ถ้าพูดถึงความนุ่มนวลในเสียงร้องของนักร้องชายไทยสักคน ร้อยทั้งร้อย หรือคนส่วนใหญ่ คงจะต้องนึกถึง ป๊อบ-ปองกูล สืบซึ้ง ลอยมาเป็นอันดับต้นๆ ก่อนเสมอ เพราะแน่นอนว่า ยามใดที่เขาได้ส่งเสียงร้องมาให้กับผู้ฟังได้ฟังคราใด ความโรแมนติก ความรู้สึกอบอุ่น ไปจนถึงความละมุนในเสียงขับร้อง คือเสน่ห์ที่พาคนฟังลอยละล่องปลิวไปในความรื่นรมย์
ในอีกภาพหนึ่งที่เราคุ้นตา หนุ่มคนนี้ ก็มีความอารมณ์ดี ความปากจัด หรือ ความกวนตีน (ในการแสดง) ออกมาให้เราเห็นอยู่ประจำ ทั้งในยามแสดงคอนเสิร์ตตามที่ต่างๆ ไม่ว่าจะงานเล็กหรืองานใหญ่ เรียกเสียงฮาและรอยยิ้ม ให้กับผู้ชม ได้มีความสุขกันไป
แต่ด้วยบุคลิกที่กล่าวมาข้างต้น แน่นอนว่า อาจจะมีคนชอบเพราะเป็นการสร้างรอยยิ้ม และหมั่นไส้เพราะความกวนโอ๊ยในยามแสดงได้ในคราเดียวกัน จนสามารถแบ่งข้างได้ ตามกฎแห่งเหรียญที่ต้องมีสองด้าน แต่อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงเรียงนามและความสามารถของผู้ชายหุ่นท้วมคนนี้ ก็ทำให้เขามี “งานเข้า” อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง กระทั่งเราเอง ยังต้องขอเจียดเวลาไม่กี่นาที เพื่อสนทนากับผู้ชายปากร้ายอารมณ์ดีคนนี้...
• บทบาททางการแสดงเรื่องใหม่ (รับบท โบ้ ในภาพยนตร์เรื่อง ‘รักหมดแก้ว เลิฟออนเดอะร็อก’) ดูใกล้เคียงกับบุคลิกจริงก็ว่าได้
อาจจะเรียกอย่างนั้นก็ได้ครับ เพราะตัวบทจะเป็นคนที่แบบเป็นพี่ใหญ่หน่อย เป็นรุ่นใหญ่ของแก๊งเหล้า แต่ก็ไม่ค่อยได้แก้ปัญหาให้ใครเขาหรอก เป็นตัวสร้างปัญหา กวนโอ๊ย กวนเท้า เป็นตัวเอนเตอร์เทนอย่างเดียว ตัวพากินเหล้า ไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนนี้มีปัญหากับคนนี้ หรือมีปัญหากับคนนั้น เราจะไม่สนใจเรื่องนั้นเลย เราจะแบบไปทางกินเหล้าอย่างเดียว แต่ที่ไม่เหมือนในคาแรกเตอร์ คือ ผมกินเหล้าไม่เป็นครับ (หัวเราะ)
• หากมองจากลักษณะภายนอกแล้ว อาจจะดูขัดแย้ง กับ “ความอารมณ์ดี” เลยนะ
ผมคิดว่า ตัวผมก็เป็นคนปกติที่มีมีหลากหลายบุคลิกอยู่นะครับ คือบางคนเขาก็บอกว่าผมเป็นคนน่ากลัวมาก หรือบางคนก็มองว่าผมเป็นคนไร้สาระ ไม่มีสาระเลย หรือบางคนก็บอกว่าผมสาระเยอะเกินไป แต่อยู่ที่จะเจอเราในมุมไหนมากกว่า ส่วนใหญ่ก็เป็นตัวโจ๊ก สร้างความอารมณ์ดี ให้กับบุคคลที่พบเจอ
• ความอารมณ์ดีของคุณ ถือว่าเป็นการซื้อใจให้กับคนรอบข้างหรือเปล่า
