู้จักแก้ไขปัญหา เขารู้จักยอมซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งถือว่าฉันเป็นผู้ชาย ฉันต้องถูก หรือไม่ใช่ว่าฉันเป็นเมีย ฉันต้องถูก ต้องอยู่ด้วยการอะลุ้มอล่วยกัน ยอมกันในสิ่งที่เรายอมได้ ยอมได้หมายความว่าเราผิดจริง ไม่ใช่ว่าผิดแล้วก็ไม่ยอม ไม่ใช่ว่าฉันเป็นผู้ชาย ฉันแข็งแรง เรื่องอะไรต้องยอมผู้หญิง ไม่ใช่ เธอแข็งแรงด้วยร่างกายก็จริง แต่จิตใจเธออ่อนแอมากกกว่าผู้หญิงด้วยซ้ำ บางทีเข้มแข็งไม่เท่าผู้หญิง เธอแข็งแกร่งเพราะว่ารูปร่างเธอใหญ่กว่าฉัน กระดูกเธอใหญ่กว่าฉันเท่านั้นเอง แต่จิตใจน่ะ บางทีผู้หญิงเขาแข็งแรงกว่าเราและแกร่งกว่าเราอีก ไม่แกร่งกว่าได้ไงล่ะ ผู้หญิงคนเดียว เลี้ยงลูก ทำกับข้าว ดูแลบ้าน อยู่คนเดียว ไอ้ผัวไปที่ไหนก็ไม่รู้ ไปเมาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ผู้หญิงแข็งแกร่งกว่าเราด้วยซ้ำ คุณแข็งแกร่งแต่เพียงภายนอกเท่านั้นเอง เพราะจริงๆ แล้ว คุณสู้ผู้หญิงไม่ได้หรอก ผมไมได้กบฏผู้ชายนะ แต่พูดด้วยความเป็นจริงว่าความแข็งแกร่งมันอยู่ที่ไหน

ด้วยเหตุนี้ มันควรที่จะยอมซึ่งกันและกัน ถ้าเขาถูกจริง เอ้อ ขอโทษ ก็จบ แต่ไอ้ที่มันไปเถียงกัน แล้วไม่ยอมกัน เพราะมันอยากจะเลิก มันอยากจะเลิก (เน้นเสียง) ก็แล้วยังไงล่ะ ตอนแรกที่คุณแต่งงานกัน คุณก็บอกว่ารักเขาไง แต่พออยู่กันไป มันเริ่มเห็นข้อผิดพลาด เพราะรู้จักกันใหม่ๆ มันไม่มองข้อผิดพลาดของแต่ละฝ่ายหรอก แต่พออยู่ๆ ไป โอ้โห นี่นอนกรนนี่หว่า สกปรกจังเลย ไอ้นี่ทำไมไม่อาบน้ำ ทำไมทิ้งเสื้อผ้าอย่างนั้น เริ่มเห็นข้อผิดพลาดของแต่ละคน และไม่ยอมแก้ ไม่ยอมอ่อน มันก็เลยเกิดมีเหตุการณ์แบบสามเดือนสี่เดือนเลิก แต่ถ้ายอมแก้ อ้าว ไอ้นี่ทิ้งเสื้อผ้า เก็บให้ซิ เก็บสักสามหนสิบหน เดี๋ยวเขาก็ต้องเห็นแล้ว ว่าเอ้อ ทำอย่างนี้ไม่ดี อีกหน่อยไม่ทำ หรือเก็บเอง หรือรักเมีย รักสามี ก็ไปช่วยเขาทำ มันได้ความน่ารักเกิดขึ้นมา แย่งปูที่นอนซะก่อน เอาเป็นว่า คุณแต่งงานเพราะคุณตั้งใจจะอยู่กับเขาตลอดชีวิตหรือว่าคุณไม่ตั้งใจล่ะ แค่นั้นเอง

การแต่งงานมันจะต้องมีความตั้งใจที่จะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต มันถึงจะอยู่ด้วยกันรอด มองข้ามความผิดเขาไปบ้าง ไปช่วยแก้ไขในความผิด ไปช่วยเหลือเขาในงานบ้านบ้าง ช่วยกันแบ่งเบาภาระบ้าง อันนั้นคือการแต่งงานพร้อมทั้งตั้งใจที่จะอยู่กันไปตลอดชีวิต แต่บางที คุณแต่งงาน คุณไม่ได้ตั้งใจน่ะ คุณแต่งงานเพียงเพราะคุณชอบผู้หญิงหรือผู้ชายคนนั้นเท่านั้นเอง

• แต่งงานกันเพื่อจะได้ไปจดทะเบียนสมรสที่เขตบางรักในวันวาเลนไทน์

ถูกๆๆ (หัวเราะ) ถูกต้อง เพราะว่าเดือนนี้มันเป็นเดือนแห่งความรัก ฉันก็เลยอยากแต่งงาน แต่ตั้งใจจะอยู่ด้วยกันไปจนตลอดชีวิตหรือเปล่า ฉันไม่รู้นะ (ยิ้ม)

____________________________________________________________________

Profile

นิรุตติ์ ศิริจรรยา หรือ “อาหนิง” ซึ่งหลายคนรักที่จะเรียก คือนักแสดงที่มีผลงานได้รับความนิยมมาโดยตลอดระยะเวลานานกว่า 40 ปี และนับเป็นต้นแบบที่ดีให้กับนักแสดงรุ่นหลังได้เจริญรอยตาม กระทั่งได้รับการขนานนามด้วยคำ “พระเอกตลอดกาล”

ปัจจุบัน นอกเหนือจากงานแสดง นิรุตติ์ในวัย 67 ยังดำรงตำแหน่งประธานบริษัท สไมล์ นาโน จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้า "นวัตกรรม" หลายชนิด ซึ่งต่อยอด" มาจากงานวิจัยโดยมุ่งหวังเรื่องคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นผงน้ำใส “ฟาสท์” (FAST) หรือ ผงตกตะกอนน้ำ ที่สามารถเปลี่ยนน้ำเสียเป็นน้ำใสปลอดภัยจากสารปนเปื้อน รวมถึงถุงขยะไล่มดและแมลง, ผลิตภัณฑ์คลุมดินไล่มดและแมลงเพื่อการเกษตร ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการช่วยลดการใช้สารเคมีในการเพาะปลูก อันจะส่งผลที่ดีทั้งต่อผู้เพาะปลูกและผู้บริโภค

เรื่อง : อภินันท์ บุญเรืองพะเนา
ภาพ : วรวิทย์ พานิชนันท์

กำลังโหลดความคิดเห็น