สาวปริญญาโทเหยื่อข่มขืนบนรถไฟ 13 ปีก่อน เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง หัวหน้า คสช. - ร.ฟ.ท. จี้เพิ่มโทษคนผิดและบังคับใช้กฎหมายจริงจัง แฉการรถไฟฯเตะถ่วงยื่นฎีกา จนถึงวันนี้ยังไม่ได้รับเงินเยียวยา เผยต้องอยู่เหมือนตายทั้งเป็น มีปัญหาทั้งกาย - จิต พร้อมฝากถาม “ประภัสร์” มั่นใจหรือว่า 117 ปี ของการรถไฟฯไม่เคยมีคดีร้ายแรง แนะพิจารณาตัวเองสมควรเป็นผู้บริหารองค์กรนี้ต่อไปหรือ
วันนี้ (8 ก.ค.) ผู้เสียหายที่ถูกพนักงานการรถไฟฯข่มขืนบนรถไฟเมื่อ 13 ปีก่อน ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกจาก กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ถึง หัวหน้า คสช. และ การรถไฟแห่งประเทศไทย ระบุว่า
เรียน ท่านสื่อมวลชน ผ่านไปยัง หัวหน้า คสช. / การรถไฟแห่งประเทศไทย
เรื่อง ความรับผิดชอบต่อผู้โดยสาร ในคดีข่มขืนบนรถไฟ
วันนี้ ดิฉันได้รับข่าวสารจากทางเมืองไทย แค่ได้อ่านหัวข้อข่าวว่า มีเหตุข่มขืนแล้วฆ่าบนรถไฟสายใต้ ดิฉันก็รู้สึกเจ็บและปวดที่หัวใจผู้อย่างรุนแรง “มันเกิดขึ้นอีกแล้วหรือ ?” “ทำไมฉัน ไม่เป็นคนสุดท้าย ? ทำไมต้องเป็นน้องเขา ? ทำไม ?”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับตัวดิฉันเอง เมื่อ 13 ปีที่แล้ว หากท่านยังจำกันได้ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2544 เกิดคดีข่มขืนหญิงสาวปริญญาโทบนตู้นอน บนขบวนรถไฟสายใต้ คดีนี้เป็นข่าวครึกโครม การรถไฟฯได้ไล่ผู้กระทำผิดออกจากงาน และศาลอาญาได้ตัดสินจำคุกจำเลยเป็นเวลา 9 ปี ส่วนในคดีแพ่ง ศาลชั้นต้น และศาลอุธรณ์ ได้ตัดสินให้การรถไฟฯและจำเลย ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดให้แก่โจทก์ นับจากวันนั้นถึงวันนี้ 13 ปีผ่านไปแล้ว แต่คดีก็ยังไม่ถึงที่สุด ดิฉันก็ยังไม่ได้รับการเยียวยาชดใช้ค่าเสียหาย เพราะการรถไฟฯได้ยื่นฎีกาขอทุเลาคดี และทำให้การเยียวยาของดิฉันได้รับความล่าช้าออกไปเรื่อยๆ
หลายท่านคงไม่รู้ว่า หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น มีเหตุการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนชีวิต และสุขภาพดิฉันไปตลอดกาลอย่างสิ้นเชิง ท่านรู้หรือไม่? ดิฉันต้องถูกบีบบังคับให้ออกจากงานที่กำลังไปได้ดี เพราะในสายตาของผู้บริหาร ดิฉันได้นำความเสื่อมเสียมาสู่องค์กร เพราะในการเดินทางครั้งนั้น ดิฉันไปทำงานในนามของบริษัท ดิฉันต้องเข้าโรงพยาบาลทางจิตติดต่อกันมาหลายปี มีอาการประสาทหลอน ควบคุมสติไม่ได้ ต้องเข้าบำบัดรักษาอย่างต่อเนื่อง ทุกคืนวัน ดิฉันมีอาการฝันร้าย ผวาและหวาดกลัวคนรอบข้าง ไม่ไว้วางใจผู้คน วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า นานนับหลายปี ต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีอาการสั่นของมือ และเมื่อมีเหตุการณ์อะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจ แม้แต่เพียงเล็กน้อย ดิฉันจะมีภาวะตระหนก ควบคุมตนเองไม่ได้ และหลายต่อหลายครั้งถึงกับหน้ามืดเป็นลมหมดสติ ซึ่งอาการเหล่านี้แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานถึง 13 ปี ดิฉันก็ยังประสบความยากลำบากที่จะมีชีวิตเยี่ยงคนปกติ ด้วยความอ่อนแอทางสุขภาพจิตและการต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องหลายปี ทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การต้องประสบกับความอับอายในสังคม ทำให้ดิฉันต้องระเห็จมาตั้งต้นชีวิตใหม่ในต่างประเทศอย่างยากลำบาก และรอคอยกระบวนการยุติธรรมที่ถูกทำให้ล่าช้า อย่างไม่เห็นแก่มนุษยธรรมของท่าน
