xs
xsm
sm
md
lg

“เสี่ยนพพร” ร่อน จม.ครวญตกเป็นเหยื่อ ยันเคลียร์หนี้ “บัณฑิต” แล้ว-แฉกลับโดนขูดรีดนับร้อยล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการ - “นพพร” ร่อน จม. เปิดผนึกผ่านเฟซบุ๊กนักข่าวสกอตแลนด์ ผู้เขียนหนังสือต้องห้าม ครวญตกเป็นเหยื่อและถูกป้ายสี แถมโดนขูดรีด ยันเคลียร์หนี้ “บัณฑิต” ตั้งแต่ปี 55 แต่ถูกข่มขู่เรียกเงินมาตลอด มี “เสธ.เจี๊ยบ” เป็นตัวกลาง ล่าสุด ยอมจ่าย 120 ล้าน เมื่อ 20 ก.ค. แต่ถูก เสธ.เจี๊ยบ เรียกอีก 25 ล้าน ซัด เสธ.เจี๊ยบ ตัวการ สั่ง “พี่น้อง อัครพงศ์ปรีชา” บีบ “บัณฑิต” รับแค่ 20 ล้าน เผยเข้าให้ปากคำ สน.วัดพระยาไกร แล้ว เมื่อ 29 พ.ย. แต่เห็นพิรุธ หวั่นไม่ปลอดภัยต้องหนีออกนอกประเทศ

วันนี้ (7 ธ.ค.) เมื่อเวลา 08.46 น. ในเฟซบุ๊กส่วนตัวของนาย Andrew Macgregor Marshall นักข่าวชาวสกอตแลนด์ ผู้เขียนหนังสือ A Kingdom in Crisis ที่ถูกห้ามจำหน่ายในประเทศไทย เนื่องจากมีเนื้อหาไม่เหมาะสม ได้มีการโพสต์ข้อความจดหมายเปิดผนึกและภาพ นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (Wind Energy Holding (WEH) มหาเศรษฐีหนุ่มหมื่นล้าน ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในข้อหาหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และกรรโชกทรัพย์ กรณีให้ 3 พี่น้องอดีตนามสกุล “อัครพงศ์ปรีชา” ขู่กรรโชกให้ นายบัณฑิต โชติวิทยะกุล ซึ่งเป็นเพื่อนกัน ลดหนี้ลงจาก 120 ล้านบาท ให้เหลือ 20 ล้านบาท และขณะนี้นายนพพรอยู่ระหว่างการหลบหนีในต่างประเทศ

จดหมายเปิดผนึกดังกล่าวมีข้อความว่า

“เรียน ท่านบรรณาธิการข่าวและสื่อมวลชน
เรื่อง กระผม (นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ) ผู้ตกเป็นเหยื่อ

สืบเนื่องจากการมีข่าวของกระผม นพพร ศุภพิพัฒน์ เข้าไปเกี่ยวพันกับข่าวการเจรจาหนี้ ที่เป็นคดีสำคัญ และถูกกล่าวหาว่าใช้จ้างวานให้สามพี่น้องอัครพงษ์ปรีชาไปอุ้มตัวนายบัณฑิตมา เพื่อบีบให้ลดหนี้จำนวน 120 ล้านบาท เหลือ 20 ล้านบาท จนต่อมาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อหาต่างๆ รวมถึงความผิดตาม ม.112 ความตามที่ท่านทราบแล้วนั้น ตามความเป็นจริงแล้ว กระผมคือผู้ตกเป็นเหยื่อผู้ถูกใส่ร้ายป้ายสีและขูดรีด กระผมไม่มีที่พึ่งอื่นใดนอกจากท่านสื่อมวลชนเท่านั้นที่จะให้ความยุติธรรมกับผมได้ และสื่อสารความจริงสู่สังคมและสาธารณชน

