นักวิชาการทรัพยากรฯ ไม่เชื่อ “เสี่ยนพพร” รวยจากพลังงานลม หลังเปิดฟาร์มกังหันเพียง 2 ปี ยันไม่ใช่ธุรกิจที่ได้กำไรสูง ต้องใช้เวลา 6 - 7 ปี จึงจะคุ้มทุน แต่ที่รวยน่าจะมาจากการขายโควตาการขายไฟฟ้าที่มีอยู่หลายร้อยเมกะวัตต์ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย
วันที่ 10 ธ.ค. เวลา 13.39 น. นายเดชรัตน์ สุขกำเนิด อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว วิเคราะห์ธุรกิจพลังงานลมของ นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด หนึ่งในผู้ต้องหาซึ่งอยู่ในเครือข่ายของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยตั้งข้อสังเกตว่าพลังงานลมไม่ใช่ธุรกิจที่ได้กำไรสูง พร้อมจับผิดทำไมโครงการพลังงานลมของเสี่ยนพพร จึงทำให้เสี่ยนพพรร่ำรวยมหาศาล แล้วพลังงานลมในประเทศไทยบูมขนาดนั้นจริงหรือไม่
นายเดชรัตน์ ระบุว่า ในช่วง 2 ปีหลังนี้ กำลังการผลิตติดตั้งของพลังงานลมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 7 เมกะวัตต์ ในปี พ.ศ. 2554 ขึ้นมาเป็นระดับ 223 เมกะวัตต์ ในปี พ.ศ. 2556 และ 310 เมกะวัตต์ ในปีนี้ แต่หากเทียบกับพลังงานแสงอาทิตย์แล้ว พลังงานลมถือว่า ยังอยู่ในขั้นเตาะแตะ เพราะในช่วงเวลาเดียวกันคือ ปลายปี พ.ศ. 2556 กำลังการผลิตติดตั้งของพลังงานแสงอาทิตย์ขึ้นมาที่ 824 เมกะวัตต์แล้ว และเมื่อถึงปัจจุบัน กำลังการผลิตติดตั้งของพลังงานแสงอาทิตย์ก็มาถึง 1,684 เมกะวัตต์ เพราะฉะนั้น หากจะเรียกว่าพลังงานลมอยู่ในช่วงบูมก็คงไม่ถูกนัก
นายเดชรัตน์ บอกอีกว่า ถ้าเทียบกับพลังงานหมุนเวียนทั้งหมด ซึ่งมีกำลังการผลิตมากกว่า 4,300 เมกะวัตต์ ในปัจจุบัน พลังงานลมก็มีสัดส่วนเพียงไม่ถึงร้อยละ 10 เท่านั้น พระเอกตัวจริงยังเป็นชีวมวล และดาวรุ่งพุ่งแรงคือ พลังงานแสงอาทิตย์
แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ กำลังการผลิตติดตั้งของพลังงานลมมีการกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ภาคอีสานเท่านั้น และมีจำนวนผู้ผลิตเพียง 4 ราย ในขณะที่กำลังการผลิตติดตั้งของพลังงานแสงอาทิตย์มีกระจายไปแทบทุกภาค (ยกเว้นใน กทม.และภาคใต้ที่ยังมีน้อยหน่อย) และมีผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มากกว่า 300 ราย
เมื่อค้นข้อมูลลึกลงไปพบว่า เสี่ยนพพรเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทพลังงานลมรายใหญ่ที่สุดของไทย ทั้งในแง่ของกำลังการผลิตติดตั้งในปัจจุบันและกำลังการผลิตที่มีการทำสัญญาซื้อขายไว้แล้ว (กำลังการผลิตที่ทำสัญญาซื้อขายไว้รวมทั้งหมดมีเกือบ 2,000 เมกะวัตต์ เป็นของบริษัทที่นายนพพรถือหุ้นประมาณ 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมด) ดังนั้น จึงเรียกได้ว่า บริษัทนี้เป็นยักษ์ใหญ่แห่งพลังงานลมเลยทีเดียว
นายเดชรัตน์ กล่าวต่อว่า แต่พลังงานลมไม่ใช่ธุรกิจที่ได้กำไรสูงนัก เพราะพลังงานลมได้การอุดหนุนจากผู้ใช้ไฟฟ้าผ่านระบบ Adder 3.50 บาท/หน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานแล้วก็จะประมาณ 7 บาท/หน่วยเท่านั้น เทียบกับเงินลงทุน 70 - 90 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ ถือว่า ไม่ใช่ธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูงและเร็ว กว่าจะคุ้มทุนก็ต้องอย่างน้อย 6 - 7 ปี เมื่อเทียบกับพลังงานแสงอาทิตย์ที่ได้รับ Adder มากกว่าถือว่า พลังงานแสงอาทิตย์น่าลงทุนมากกว่า