ผมว่าคนที่อารมณ์ดี หรือว่ามองโลกในแง่ดี มันไม่ได้เป็นการซื้อใจหรอก แต่เป็นคนที่คนอื่นเขาต้องการน่ะครับ ซึ่งถ้าคนอื่นได้อยู่ใกล้แล้วมีความสุขและอารมณ์ดี ผมว่าคนเหล่านี้ เวลามองโลกในแง่ดีหรือเป็นคนที่อารมณ์ดีเนี่ย คนอื่นๆ ก็อยากจะให้อยู่ในกลุ่มด้วยกัน ชวนไปเที่ยวด้วยกัน เพราะเวลาไปเที่ยว ก็จะมีความสุข มีแต่เสียงเฮฮา หรือทำงานก็ทำงานด้วยกัน ก็จะเป็นการทำงานที่มีความสุข แต่ถ้าเป็นตัวผม น่าจะอยู่ในขั้นพอดีๆ ไม่ถึงขั้นโลกสวยหรือร่าเริงตลอดเวลา
• คือกำลังจะบอกว่า ก็มีช่วงเวลาจริงจังอยู่
อย่างเวลาการทำงานในวง หรือว่าการทำงานอื่นๆ เราก็จะมีพื้นฐานที่จะต้องทำ คือถ้าอันไหนทำไม่ได้ เราก็จำเป็นที่จะต้องใช้วิธีการทำงานแบบหัวหน้าเหมือนกัน แต่ว่าพอได้แล้ว การใช้ชีวิตอยู่ ผมก็จะใช้ชีวิตแบบอารมณ์ดี ไม่ต้องไปคิดมาก คือแยกกันได้ เราก็เคร่งเครียด เพื่อที่จะให้งานออกมาดีที่สุด แต่เวลาที่นอกเหนือจากการทำงาน การใช้ชีวิตงานร่วมกันของที่ทำงานร่วมกัน เราจะพยายามเติมสีสัน ความสดใสเข้าไปให้ เหมือนกับว่าไม่ให้คนรอบข้างเคร่งเครียดเกินไป
• คือเหมือนจะบอกว่า สามารถรับแรงกดดันได้ จากความอารมณ์ดี
ไม่นะครับ ผมว่าแรงกดดันนั้น มันมาในรูปแบบไหน จริงๆ ผมก็เป็นคนอารมณ์ร้อนนะ คือถ้ากดดันมามั่วซั่ว ก็พร้อมระเบิดได้เหมือนกัน ถ้าแบบด้วยเหตุผลที่มันดีไม่พอสำหรับการกดดันนั้น แต่ก็ไม่ได้แบบ ใครทำให้ผมโกรธได้ แล้วเป็นเรื่องใหญ่โต ไม่ใช่เลย ผมเป็นคนที่ใจร้อน แล้วก็บางทีโมโหเร็วเกินไปด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีเราก็ต้องพยายามบอกกับตัวเองไว้เหมือนกัน
คือด้วยความที่เราจะเอาเรื่องงานมาเป็นบรรทัดฐานปักไว้ก่อน เวลามีอะไรมากระทบกับงาน บางทีเราจะหงุดหงิด ซึ่งคนทำงานกับผมก็จะเข้าใจเลยว่า ถ้าเรื่องงานได้ เรื่องอื่นไม่มีปัญหาแล้ว
• มาที่เรื่องปากจัดบ้าง โดยภาพรวม ถือว่าอยู่ในระดับใด
มันก็เป็นปากจัดในระดับนึงนะ คือเราก็รู้นะครับ ว่าคนไหนควรเล่นหรือไม่ควรเล่น บางคนผู้ใหญ่หรือเด็ก เราก็จะมีกาลเทศะ ทำมาก่อน ไม่งั้นมันจะไม่ขำ บางทีเราไปเล่นกับคนโดยที่ไม่มีกาลเทศะ หรือไม่ดูรูปแบบงานอะไรอย่างงี้ เราจำเป็นจะต้องดูภาพรวมรอบๆ ด้วย เราก็ต้องดูว่า มันเป็นงานประมาณไหนด้วย หรือว่ามันอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เพราะถ้าอย่างบางครั้ง เราไปแซวไปหมดเนี่ย อย่างในงานแต่งงาน อย่างงี้ จริงๆ เราก็ไม่ควรที่จะไปแซวเขา ก็ต้องดูสถานการณ์ครับ