เพื่อความกระจ่างในคดีนี้ผมใคร่ขอเรียนชี้แจงอย่างไม่กลัวอิทธิพลใดๆ ดังนี้

1. กระผมไม่ได้เป็นลูกหนี้นายบัณฑิต

ในความเป็นจริงแล้วกระผมถูกขูดรีดจากนายบัณฑิตเสมอมา ความเดิมคือกระผมกับนายบัณฑิต และเพื่อนอีก 2 คนร่วมกันลงในทุนใน บริษัทชื่อ กริฟฟอน อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง โดยกระผมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 40% ในปี 2543 กระผมได้ยืมเงินจากบริษัทดังกล่าว โดยลงบัญชีเป็นลูกหนี้เงินกู้ยืมบริษัทเป็นเงินประมาณ 17 ล้านบาท แต่ผู้ถือหุ้น 3 คน รวมทั้งบัณฑิตไม่เห็นว่าเป็นการกู้ยืมจึงไปแจ้งความดำเนินคดีกระผมในข้อหายักยอกทรัพย์ กระผมจึงได้ชำระเงินคืนบริษัท ในรูปของการชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ของบริษัท (ซึ่งเป็นสถาบันการเงิน) จำนวน 8.9 ล้านบาท แทนบริษัทในปี 2547 และในปี 2555 กระผมชำระคืนบริษัทอีก 17 ล้านบาท โดยใด้ไปทำยอมความกันที่ศาลฎีกาในเดือนเมษายน 2555 โดยในหนังสือถอนคำร้องทุกข์ระบุชัดเจนว่าผมชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัทจนครบถ้วนแล้ว และผู้ถือหุ้นอื่นๆ ต่างก็ไม่ติดใจเอาความอีกต่อไป (หลักฐานปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และคำขอถอนคำร้องทุกข์ พร้อมเอกสารประกอบ เดือนเมษายน 2555 ซึ่งมีสำเนาอยู่ที่ทนายความของกระผมสองคน คือ นายวิชานนท์ วิมลสังข์ และ นายพิษณุ พานิชสุข ส่วนเอกสารตัวจริงอยู่ที่ศาลฎีกาและสามารถไปคัดถ่ายได้กรณีทนายทำสูญหาย) จึงคงเหลือแต่บัณฑิตซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังไม่ยอมถอนฟ้องกระผมในคดีนี้ ทั้งที่ได้ส่วนแบ่งจากเงิน 17 ล้านดังกล่าวไปแล้ว ดังนั้น ผมจึงมิได้เป็นหนี้ใดๆ กับนายบัณฑิตทั้งทางตรงและทางอ้อมตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2555

2. การขูดรีดครั้งที่ 1 นายบัณฑิตเรียกร้องเงิน 100 บาทเพื่อแลกกับการถอนฟ้อง
ในปี 2557 กระผมมีฐานะดีขึ้นและไม่อยากมีคดีติดตัวต่อไป กระผมจึงจึงเปิดการเจรจาโดยส่งข้อความเสนอเงิน 20 ล้าน ไปให้บัณฑิตเพื่อให้ถอนฟ้องในคดีที่กระผมติดหนี้บริษัทซึ่งผมได้ชดใช้ไปหมดแล้ว แต่ไม่ได้ตอบกลับจากนายบัณฑิต จนกระทั่งผมเดินทางไปติดต่อธุรกิจที่ยุโรปในวันที่ 24 พฤษภาคม ต่อมาขณะอยู่ต่างประเทศได้ทราบจากคนรู้จักว่านายบัณฑิตจะเปิดตัวเลขกลับมาที่ 100 ล้านบาท (ซึ่งคงเพราะทราบว่านิตยสารฟอร์บส์ฉบับเดือนมิถุนายนได้ประเมินทรัพย์สินของกระผมที่ 26,000 ล้าน) แต่กระผมคิดว่าน่าจะต่อรองได้ในราคา 50 - 60 ล้านบาท (ซึ่งเป็นการพบกันครึ่งทาง) ในวันที่ 18 มิถุนายน ขณะกระผมอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส จึงให้ นายพิษณุ พานิชสุข ส่งสัญญายอมความ 2 ฉบับมาให้ทางอีเมล ฉบับหนึ่งระบุตัวเลขเป็นเงิน 50 ล้าน ส่วนอีกฉบับระบุ 60 ล้าน (หลักฐานตามอีเมลอีกฉบับที่ผมส่งมาพร้อมกันนี้) จากนั้นกระผมปรินท์สัญญาทั้งสองฉบับออกมาเพื่อลงชื่อ และส่งกลับไปให้ทนายในวันเดียวกันทาง DHL (หลักฐานซอง DHL ดังกล่าวเก็บอยู่ที่นายพิษณุ)