“ดังนั้น หากจะสรุปว่า เสี่ยนพพรรวยจากพลังงานลม ทั้งที่ฟาร์มกังหันลมเพิ่งเปิดเพียง 2 ปี จึงไม่น่าจะเป็นไปได้” นายเดชรัตน์ ย้ำ
อย่างไรก็ดี มีผู้ชี้ว่า สิ่งที่สร้างความร่ำรวยให้นายนพพร คือ โควตาการขายไฟฟ้าจากพลังงานลมที่มีอยู่หลายร้อยเมกะวัตต์ และคนถือใบจองก็มีอยู่เพียงไม่กี่ราย ใบจองหรือโควต้าเหล่านั้นจึงเริ่มมีมูลค่าในตัวของมันเอง (โดยยังไม่จำเป็นต้องติดตั้งกังหันลม) มีข่าวลือว่า ราคาของโควตาอยู่ที่ 10 - 20 ล้านบาท/เมกะวัตต์ เพราะฉะนั้น หากมีใบจองไว้ 700 เมกะวัตต์ ก็อาจจะขายได้ 700 - 1,400 ล้านบาท เลยทีเดียว โดยที่ไม่ต้องทำอะไร
นายเดชรัตน์ บอกว่า สิ่งเหล่านี้ มิได้เกิดขึ้นจากตัวนายนพพรเอง แต่เกิดขึ้นจากการกำหนดนโยบาย ที่ออกแบบให้เกิดผลประโยชน์ส่วนเกินกับผู้ได้โควตา ซึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ผู้กำหนดนโยบายของเราชอบทำให้มี “มูลค่าส่วนเกิน” เกิดขึ้น และคนที่ถือมูลค่าส่วนเกินไว้คงมิได้มีนายนพพรเพียงคนเดียว
รายละเอียดข้อความในเฟซบุ๊ก “Decharut Sukkumnoed”
“ผมไม่เคยคิดว่า กรณีของเสี่ยนพพร มหาเศรษฐีชื่อดังของไทยที่กำลังถูกตามจับ จะมาเกี่ยวพันอะไรกับชีวิตผม”
จนกระทั่ง มีนักข่าวหลายท่านเริ่มมา โทร. มาขอสัมภาษณ์ว่า ทำไมโครงการพลังงานลมของเสี่ยนพพร จึงทำให้เสี่ยนพพรร่ำรวยทำไมโครงการพลังงานลมของเสี่ยนพพร จึงทำให้เสี่ยนพพรร่ำรวยมหาศาล แล้วพลังงานลมในประเทศไทยมันบูมขนาดนั้นจริงหรือไม่? ชีวิตของผมเลยต้องมาเกี่ยวข้องกับเสี่ยนพพร จนผมต้องขอชี้แจงผ่านสื่อดังนี้ครับ”
เรามาเริ่มกันที่ข้อมูลกำลังการผลิตของพลังงานลมกันก่อนนะครับ ในช่วง 2 ปีหลังนี้ กำลังการผลิตติดตั้งของพลังงานลมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 7 เมกะวัตต์ ในปี พ.ศ. 2554 ขึ้นมาเป็นระดับ 223 เมกะวัตต์ในปี พ.ศ. 2556 และ 310 เมกะวัตต์ ในปีนี้ครับ"
แม้ว่าจะดูเหมือนการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่หากเทียบกับพลังงานแสงอาทิตย์แล้ว พลังงานลมถือว่า ยังอยู่ในขั้นเตาะแตะครับ เพราะในช่วงเวลาเดียวกันคือ ปลายปี พ.ศ. 2556 กำลังการผลิตติดตั้งของพลังงานแสงอาทิตย์ก็ขึ้นมาที่ 824 เมกะวัตต์แล้ว และเมื่อถึงปัจจุบัน กำลังการผลิตติดตั้งของพลังงานแสงอาทิตย์ก็มาถึง 1,684 เมกะวัตต์แล้ว เพราะฉะนั้น หากจะเรียกว่าพลังงานลมอยู่ในช่วงบูมก็คงไม่ถูกนัก
ถ้าเทียบกับพลังงานหมุนเวียนทั้งหมด ซึ่งมีกำลังการผลิตมากกว่า 4,300 เมกะวัตต์ในปัจจุบัน พลังงานลมก็มีสัดส่วนเพียงไม่ถึงร้อยละ 10 เท่านั้นครับ พระเอกตัวจริงยังเป็นชีวมวล และดาวรุ่งพุ่งแรงคือ พลังงานแสงอาทิตย์ครับ"
แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ กำลังการผลิตติดตั้งของพลังงานลมมีการกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ภาคอีสานเท่านั้น และมีจำนวนผู้ผลิตเพียง 4 รายเท่านั้น ในขณะที่กำลังการผลิตติดตั้งของพลังงานแสงอาทิตย์มีกระจายไปแทบทุกภาค (ยกเว้นใน กทม.และภาคใต้ที่ยังมีน้อยหน่อย) และมีผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มากกว่า 300 รายในปัจจุบัน"