แต่จริงๆ มันก็ไม่มีใครถึงเลเวลถึงขั้นปากหมาหรอกครับ ผมเจอคนน้อยมากที่จะประมาณนั้น คือความหมามันต้องดูตามสถานการณ์ด้วยอ่ะ ที่เป็นแบบนั้น (ยิ้ม)
• เคยมีกรณีที่ความปากจัดของเรา ที่ให้ผู้สนทนาไม่ขำบ้างมั้ย
น้อยนะ แต่ก็มีบ้าง อย่างเช่นเรื่องฟุตบอลแบบ แมนยู-ลิเวอร์พูล อย่างเงี้ย คือวันไหนที่คู่แข่งแพ้มาแล้วเครียดๆ เนี่ย ถ้าเราไปแซว ก็จะมีค้อนแบบ “ไอ้ห่า เล่นกูซะแล้วมึง” หรือเรื่องการเมือง เรื่องความเชื่อ แล้วก็เรื่องฟุตบอลเนี่ย จริงๆแล้ว แซวยาก มันจะกลายเป็นดราม่าเลย (หัวเราะ)
หรือถ้าอีกฝั่งรู้สึกโกรธก็คงต้องโกรธนะ เราทำผิดเราก็ต้องขอโทษ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยเจอนะ มันไม่มี เพราะถ้าแซวบนพื้นฐานของความรู้สึกที่ดีต่อกัน คนไหนที่เรารู้สึกว่าหมั่นไส้เค้า เค้าหมั่นไส้เรา เราก็ไม่แซวไม่ต้องพูดถึง จะได้ไม่ต้องมีปัญหา
• คิดว่าข้อดี-ข้อเสีย ของผู้ชายปากจัด คืออะไรบ้าง
คนปากจัด แน่นอนต้องเป็นคนอารมณ์ดีนะ ถ้าปากจัดแล้วมันจะมีเสน่ห์ ถ้าคุณไม่ใช่คนอารมณ์ดีแล้วปากจัด มันจะกลายเป็นคนที่ไม่น่าเข้าใกล้ เป็นคนที่เต็มไปด้วยกระวีกระวาด แต่ถ้าข้อเสีย มันก็อยู่ที่ว่าคุณจะคำนวณสถานการณ์ได้แค่ไหน คุณจะรู้ได้ไงว่า วิธีการที่คุณใช้มันจะทำให้อีกคนนึงไม่เจ็บปวด บางครั้ง ต่อให้เป็นการพูดเล่นก็จริงนะ แต่ว่าอีกฝั่งหนึ่งก็จะรู้สึก “โห เล่นกูอย่างงี้เลยเหรอ” อะไรอย่างงี้ แต่ไม่ถึงขั้นจู้จี้ ขี้บ่น ครับ
• แล้วแบบปากเสียล่ะ
ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เรารู้สึก คือบางอย่างเราเห็นเรารู้สึก เราจะเก็บไว้ข้างใน แต่ของผมเวลารู้สึกอะไรอย่างเงี้ย ผมก็จะใช้วิธีพูดในรูปแบบของการกระทบกระเทียบบ้าง ประชดประชันบุคคลที่สามบ้าง ซึ่งเราจะพยายามให้อยู่ในระดับที่พูดถึงบุคคลที่สามในความรู้สึกดีๆ อยู่ เวลาเรากระทบใคร มันไม่ได้กระทบแบบเอาให้ตายหรือเจ็บปวดนะ คือเราก็หยอกให้เขาอารมณ์ดีน่ะ ไม่ใช่หยอกให้อารมณ์เสีย อันนี้ไม่ใช่ปากจัดแล้ว เป็นด่าเขาแล้วนะ (หัวเราะ)
• แน่นอนว่า ด้วยลักษณะท่าทางที่เป็น คงต้องมีการโดนสวนกลับบ้าง ส่วนตัวมีการแก้เกมยังไง
อันนี้เรื่องสำคัญเลยแหละ เพราะว่าในการที่เราจะเล่นสำบัดสำนวนกับใครนี่ เวลาเขาตีโต้กลับมา เราก็ต้องตีกลับไป เหมือนการเล่นเทนนิส มันถึงจะสนุกสนาน ไม่งั้น พอถึงเวลาที่โดนสวนกลับมา แล้วเราไปต่อไม่ได้ จริงๆ ไปต่อไม่ได้มันก็เป็นทางหนึ่งที่จะสนุกสนานนะครับ แต่ว่าถ้าคุณเป็นคนที่ฝึกการใช้คำพูด หรือฝึกความคิดอยู่เรื่อยๆ มันจะตอบโต้ได้อย่างอัตโนมัติ ก็พอมีทักษะในการตั้งรับอยู่
