คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.คสช. ยกเลิกเคอร์ฟิวทั่ว ปท.แล้ว เตรียมผุดเมกะโปรเจ็กต์ 3 ล้านล้านพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้าน “บิ๊กตู่” ยัน ยังไม่เคาะ!
ความเคลื่อนไหวของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะหัวหน้า คสช. ได้เผยแผนการทำงานของ คสช.ระหว่างเป็นประธานประชุมสัมมนาหัวหน้าส่วนราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ว่า มี 3 ขั้นตอน คือ ตั้งแต่เดือน มิ.ย.-ส.ค. จะทำทุกอย่างให้เรียบร้อย ทั้งร่างธรรมนูญการปกครองชั่วคราว ,ตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และตั้งนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี เพื่อบริหารราชการ คาดว่าน่าจะตั้งรัฐบาลได้ประมาณปลายเดือน ส.ค. หรือต้นเดือน ก.ย. ซึ่งต้องเผื่อเวลา 15 วัน เพื่อทูลเกล้าฯ และหลังจากมีรัฐบาลแล้ว จะเดินหน้าทำงานและตั้งสภาปฏิรูป โดยจะนำทุกภาคส่วน โดยเฉพาะคู่ขัดแย้งไปรวมกันและคัดกันออกมาเป็นสภาปฏิรูป
ทั้งนี้ ช่วงค่ำวันเดียวกัน(13 มิ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยเผยความคืบหน้าการทำงานของ คสช.ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า มีการประกาศกฎอัยการศึก มีการจับกุมอาวุธสงคราม 88 กระบอก ปืนเถื่อน ทั้งปืนพก ปืนลูกซอง ปืนผลิตเอง 1,268 กระบอก กระสุน 7,000 กว่านัด ระเบิด 300 กว่าลูก พร้อมยืนยัน จะเร่งจับกุมอาวุธสงครามต่อไป
ส่วนการห้ามออกนอกเคหสถานหรือเคอร์ฟิวนั้น หลังจาก คสช.ได้ทยอยประกาศยกเลิกเคอร์ฟิวในบางพื้นที่เป็นระยะๆ ล่าสุด เมื่อคืนวันที่ 13 มิ.ย. คสช.ก็ได้ประกาศยกเลิกเคอร์ฟิวทุกพื้นที่ทั่วประเทศแล้ว อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นใน กทม.ช่วงหัวค่ำวันเดียวกัน โดยเหตุเกิดใกล้ป้อมจราจรแยกพระราม 9 ส่งผลให้รถยนต์ที่กำลังผ่านบริเวณดังกล่าวได้รับความเสียหาย 2 คัน และกระจกป้อมตำรวจเสียหายเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดตรวจสอบพบกระเดื่องระเบิด RGD 5 ซึ่งเป็นระเบิดชนิดขว้างของรัสเซีย รัศมีทำลาย 6 เมตร
ด้าน คสช.ชี้แจงว่า การประกาศยกเลิกเคอร์ฟิวทั่วราชอาณาจักร เนื่องจากการข่าวจากฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง ประเมินร่วมกันแล้วว่า สถานการณ์เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่มีความเคลื่อนไหวในลักษณะต่อต้าน คสช. จึงต้องการสร้างบรรยากาศที่ดีและผ่อนคลายให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว แต่หากพื้นที่ใดมีการเคลื่อนไหวที่กระทบต่อความมั่นคง คสช.อาจจะพิจารณากลับมาประกาศเคอร์ฟิวได้อีกเป็นรายพื้นที่
ทั้งนี้ คสช.ได้พยายามจัดกิจกรรมเดินหน้าคืนความสุขให้คนไทยในรูปแบบต่างๆ เช่น ให้ประชาชนได้ชมภาพยนตร์เรื่อง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวร” ฟรีพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 15 มิ.ย. รอบ 11.00น.