3. นายปริญญา รักวาทิน หรือ เสธ.เจี๊ยบ

อย่างไรก็ดี เพื่อความมั่นใจว่าเรื่องราวจะได้ข้อยุติ กระผม โทร. ทางไกลมาปรึกษากับ นายปริญญา หรือ เสธ.เจี๊ยบ ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการ บ.เรือด่วนเจ้าพระยาฯ (ทางทนายพิษณุเคยแนะนำให้รู้จัก) และชอบอ้างตัวสนิทสนมกับ เสธ. คนดัง ว่า สามารถเชิญผู้ใหญ่ที่ทุกคนเกรงใจเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยในเรื่องนี้ได้หรือไม่ มีค่าใช้จ่ายอย่างไร และสามารถทำให้รูปแบบการเจรจาอยู่ในกรอบของกฎหมายตามที่ทนายให้แนวทางไว้ได้หรือไม่ ซึ่ง นายปริญญา ก็ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าสามารถทำได้เพราะตัวเลขที่เสนอถึง 60 ล้าน ก็เป็นจำนวนมากพอที่น่าจะทำให้นายบัณฑิตยอมตกลงอยู่แล้ว หากเพิ่มบุคคลที่ทุกคนเกรงใจเข้ามาเป็นคนกลางบัณฑิตย่อมไม่กล้าเรียกร้องแบบไร้เหตุผล ที่กระผมต้องพึ่งผู้ใหญ่ในการเจรจาไกล่เกลี่ยครั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะนายบัณทิตเป็นลูกชายของผู้มีอิทธิพลภาคใต้ซึ่งทราบกันดีว่าร่ำรวยจากการค้าของเถื่อน

3. ผมไม่เคยรู้จัก หรือได้ยินชื่อสามพี่น้องอัครพงศ์ปรีชา ก่อนเกิดเหตุการณ์วันที่ 23 มิถุนายน ทางนายปริญญา หรือนายเจี๊ยบ แจ้งว่า ผู้ใหญเรียกค่าดำเนินการ 30 ล้าน ผมจึงตกลงและจ่ายล่วงหน้าเป็นเงิน 5 ล้าน ส่วนอีก 25 จะจ่ายเมื่อมีการตกลงยอมความกันที่ศาล โดยจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขคือต้องให้คู่เจรจา คือ นายบัณฑิต ยอมความโดยสมัครใจหรือเกรงใจเท่านั้น หากไม่สำเร็จกระผมก็จะนำเงิน 25 ล้านนี้ ไปเพิ่มยอดให้นายบัณฑิตรวมเป็น 85 ล้านแทน เพื่อให้คดียุติ ผมเชื่อมาโดยตลอดว่า เสธ.เจี๊ยบ จะไปเชิญ เสธ. คนดัง ซึ่งจะไกล่เกลี่ยแบบผู้ใหญ่มาเป็นคนกลาง แต่ปรากฏข้อเท็จจริงในวันที่ 23 มิถุนายน ว่า นายปริญญา ไปว่าจ้างสามพี่น้องอัครพงศ์ปรีชามากระทำการอุกอาจ และไปบังคับให้บัณฑิตรับเงินแค่ 20 ล้าน ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ ผิดจำนวนเงิน และเงื่อนไขที่ผมให้ไว้อย่างสิ้นเชิง

4. ผมถูกขูดรีดครั้งที่ 2 เพิ่มเป็น 150 ล้าน

หลังเกิดเหตุดังกล่าวย่อมเป็นที่แน่นอนว่าบัณฑิตไม่พอใจอย่างมากนายบัณทิตจึงเพิ่มตัวเลขไปเป็น 150 ล้าน ผมเรียนตรงๆ ว่า ขณะนั้นเข็ดและหดหู่กับเรื่องนี้อย่างเต็มที่แล้ว จึงแจ้งว่ายินดีจะจบที่ 120 ล้าน โดยจ่ายทันที 80 ล้าน และตีเป็นเช็คล่วงหน้าอีก 40 ล้าน บัณฑิตตกลงโดยมาทำสัญญายอมความที่ศาลในวันที่ 10 กรกฎาคม ที่ผ่านมา (หลักฐานปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และคำขอถอนคำร้องทุกข์ลงวันที่ 10 กรกฎาคม พร้อมหลักฐานการจ่ายเงิน สำเนาอยู่ที่ทนายความของกระผมสองคน คือ นายวิชานนท์ วิมลสังข์ และ นายพิษณุ พานิชสุข ส่วนเอกสารตัวจริงอยู่ที่ศาลฎีกาและสามารถไปคัดถ่ายได้กรณีทนายทำสูญหาย) โดยขณะไปยอมความที่ศาลกระผมก็ยังอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสโดยเดินกลับกรุงเทพประมาณวันที่ 20 กรกฎาคม