การกระจุกตัวของพลังงานลมจึงเป็นเรื่องน่าแปลก แต่เมื่อค้นข้อมูลลึกลงไปจึงพบว่า เสี่ยนพพรเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทพลังงานลมรายใหญ่ที่สุดของไทย ทั้งในแง่ของกำลังการผลิตติดตั้งในปัจจุบันและกำลังการผลิตที่มีการทำสัญญาซื้อขายไว้แล้ว (กำลังการผลิตที่ทำสัญญาซื้อขายไว้รวมทั้งหมดมีเกือบ 2,000 เมกะวัตต์ เป็นของบริษัทที่คุณนพพรถือหุ้นประมาณ 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมด) ดังนั้น จึงเรียกได้ว่า บริษัทนี้เป็นยักษ์ใหญ่แห่งพลังงานลมเลยทีเดียว
แต่พลังงานลมไม่ใช่ธุรกิจที่ได้กำไรสูงนัก เพราะพลังงานลมได้การอุดหนุนจากผู้ใช้ไฟฟ้าผ่านระบบ Adder 3.50 บาท/หน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานแล้วก็จะประมาณ 7 บาท/หน่วยเท่านั้น เทียบกับเงินลงทุน 70 - 90 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ ถือว่า ไม่ใช่ธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูงและเร็ว กว่าจะคุ้มทุนก็ต้องอย่างน้อย 6 - 7 ปี เมื่อเทียบกับพลังงานแสงอาทิตย์ที่ได้รับ Adder มากกว่าถือว่า พลังงานแสงอาทิตย์น่าลงทุนมากกว่า
นี่ยังไม่นับรวมประเด็นเรื่อง การเลือกสถานที่ตั้ง เพราะจุดที่มีลมดีนั้นมีจำกัด และต้องซื้อหรือเช่าที่ดินในการติดตั้งกังหันลม แต่พลังงานแสงอาทิตย์สามารถติดตั้งได้ทั่วไปทั้งประเทศ และสามารถใช้หลังคาอาคารบ้านเรือนในการติดตั้งได้
ดังนั้น หากจะสรุปว่า เสี่ยนพพรรวยจากพลังงานลม ทั้งที่ฟาร์มกังหันลมเพิ่งเปิดเพียง 2 ปีจึงไม่น่าจะเป็นไปได้"
อย่างไรก็ดี มีผู้ชี้ว่า สิ่งที่สร้างความร่ำรวยให้กับเสี่ยนพพรคือ โควตาการขายไฟฟ้าจากพลังงานลมที่มีอยู่หลายร้อยเมกะวัตต์ อันนี้เป็นไปได้ เพราะระบบการรับซื้อไฟฟ้าของไทยนั้นแปลก แทนที่ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจะสามารถลงทุน ผลิต และขายเข้าระบบได้ทั่วไป กลับเป็นระบบที่ต้องมี “ใบจอง” หรือ “โควตา” ไว้ก่อน จึงจะสามารถขายไฟฟ้าเข้าระบบได้
และเมื่อโควตามีจำกัด (ในกรณีพลังงานลม กระทรวงพลังงานบอกว่าเต็มแล้ว) และคนถือใบจองก็มีอยู่เพียงไม่กี่ราย ใบจองหรือโควตาเหล่านั้นจึงเริ่มมีมูลค่าในตัวของมันเอง (โดยยังไม่จำเป็นต้องติดตั้งกังหันลม) มีข่าวลือว่า ราคาของโควตาอยู่ที่ 10-20 ล้านบาท/เมกะวัตต์ เพราะฉะนั้น หากมีใบจองไว้ 700 เมกะวัตต์ ก็อาจจะขายได้ 700-1,400 ล้านบาท เลยทีเดียว โดยที่ไม่ต้องทำอะไร
แต่เมื่อมองในมุมกลับ มูลค่าเงินมหาศาลนี้ก็จะกลายเป็นต้นทุนให้กับผู้ซื้อโควตาและต้องการจะลงทุนในพลังงานลมจริงๆ
สิ่งเหล่านี้ มิได้เกิดขึ้นจากตัวเสี่ยนพพรเอง แต่เกิดขึ้นจากการกำหนดนโยบาย ที่ออกแบบให้เกิดผลประโยชน์ส่วนเกินกับผู้ได้โควตา ซึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย เพราะฉะนั้น เพียงแค่เราเลิกระบบโควตาไป ผลประโยชน์ส่วนเกินนี้ก็จะหายไปด้วย แต่หากบริษัทของเสี่ยนพพรประสงค์จะทำฟาร์มกังหันลมต่อตามโควต้าที่ถือไว้ก็ย่อมทำได้ เพียงแต่ตัวโควตามิใช่ของหายากอีกต่อไป (เพราะใครๆ ก็ทำได้) เพราะฉะนั้น มูลค่าส่วนเกินของโควตาก็จะหมดไป เหลือเพียงแต่มูลค่าจากพลังงานลมที่แท้จริงเท่านั้นครับ
เสียดายที่ผู้กำหนดนโยบายของเราชอบทำให้มี “มูลค่าส่วนเกิน” เกิดขึ้นครับ และคนที่ถือมูลค่าส่วนเกินไว้คงมิได้มีเสี่ยนพพรเพียงคนเดียวครับ
ผมกับเสี่ยนพพรจึงเกี่ยวข้องกันเพียงเท่านี้ครับ ขออนุญาตชี้แจงผ่านสื่อด้วยครับ ปิดการแถลงข่าวครับ"