เป็นที่น่าสังเกตว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา คสช.ได้ผุดแผนยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งของประเทศ โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณมากถึง 3 ล้านล้านบาท ทำให้หลายฝ่ายจับตาว่า คสช.กำลังผุดโครงการที่ใช้งบมากกว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์เสียอีก ทั้งนี้ แผนดังกล่าวเสนอโดยกระทรวงคมนาคม โดยเสนอเข้าที่ประชุมที่มี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช. เป็นประธานเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. โดยมีผู้บริหารกระทรวงการคลังเข้าร่วมประชุมด้วย ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว วงเงิน 3 ล้านล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการโครงการระหว่างปี 2558-2565 ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ แต่ขอให้ตัดโครงการรถไฟความเร็วสูงออกจากแผนไปก่อน เนื่องจากเห็นว่าไม่ใช่โครงการเร่งด่วน พร้อมให้กระทรวงคมนาคมไปหารือกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาแหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้ในการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จในสัปดาห์หน้า และนำมาเสนอ พล.อ.อ.ประจินพิจารณาอีกครั้งก่อนวันที่ 19 มิ.ย.
ด้านนายสมชัย ศิริวัฒนโชค ปลัดกระทรวงคมนาคม ชี้แจงเหตุที่แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวใช้งบมากกว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านของรัฐบาลก่อนว่า เนื่องจากครั้งนี้เป็นการลงทุนทั้งทางรถไฟ ทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ซึ่ง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ไม่มีการลงทุนทางอากาศ จึงน้อยกว่าแผนในครั้งนี้
ทั้งนี้ หลังมีข่าวว่า คสช.อนุมัติแผนยุทธศาสตร์ 3 ล้านล้านบาทแล้ว ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. รีบออกมายืนยันว่า ตนยังไม่ได้อนุมัติแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวแต่อย่างใด เป็นเพียงการหารือของคณะกรรมการแต่ละฝ่าย และต้องไปถามสำนักงบประมาณก่อนว่ามีเงินอยู่เท่าไหร่ คิดว่ามีบางคนปล่อยข่าว เพื่อให้ประชาชนเรียกร้องและทำให้งานสะดุด
2.คสช. ไฟเขียว “วอยซ์ทีวี-ทีนิวส์” ออกอากาศแล้ว พ่วงวิทยุชุมชนบางส่วน ด้าน “ASTV-บลูสกาย” ยังรอลุ้น!
ความคืบหน้ากรณีที่ คสช.ได้ออกประกาศให้สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม เคเบิล และโทรทัศน์ระบบดิจิตอล 14 สถานีระงับการออกอากาศ รวมทั้งวิทยุชุมชนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย และวิทยุชุมชนที่ได้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการนั้น ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. คสช.ได้ออกประกาศอนุญาตให้สถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี และสถานีโทรทัศน์ทีนิวส์ ออกอากาศได้ตามปกติแล้ว โดยจะต้องปฏิบัติตามประกาศของ คสช.และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เช่น ห้ามสร้างความขัดแย้งหรือต่อต้านการปฏิบัติงานของ คสช. นอกจากนี้ยังอนุญาตให้วิทยุชุมชนที่ได้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการ ออกอากาศได้ตามปกติเช่นกัน โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ กฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการกระจายเสียงฯ
สำหรับสถานีโทรทัศน์อีก 12 สถานีที่ยังถูกระงับออกอากาศ ประกอบด้วย 1. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเอ็มวี 5 2. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมดีเอ็นเอ็น 3. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมยูดีดี 4. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเอเชียอัพเดท 5.สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมพีแอนด์พี 6. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมโฟร์แชนแนล 7. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมบลูสกาย 8. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเอฟเอ็มทีวี 9. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเอเอสทีวี 10. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมฮ็อตทีวี 11. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเร็สคิ้ว 12. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย(คปท.)