5. ถูกนายเจี๊ยบ หรือ นายปริญญา ขูดรีดอีก 25 ล้านบาท

ต่อมานายปริญญากลับมาขอเงิน 25 ล้านกับผมอีก ผมตอบไปว่านายปริญญาไปทำเสียหายจนผมต้องจ่ายเงินเกินกว่าที่ควรแล้วยังจะมาขอเงิน 25 ล้านอีกหรือ นายปริญญา เพียงตอบสั้นๆ ว่าอยากมีเรื่องกับ…(หมายถึงสามพี่น้อง) หรือ ผมกลัวจะไม่ปลอดภัยเลยต้องให้เงิน 25 ล้านไป โดยนัดให้มารับเงินสดที่สำนักงานใหญ่บริษัท WEH ช่วงสิ้นเดือนกรกฎาที่ผ่านมา

6. ตำรวจ สน.วัดพระยาไกร ปิดบังหลักฐานและจงใจให้ผมตกเป็นเหยื่อ

พนักงานสอบสวน สน.วัดพระยาไกร ที่รู้จักกับ นายปริญญา ชื่อผู้กองอรุณได้ติดต่อผ่านทนายพิษณุให้กระผมเข้ามาให้ปากคำ ผมจึงได้เข้าไปให้ปากคำเมื่อวันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยได้มีบันทึกข้อความการให้ปากคำไว้เป็นหลักฐาน แต่ยังไม่สมบูรณ์เนื่องจากในตอนท้ายพนักงานสอบสวนชื่อสารวัตรชูศักดิ์ถามผมว่ารู้จัก “เจี๊ยบ” หรือไม่ ผมเห็นว่าทั้งทนาย และพนักงานสอบสวนคือผู้กองอรุณที่ร่วมสอบสวนอยู่ด้วยเป็นเพื่อนกับนายปริญญา จึงรู้สึกไม่กล้าพูดอะไรมาก แต่ยืนยันว่าจะกลับมาให้การเพิ่ม จนวันรุ่งขึ้น (วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน) ผมโทรศัพท์หาสารวัตรชูศักดิ์เพื่อขอนัดเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติม และนำหลักฐานต่างๆ ไปส่ง แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยง และแจ้งกับกระผมว่ารู้แล้วว่าเจี๊ยบคือใครไม่ต้องมาหรอก ผมเห็นเป็นพิรุธ ประกอบกับมีการประโคมข่าวเรื่องลดหนี้ (ทั้งๆ ที่ทางตำรวจก็มีเอกสารสำเนาการยอมความที่ศาลข้างต้นทั้งสองชุดเป็นหลักฐาน) ผมเกรงว่าคงไม่ได้ประกันตัวและถูกปิดปากในเรือนจำจึงมีจำเป็นต้องหลบหนีออกนอกประเทศมาตั้งหลัก เพื่อทำหนังสือฉบับนี้เพื่อแถลงข้อเท็จจริงให้สื่อมวลชนได้รับทราบในสิ่งที่เกิดขึ้น ผมจึงใคร่ขอเรียนแจ้งให้ทราบจากปากคำของผมเอง และขอขอบพระคุณท่านบรรณาธิการข่าวและสื่อมวลชนหากจะกรุณาให้ความยุติธรรมนำเสนอข่าว และร่วมต่อสู้กับกระบวนการอยุติธรรมที่ทำให้บุคคลผู้บริสุทธิ์ตกเป็นแพะ และเป็นเหยื่อคนแล้วคนเล่า

ขอแสดงความนับถือ

นายนพพร ศุภพิพัฒน์”

อนึ่ง นายนพพร ถูกคำสั่งจับกุมเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2557 โดยศาลทหารกรุงเทพได้อนุมัติออกหมายจับนายนพพร ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพ เลขที่ 138 /2557 ลงวันที่ 1 ธ.ค. 2557 ในข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองศ์ และจ้างวานใช้ให้ผู้อื่นกระทำการร่วมกันทำร้ายผู้อื่น ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธ โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป


กำลังโหลดความคิดเห็น