• แต่ถ้าเจอเรื่องร้ายมา ก็ยังยิ้มได้อยู่
ถ้าเป็นผม จะไม่เป็นนะครับ คือการเจอเรื่องร้ายมา มันต้องเสียใจ มันต้องเฮิร์ทอะไรอยู่แล้ว แต่ว่ามนุษย์เรา มันสามารถแบ่งสมองกับการใช้ชีวิตปกติได้ แค่เราไม่ไปคิดกับมัน เช่น ตอนที่พ่อผมเสีย ผมก็ยังทำงานได้ เพราะเราถูกวางอยู่ในมุมของคนที่มอบความสุขให้คนอื่น
อย่างส่วนที่มันเป็นความเจ็บปวด เราสามารถพักมันได้ แล้วขึ้นไปบนเวที พอเราเริ่มต้นในสิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นแง่บวกแล้ว มันเป็นสิ่งที่เยียวยาตัวเราเองด้วย แต่ไม่ได้ฝืนกดมันไว้ ถ้ายิ้มทั้งน้ำตา มันคือการกดใช่มั้ย กดความรู้สึกตัวเอง แล้วก็พยายามแสดงออกให้มันกลายเป็นยิ้มอ่ะ แต่ผมไม่ได้กดนะ ผมแค่พักไว้ที่อีกที่นึง คล้ายๆ หยุดชั่วคราว
• โดยสรุปแล้ว คิดว่าตัวเองเป็นคนอารมณ์ดีประมาณไหน
ผมไม่เคยวิเคราะห์นะ แล้วเราก็รู้สึกว่าไม่ต้องวิเคราะห์ด้วยไง มันไม่รู้อะไรมาวัด วัดยาก คือต้องไปถามคนดูนะ ว่าเขาได้ประมาณไหน ถ้าให้มานั่งบอกเองว่าเราประมาณไหน มันยากมากเลย คือมันเป็นเรื่องที่เราบอกตัวเองไม่ได้หรอก ต้องให้คนอื่นบอก เหมือนเราเล่นฟุตบอล เราก็ทำหน้าที่ของเราปกติไป แล้วก็ให้คนดูให้เกรดเองว่าจะให้เท่าไหร่ คือมันเป็นธรรมดาของโลกน่ะ ที่จะมีการให้คะแนนเรา บวกหรือลบ คือเราทำมา มันไม่มีทางที่คนจะชอบเราหรือเกลียดเราได้ตลอด มันก็มีสัดส่วน ซึ่งหากเราเล่นแล้ว คนส่วนใหญ่โอเค เราก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ขอบคุณภาพประกอบจาก M39
ในอีกภาพหนึ่งที่เราคุ้นตา หนุ่มคนนี้ ก็มีความอารมณ์ดี ความปากจัด หรือ ความกวนตีน (ในการแสดง) ออกมาให้เราเห็นอยู่ประจำ ทั้งในยามแสดงคอนเสิร์ตตามที่ต่างๆ ไม่ว่าจะงานเล็กหรืองานใหญ่ เรียกเสียงฮาและรอยยิ้ม ให้กับผู้ชม ได้มีความสุขกันไป
แต่ด้วยบุคลิกที่กล่าวมาข้างต้น แน่นอนว่า อาจจะมีคนชอบเพราะเป็นการสร้างรอยยิ้ม และหมั่นไส้เพราะความกวนโอ๊ยในยามแสดงได้ในคราเดียวกัน จนสามารถแบ่งข้างได้ ตามกฎแห่งเหรียญที่ต้องมีสองด้าน แต่อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงเรียงนามและความสามารถของผู้ชายหุ่นท้วมคนนี้ ก็ทำให้เขามี “งานเข้า” อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง กระทั่งเราเอง ยังต้องขอเจียดเวลาไม่กี่นาที เพื่อสนทนากับผู้ชายปากร้ายอารมณ์ดีคนนี้...