ซึ่งในส่วนของวอยซ์ทีวีและทีนิวส์นั้น ได้ยื่นปรับผังรายการ พร้อมขอออกอากาศอีกครั้งต่อ กสทช. และ กสทช.พิจารณาแล้วมีมติเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ส่งเรื่องให้ คสช.อนุญาตให้สถานีโทรทัศน์ทั้งสองกลับมาออกอากาศได้ตามปกติ ขณะที่สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมบลูสกายได้ยื่นหนังสือต่อ กสทช.เพื่อขอกลับมาออกอากาศปกติเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. เช่นเดียวกับสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV ที่ได้ยื่นหนังสือต่อ คสช.และ กสทช.เพื่อขอกลับมาออกอากาศตามปกติเช่นกันเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.
ด้าน พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์(กสท.) พูดถึงการวางกรอบแนวทางอนุญาตให้วิทยุชุมชนกลับมาออกอากาศได้อีกครั้ง เพื่อเสนอให้ คสช.พิจารณาว่า เบื้องต้นจะอนุญาตให้เฉพาะกลุ่มที่เคยได้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการจาก กสทช.ราว 5,000 สถานี และกลุ่มที่ได้ยื่นขอรับใบอนุญาตแล้ว แต่อยู่ระหว่างการพิจารณาอีกราว 1,000 สถานี ส่วนผู้ที่ไม่เคยยื่นขอรับใบอนุญาตมาก่อน จะไม่ได้กลับมาออกอากาศอีก "จะมีมาตรการเพิ่มก่อนให้กลับมาออกอากาศได้ อาทิ ไม่ให้ผู้ใดเป็นเจ้าของสถานีวิทยุมากเกินไป หรือการตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องส่งสัญญาณ เสาส่ง เสาอากาศ ให้ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้"
สำหรับความคืบหน้ากรณีที่ คสช.มีคำสั่งเรียกบุคคลต่างๆ เข้ารายงานตัวนั้น สัปดาห์ที่ผ่านมา บุคคลที่เข้ารายงานตัว ได้แก่ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และจำเลยคดีก่อการร้าย ได้เข้ารายงานตัวตามคำสั่ง คสช.เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. โดยได้ประกาศว่า พร้อมจะใช้ความเป็นศิลปินนักร้องช่วยในการสร้างความปรองดองและความสามัคคีให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองตามแนวทางของศูนย์ปรองดองสมานฉันท์
ขณะที่แกนนำพรรคเพื่อไทยและแกนนำคนเสื้อแดงบางคนได้ถูก คสช.ออกคำสั่งเรียกซ้ำ หลังไม่ยอมเข้ารายงานตัว เช่น นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ,นายชินวัฒน์ หาบุญพาด แกนนำคนเสื้อแดง ,นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือแซ่ด่าน อดีตแกนนำกลุ่มแดงสยาม ,นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ และนายศรัณย์ ฉุยฉาย หรืออั้ม เนโกะ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานหมิ่นสถาบัน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนายวรเจตน์นั้น เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ได้ส่งนางพัชรินทร์ ภาคีรัตน์ ภรรยา เข้ารายงานตัวแทน โดยอ้างว่าตนเองป่วย ไม่สามารถเข้ารายงานตัวได้ เป็นที่น่าสังเกตว่า วันเดียวกัน นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางไปยังหอประชุมกองทัพบก เทเวศร์ คาดว่าเป็นการเข้ารายงานตัวตามคำสั่ง คสช.เช่นกัน
ส่วนนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด แกนนอนกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ที่ไม่ยอมเข้ารายงานตัวและถูกจับกุมที่ จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.นั้น เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจกองปราบปรามได้นำตัวนายสมบัติขึ้นศาลทหารเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. เพื่อขอฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ซึ่งตุลาการศาลทหารอนุญาตให้ฝากขัง และไม่อนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง หากปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาอาจไปกระทำการใดๆ ให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายสมบัติไปควบคุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ด้านนายธานัท ธนวัชรนนท์ หรือพันทิวา ภูมิประเทศ หรือ “ทอม ดันดี” อดีตนักร้องและแนวร่วมคนเสื้อแดง ซึ่งไม่ยอมเข้ารายงานตัวต่อ คสช. ก็ได้ถูกจับกุมแล้วที่ จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ก่อนถูกนำตัวไปควบคุมที่กองปราบปราม ทั้งนี้ นายธานัท นอกจากขัดคำสั่ง คสช.แล้ว ยังถูกแจ้งความดำเนินคดีต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ฐานหมิ่นเบื้องสูงด้วย จากกรณีขึ้นเวทีปราศรัยที่ จ.ราชบุรี โดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการ
3.กสทช. ควัก 427 ล้านจ่ายอาร์เอส แลกถ่ายสดบอลโลกผ่านฟรีทีวีทั้ง 64 คู่ หลังศาล ปค.สูงสุดตัดสินให้แพ้คดี!
เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุด ได้ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีที่บริษัท อาร์เอส อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง แอนด์ สปอร์ต แมเนจเม้นท์ จำกัด ในเครือบริษัท อาร์เอส จำกัด(มหาชน) ฟ้องสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ขอให้เพิกถอนประกาศ กสทช.เรื่อง หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป(มัสต์แฮฟ) ที่ กสทช.บังคับใช้ให้อาร์เอสในฐานะผู้ถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 ต้องถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกครบทั้ง 64 คู่ผ่านฟรีทีวี ขณะที่อาร์เอสต้องการถ่ายทอดผ่านฟรีทีวีแค่ 22 คู่เท่านั้น โดยศาลเปิดให้คู่กรณีแถลงปิดคดี จากนั้นได้แจ้งให้ทั้ง 2 ฝ่ายมาฟังคำพิพากษาในวันที่ 11 มิ.ย. เวลา 13.00น.
ทั้งนี้ นายวิบูลย์ กัมมาระบุตร ตุลาการผู้แถลงคดี ได้แถลงความเห็นส่วนตัว ซึ่งไม่มีผลผูกพันต่อการวินิจฉัยคดีขององค์คณะศาลปกครองสูงสุด โดยเห็นว่าควรกลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นที่ให้อาร์เอสชนะคดี เนื่องจากที่ผ่านมาอาร์เอสไม่ได้ชี้แจงและแสดงมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากประกาศมัสต์แฮฟของ กสทช. อีกทั้งเห็นว่า ประโยชน์ของสาธารณชนที่จะไม่ได้รับชมรายการกีฬาสำคัญ เป็นเรื่องสำคัญกว่าประโยชน์ของเอกชนคืออาร์เอสเพียงรายเดียว จึงเห็นควรนำฟุตบอลโลกทุกคู่มาถ่ายทอดสดผ่านฟรีทีวี
หลังตุลาการผู้แถลงคดีมีความเห็นดังกล่าว นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อาร์เอส ได้ออกมาส่งสัญญาณว่า หากบริษัทถูกตัดสินให้แพ้คดี เป็นไปได้ว่า อาจต้องจอดำทั้งประเทศ หรือไม่สามารถถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2014 ได้ เพราะขัดต่อข้อตกลงที่ทำไว้กับสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ(ฟีฟ่า)
นางพรพรรณ ยังเผยด้วยว่า อาร์เอสได้ทำสัญญากับบริษัท ทรู วิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด เพื่อให้ทรู วิชั่นส์เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 ครบทั้ง 64 คู่ โดยอาร์เอสจะอนุญาตให้นำช่องรายการ “เวิลด์คัพ” ซึ่งเป็นรายการที่ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 ครบทั้ง 64 คู่ ไปออกอากาศบนโครงข่ายของทรู วิชั่นส์ แต่อำนาจในการควบคุมดูแลการถ่ายทอดสด และการบริหารลิขสิทธิ์ยังคงเป็นของอาร์เอส