หลังจากอ่านหัวข้อข่าว ดิฉันรู้สึกแย่มาก น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าหัวใจถูกบีบอย่างแรง มันเหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 13 ปีที่แล้ว เพิ่งเกิดขึ้น และมันได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ดิฉันไม่สามารถที่จะถ่ายทอดความรู้สึกนี้เป็นตัวอักษรได้ เพราะมันเจ็บปวดเกินกว่าที่จะพูดออกมาได้ ดิฉันทราบข่าวเวลา 3 ทุ่มของประเทศกรีซ หลังจากนั้น ดิฉันหมดสติ มาเริ่มรู้สึกตัวประมาณเที่ยงคืน แต่ดิฉันก็พยายามฝืนที่จะพิมพ์จดหมายฉบับนี้ เพราะต้องการสื่อสารถึงคนในสังคมไทย ว่าถึงเวลาหรือยัง ที่เราจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้สังคมนี้มีความปลอดภัยมากขึ้น ไม่ต้องคอยระแวงว่า “ใคร คือรายต่อไป”
จากคดีของดิฉัน ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทางการแพทย์ ทางกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม แต่นั่นก็ยังไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เพราะคดีข่มขืนก็ยังเกิดขึ้นอีกแทบทุกวัน
ดิฉันคาดหวังให้มีบทลงโทษที่รุนแรง ในคดีข่มขืน และมีการป้องกัน บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นจริงจัง เพราะมันอาจจะเป็นหนทางที่ทำให้เหตุนี้เกิดขึ้นน้อยลง จนไม่เกิดขึ้นเลย........จะเป็นไปได้มั้ยคะ ขอฝากไปถึงท่านผู้เกี่ยวข้องทุกท่านที่จะสามารถทำให้เกิดบทลงโทษที่รุนแรงมากกว่านี้ หรือว่าต้องรอให้เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของท่านก่อน
ดิฉันขอแสดงความเสียใจกับบิดาและมารดาของน้องที่เสียชีวิต ดิฉันเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสีย เพราะดิฉันก็ได้เสียมารดา เนื่องจากผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับดิฉันเช่นกัน ดิฉันอยากจะบอกว่าน้องเขาไปดีแล้ว น้องเขาโชคดีกว่าดิฉันเยอะ เพราะทุกวันนี้ดิฉันมีชีวิตอยู่เหมือนตายทั้งเป็น 10 กว่าปีที่ผ่านมา ดิฉันไม่เคยนอนหลับตอนกลางคืนเลย มันยากที่จะลืม
สุดท้ายนี้ ดิฉันขอฝากข้อความไปถึงท่านผู้มีอำนาจในบ้านเมือง, ผู้ว่าการการรถไฟฯคนปัจจุบัน ว่า “ท่านมั่นใจเหรอคะ ว่า 117 ปี ของการรถไฟฯ ไม่เคยมีคดีร้ายแรง มีแต่อนาจาร ดิฉันไม่ทราบว่า ท่านมาบริหารองค์กรนี้ได้อย่างไร ท่านไม่เคยทราบเลยหรือคะ ว่า องค์กรของท่านเคยเกิดเหตุคดีข่มขืนบนรถไฟสายใต้ ขณะที่รถไฟยังวิ่ง โดยผู้ก่อเหตุเป็นพนักงานขององค์กรของท่านเอง ท่านไม่เคยทราบเลยหรือคะ ท่านคิดว่า ท่านสมควรที่จะเป็นผู้บริหารองค์กรนี้ต่อไปหรือคะ คดีของดิฉัน 13 ปีแล้วค่ะ ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรคะ ชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างตลอดกาลของดิฉัน การรถไฟฯเห็นว่า การเยียวยาชดใช้ช่วยเหลือความเสียหายมันตีเป็นตัวเงินเมื่อเทียบกับชีวิตของดิฉันได้หรือคะ ทำไมต้องใช้เวลาเตะถ่วงถึง 13 ปี จนบัดนี้ ดิฉันมีลูกชายวัยเด็กที่ดิฉันต้องรับผิดชอบเลี้ยงดู ด้วยสุขภาพทั้งกายทั้งจิตที่บอบช้ำอย่างหนัก แต่สำหรับท่าน เงินเพียงเล็กน้อยเท่านี้เท่าที่ศาลท่านสั่งให้ชดใช้ ท่านคิดว่ามากไปหรือคะ ช่วยกรุณาตอบดิฉันด้วย และเหตุการณ์ของน้องแก้ม ที่เพิ่งเกิดขึ้น ท่านจะพูดว่าอะไรคะ ท่านจะดำเนินการอย่างไร ไล่พนักงานคนนั้นออก แล้วก็จบ เหมือนคดีของดิฉันใช่มั้ยคะ คำว่า “ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น” ที่ท่านผู้ว่าฯ คนก่อนโน้นเคยกล่าวกับดิฉัน ท่านก็กำลังจะกล่าวคำนี้เช่นกัน กับมารดาของน้องแก้มใช่มั้ยคะ .....ดิฉันอยากถามว่า ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของท่าน ท่านจะกล่าวคำว่าอะไร ????????????