• บทบาททางการแสดงเรื่องใหม่ (รับบท โบ้ ในภาพยนตร์เรื่อง ‘รักหมดแก้ว เลิฟออนเดอะร็อก’) ดูใกล้เคียงกับบุคลิกจริงก็ว่าได้
อาจจะเรียกอย่างนั้นก็ได้ครับ เพราะตัวบทจะเป็นคนที่แบบเป็นพี่ใหญ่หน่อย เป็นรุ่นใหญ่ของแก๊งเหล้า แต่ก็ไม่ค่อยได้แก้ปัญหาให้ใครเขาหรอก เป็นตัวสร้างปัญหา กวนโอ๊ย กวนเท้า เป็นตัวเอนเตอร์เทนอย่างเดียว ตัวพากินเหล้า ไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนนี้มีปัญหากับคนนี้ หรือมีปัญหากับคนนั้น เราจะไม่สนใจเรื่องนั้นเลย เราจะแบบไปทางกินเหล้าอย่างเดียว แต่ที่ไม่เหมือนในคาแรกเตอร์ คือ ผมกินเหล้าไม่เป็นครับ (หัวเราะ)
• หากมองจากลักษณะภายนอกแล้ว อาจจะดูขัดแย้ง กับ “ความอารมณ์ดี” เลยนะ
ผมคิดว่า ตัวผมก็เป็นคนปกติที่มีมีหลากหลายบุคลิกอยู่นะครับ คือบางคนเขาก็บอกว่าผมเป็นคนน่ากลัวมาก หรือบางคนก็มองว่าผมเป็นคนไร้สาระ ไม่มีสาระเลย หรือบางคนก็บอกว่าผมสาระเยอะเกินไป แต่อยู่ที่จะเจอเราในมุมไหนมากกว่า ส่วนใหญ่ก็เป็นตัวโจ๊ก สร้างความอารมณ์ดี ให้กับบุคคลที่พบเจอ
• ความอารมณ์ดีของคุณ ถือว่าเป็นการซื้อใจให้กับคนรอบข้างหรือเปล่า
ผมว่าคนที่อารมณ์ดี หรือว่ามองโลกในแง่ดี มันไม่ได้เป็นการซื้อใจหรอก แต่เป็นคนที่คนอื่นเขาต้องการน่ะครับ ซึ่งถ้าคนอื่นได้อยู่ใกล้แล้วมีความสุขและอารมณ์ดี ผมว่าคนเหล่านี้ เวลามองโลกในแง่ดีหรือเป็นคนที่อารมณ์ดีเนี่ย คนอื่นๆ ก็อยากจะให้อยู่ในกลุ่มด้วยกัน ชวนไปเที่ยวด้วยกัน เพราะเวลาไปเที่ยว ก็จะมีความสุข มีแต่เสียงเฮฮา หรือทำงานก็ทำงานด้วยกัน ก็จะเป็นการทำงานที่มีความสุข แต่ถ้าเป็นตัวผม น่าจะอยู่ในขั้นพอดีๆ ไม่ถึงขั้นโลกสวยหรือร่าเริงตลอดเวลา
• คือกำลังจะบอกว่า ก็มีช่วงเวลาจริงจังอยู่
อย่างเวลาการทำงานในวง หรือว่าการทำงานอื่นๆ เราก็จะมีพื้นฐานที่จะต้องทำ คือถ้าอันไหนทำไม่ได้ เราก็จำเป็นที่จะต้องใช้วิธีการทำงานแบบหัวหน้าเหมือนกัน แต่ว่าพอได้แล้ว การใช้ชีวิตอยู่ ผมก็จะใช้ชีวิตแบบอารมณ์ดี ไม่ต้องไปคิดมาก คือแยกกันได้ เราก็เคร่งเครียด เพื่อที่จะให้งานออกมาดีที่สุด แต่เวลาที่นอกเหนือจากการทำงาน การใช้ชีวิตงานร่วมกันของที่ทำงานร่วมกัน เราจะพยายามเติมสีสัน ความสดใสเข้าไปให้ เหมือนกับว่าไม่ให้คนรอบข้างเคร่งเครียดเกินไป
• คือเหมือนจะบอกว่า สามารถรับแรงกดดันได้ จากความอารมณ์ดี
ไม่นะครับ ผมว่าแรงกดดันนั้น มันมาในรูปแบบไหน จริงๆ ผมก็เป็นคนอารมณ์ร้อนนะ คือถ้ากดดันมามั่วซั่ว ก็พร้อมระเบิดได้เหมือนกัน ถ้าแบบด้วยเหตุผลที่มันดีไม่พอสำหรับการกดดันนั้น แต่ก็ไม่ได้แบบ ใครทำให้ผมโกรธได้ แล้วเป็นเรื่องใหญ่โต ไม่ใช่เลย ผมเป็นคนที่ใจร้อน แล้วก็บางทีโมโหเร็วเกินไปด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีเราก็ต้องพยายามบอกกับตัวเองไว้เหมือนกัน