วันต่อมา(11 มิ.ย.) ซึ่งเป็นวันที่ศาลปกครองสูงสุดนัดฟังคำพิพากษา ปรากฏว่า ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ที่มีนายประวิตร บุญเทียม เป็นตุลาการเจ้าของสำนวนคดี ได้พิพากษาให้เพิกถอนข้อ 3 ของประกาศ กสทช.เกี่ยวกับกฎมัสต์แฮฟ ที่กำหนดให้รายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายจะต้องให้บริการเป็นรายการทั่วไป เนื่องจากประกาศดังกล่าวมีผลกระทบต่อสิทธิของบริษัท อาร์เอส ที่ได้รับอนุญาตจากฟีฟ่าให้เป็นผู้เผยแพร่ภาพและเสียงการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปี ค.ศ.2014 แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เนื่องจากประกาศดังกล่าวของ กสทช.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะให้มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง ขณะที่บริษัท อาร์เอส ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 ก่อนที่จะมีประกาศดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองสูงสุดยังคงให้ประกาศ กสทช.ดังกล่าวมีผลบังคับใช้เป็นการทั่วไปได้ในกรณีอื่น
ทั้งนี้ หลังฟังคำพิพากษา นายสุพรรณ เสือหาญ ทนายความฝ่ายกฎหมายบริษัท อาร์เอส บอกว่า อาร์เอสพึงพอใจแล้วกับคำพิพากษา และจะดำเนินงานตามแผนธุรกิจเดิมที่ได้วางไว้ต่อไป และอนุญาตให้ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 ผ่านฟรีทีวีเพียง 22 คู่ตามเดิม ขณะที่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช.บอกว่า น้อมรับคำตัดสินของศาล พร้อมยืนยัน กสทช.ได้ดำเนินการเพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการรับบริการโทรทัศน์โดยเท่าเทียมกันอย่างเต็มความสามารถแล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นมีรายงานจากสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ว่า มีนโยบายจะร่วมกับอาร์เอสในการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 เพื่อคืนความสุขให้คนไทยตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) โดยจะมีการเจรจาและแถลงยืนยันถึงความร่วมมือในวันที่ 12 มิ.ย.
ต่อมา นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช.เผยว่า คสช.ได้ประสานมายัง พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธาน กสทช. ให้หาแนวทางคืนความสุขให้คนไทยทั้งประเทศในการรับชมฟุตบอลโลกผ่านฟรีทีวีครบทั้ง 64 คู่ โดย กสทช.ได้เชิญอาร์เอส ในฐานะเจ้าของลิขสิทธิ์มาหารือกันถึงมูลค่าในการจัดซื้อลิขสิทธิ์ต่อจากอาร์เอส เพื่อไปถ่ายทอดสดผ่านฟรีทีวีทุกคู่ โดยเบื้องต้น กสทช.จะนำเงินจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ(กทปส.) ไปชำระการซื้อต่อค่าลิขสิทธิ์จากอาร์เอส
จากนั้นวันต่อมา(12 มิ.ย.) ที่ประชุมบอร์ด กสทช.ได้มีมติอนุมัติกรอบวงเงินที่จะจ่ายค่าชดเชยลิขสิทธิ์แก่อาร์เอสจำนวน 427.01 ล้านบาท โดยนำเงินจากกองทุน กทปส. ทั้งนี้ นายฐากร เผยว่า เงินจำนวนดังกล่าว คิดจากค่าเสียโอกาสของทางอาร์เอสในการขายกล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียม “บอลโลก” ซึ่งอาร์เอสนำเข้ามา 1 ล้านกล่อง แต่ขณะนี้ขายไปได้ประมาณ 3 แสนกล่อง รวมทั้งคำนวณวงเงินที่อาร์เอสได้รับเพิ่มเติมจากส่วนต่างๆ เช่น เงินที่ได้รับจากค่าบริหารจัดการลิขสิทธิ์ให้แก่เคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม และรายได้ที่อาร์เอสได้รับจากค่าโฆษณา และว่า ตอนแรก กองทุน กทปส.เสนอตัวเลขมา 492.481 ล้านบาท ขณะที่อาร์เอสเสนอ 766.51 ล้านบาท แต่ กสทช.เห็นควรให้จ่าย 427.01 ล้านบาท