คือด้วยความที่เราจะเอาเรื่องงานมาเป็นบรรทัดฐานปักไว้ก่อน เวลามีอะไรมากระทบกับงาน บางทีเราจะหงุดหงิด ซึ่งคนทำงานกับผมก็จะเข้าใจเลยว่า ถ้าเรื่องงานได้ เรื่องอื่นไม่มีปัญหาแล้ว
• มาที่เรื่องปากจัดบ้าง โดยภาพรวม ถือว่าอยู่ในระดับใด
มันก็เป็นปากจัดในระดับนึงนะ คือเราก็รู้นะครับ ว่าคนไหนควรเล่นหรือไม่ควรเล่น บางคนผู้ใหญ่หรือเด็ก เราก็จะมีกาลเทศะ ทำมาก่อน ไม่งั้นมันจะไม่ขำ บางทีเราไปเล่นกับคนโดยที่ไม่มีกาลเทศะ หรือไม่ดูรูปแบบงานอะไรอย่างงี้ เราจำเป็นจะต้องดูภาพรวมรอบๆ ด้วย เราก็ต้องดูว่า มันเป็นงานประมาณไหนด้วย หรือว่ามันอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เพราะถ้าอย่างบางครั้ง เราไปแซวไปหมดเนี่ย อย่างในงานแต่งงาน อย่างงี้ จริงๆ เราก็ไม่ควรที่จะไปแซวเขา ก็ต้องดูสถานการณ์ครับ
แต่จริงๆ มันก็ไม่มีใครถึงเลเวลถึงขั้นปากหมาหรอกครับ ผมเจอคนน้อยมากที่จะประมาณนั้น คือความหมามันต้องดูตามสถานการณ์ด้วยอ่ะ ที่เป็นแบบนั้น (ยิ้ม)
• เคยมีกรณีที่ความปากจัดของเรา ที่ให้ผู้สนทนาไม่ขำบ้างมั้ย
น้อยนะ แต่ก็มีบ้าง อย่างเช่นเรื่องฟุตบอลแบบ แมนยู-ลิเวอร์พูล อย่างเงี้ย คือวันไหนที่คู่แข่งแพ้มาแล้วเครียดๆ เนี่ย ถ้าเราไปแซว ก็จะมีค้อนแบบ “ไอ้ห่า เล่นกูซะแล้วมึง” หรือเรื่องการเมือง เรื่องความเชื่อ แล้วก็เรื่องฟุตบอลเนี่ย จริงๆแล้ว แซวยาก มันจะกลายเป็นดราม่าเลย (หัวเราะ)
หรือถ้าอีกฝั่งรู้สึกโกรธก็คงต้องโกรธนะ เราทำผิดเราก็ต้องขอโทษ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยเจอนะ มันไม่มี เพราะถ้าแซวบนพื้นฐานของความรู้สึกที่ดีต่อกัน คนไหนที่เรารู้สึกว่าหมั่นไส้เค้า เค้าหมั่นไส้เรา เราก็ไม่แซวไม่ต้องพูดถึง จะได้ไม่ต้องมีปัญหา
• คิดว่าข้อดี-ข้อเสีย ของผู้ชายปากจัด คืออะไรบ้าง
คนปากจัด แน่นอนต้องเป็นคนอารมณ์ดีนะ ถ้าปากจัดแล้วมันจะมีเสน่ห์ ถ้าคุณไม่ใช่คนอารมณ์ดีแล้วปากจัด มันจะกลายเป็นคนที่ไม่น่าเข้าใกล้ เป็นคนที่เต็มไปด้วยกระวีกระวาด แต่ถ้าข้อเสีย มันก็อยู่ที่ว่าคุณจะคำนวณสถานการณ์ได้แค่ไหน คุณจะรู้ได้ไงว่า วิธีการที่คุณใช้มันจะทำให้อีกคนนึงไม่เจ็บปวด บางครั้ง ต่อให้เป็นการพูดเล่นก็จริงนะ แต่ว่าอีกฝั่งหนึ่งก็จะรู้สึก “โห เล่นกูอย่างงี้เลยเหรอ” อะไรอย่างงี้ แต่ไม่ถึงขั้นจู้จี้ ขี้บ่น ครับ
• แล้วแบบปากเสียล่ะ
ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เรารู้สึก คือบางอย่างเราเห็นเรารู้สึก เราจะเก็บไว้ข้างใน แต่ของผมเวลารู้สึกอะไรอย่างเงี้ย ผมก็จะใช้วิธีพูดในรูปแบบของการกระทบกระเทียบบ้าง ประชดประชันบุคคลที่สามบ้าง ซึ่งเราจะพยายามให้อยู่ในระดับที่พูดถึงบุคคลที่สามในความรู้สึกดีๆ อยู่ เวลาเรากระทบใคร มันไม่ได้กระทบแบบเอาให้ตายหรือเจ็บปวดนะ คือเราก็หยอกให้เขาอารมณ์ดีน่ะ ไม่ใช่หยอกให้อารมณ์เสีย อันนี้ไม่ใช่ปากจัดแล้ว เป็นด่าเขาแล้วนะ (หัวเราะ)
• แน่นอนว่า ด้วยลักษณะท่าทางที่เป็น คงต้องมีการโดนสวนกลับบ้าง ส่วนตัวมีการแก้เกมยังไง
อันนี้เรื่องสำคัญเลยแหละ เพราะว่าในการที่เราจะเล่นสำบัดสำนวนกับใครนี่ เวลาเขาตีโต้กลับมา เราก็ต้องตีกลับไป เหมือนการเล่นเทนนิส มันถึงจะสนุกสนาน ไม่งั้น พอถึงเวลาที่โดนสวนกลับมา แล้วเราไปต่อไม่ได้ จริงๆ ไปต่อไม่ได้มันก็เป็นทางหนึ่งที่จะสนุกสนานนะครับ แต่ว่าถ้าคุณเป็นคนที่ฝึกการใช้คำพูด หรือฝึกความคิดอยู่เรื่อยๆ มันจะตอบโต้ได้อย่างอัตโนมัติ ก็พอมีทักษะในการตั้งรับอยู่
• แต่ถ้าเจอเรื่องร้ายมา ก็ยังยิ้มได้อยู่
ถ้าเป็นผม จะไม่เป็นนะครับ คือการเจอเรื่องร้ายมา มันต้องเสียใจ มันต้องเฮิร์ทอะไรอยู่แล้ว แต่ว่ามนุษย์เรา มันสามารถแบ่งสมองกับการใช้ชีวิตปกติได้ แค่เราไม่ไปคิดกับมัน เช่น ตอนที่พ่อผมเสีย ผมก็ยังทำงานได้ เพราะเราถูกวางอยู่ในมุมของคนที่มอบความสุขให้คนอื่น
อย่างส่วนที่มันเป็นความเจ็บปวด เราสามารถพักมันได้ แล้วขึ้นไปบนเวที พอเราเริ่มต้นในสิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นแง่บวกแล้ว มันเป็นสิ่งที่เยียวยาตัวเราเองด้วย แต่ไม่ได้ฝืนกดมันไว้ ถ้ายิ้มทั้งน้ำตา มันคือการกดใช่มั้ย กดความรู้สึกตัวเอง แล้วก็พยายามแสดงออกให้มันกลายเป็นยิ้มอ่ะ แต่ผมไม่ได้กดนะ ผมแค่พักไว้ที่อีกที่นึง คล้ายๆ หยุดชั่วคราว
• โดยสรุปแล้ว คิดว่าตัวเองเป็นคนอารมณ์ดีประมาณไหน
ผมไม่เคยวิเคราะห์นะ แล้วเราก็รู้สึกว่าไม่ต้องวิเคราะห์ด้วยไง มันไม่รู้อะไรมาวัด วัดยาก คือต้องไปถามคนดูนะ ว่าเขาได้ประมาณไหน ถ้าให้มานั่งบอกเองว่าเราประมาณไหน มันยากมากเลย คือมันเป็นเรื่องที่เราบอกตัวเองไม่ได้หรอก ต้องให้คนอื่นบอก เหมือนเราเล่นฟุตบอล เราก็ทำหน้าที่ของเราปกติไป แล้วก็ให้คนดูให้เกรดเองว่าจะให้เท่าไหร่ คือมันเป็นธรรมดาของโลกน่ะ ที่จะมีการให้คะแนนเรา บวกหรือลบ คือเราทำมา มันไม่มีทางที่คนจะชอบเราหรือเกลียดเราได้ตลอด มันก็มีสัดส่วน ซึ่งหากเราเล่นแล้ว คนส่วนใหญ่โอเค เราก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ขอบคุณภาพประกอบจาก M39