ทั้งนี้ วันเดียวกัน(12 มิ.ย.) พล.ท.ชาตอุดม ติตถะสิริ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ได้แถลงข่าวความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตร ได้แก่ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 และช่อง 8 ในเครืออาร์เอส ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 ครบทั้ง 64 นัด โดยช่อง 7 จะถ่ายทอดสด 29 นัด ,ช่อง 5 ถ่ายทอดสด 38 นัด และช่อง 8 ถ่ายทอดสด 56 นัด (บางนัดถ่ายทอดมากกว่า 1 ช่อง)
ด้านนายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส พูดถึงกรณีที่อาร์เอสได้รับการประสานจาก กสทช.เพื่อนำสัญญาณภาพการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ถ่ายทอดสดผ่านฟรีทีวีครบทั้ง 64 คู่ โดยจะได้รับค่าชดเชยจาก กสทช.427 ล้านบาทว่า ในมุมของอาร์เอส เงินจำนวนดังกล่าวถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย เมื่อเทียบกับเงินคาดการณ์รายได้ และเงินที่ต้องใช้ในการเยียวยาลูกค้าที่ซื้อกล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียม “บอลโลก” หรือลูกค้ากล่องทีวีดาวเทียม “ซันบอกซ์” ที่ซื้อช่อง “เวิลด์คัพ” ไปก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม อาร์เอสยอมรับข้อเสนอดังกล่าว เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้ควรมองเรื่องประโยชน์ของบริษัทเป็นเรื่องรอง “การที่ยอมรับข้อตกลงนี้ แม้เราจะไม่ขาดทุน แต่ได้ไม่คุ้มเสีย ตรงที่เสียโอกาส ไม่สามารถหารายได้ตามแผนธุรกิจที่พึงจะได้ในอนาคต การทำข้อตกลงครั้งนี้ เราไม่ได้ขายลิขสิทธิ์ สิทธิในการบริหารจัดการยังเป็นของเราอยู่”
ในเวลาต่อมา นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อาร์เอส เผยหลังหารือกับคณะอนุกรรมการ กสทช.ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ถึงแนวทางการเยียวยาผู้บริโภคที่ซื้อกล่องบอลโลกว่ามี 3 แนวทาง คือ 1.ให้ลูกค้านำกล่องบอลโลกมาแลกคืนกับอาร์เอส โดยจะได้รับเงินคืนเต็มจำนวน 1,500 บาท 2.ลูกค้าที่ซื้อกล่องบอลโลก ให้อาร์เอสตัดช่องเวิลด์คัพออก และจะคืนเงินให้ 299 บาท และ 3.ลูกค้ากล่องซันบ็อกซ์ที่ซื้อช่องรายการเวิลด์คัพ ขอให้ตัดช่องดังกล่าวออกพร้อมรับเงินคืนเต็มจำนวน 299 บาท ส่วนรายละเอียดการเยียวยา ทั้งวัน เวลา และสถานที่ อาร์เอสจะประกาศทางเว็บไซต์บริษัทในวันที่ 16 มิ.ย. หรือภายหลังหารือรายละเอียดปลีกย่อยกับ กสทช.เสร็จสิ้นแล้ว
ด้าน พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ในฐานะทีมโฆษก คสช.ได้ออกมาปฏิเสธกรณีมีข่าวว่า คสช.สั่งให้ กสทช.ใช้เงินกองทุน กทปส.ซื้อลิขสิทธิ์จากอาร์เอสเพื่อให้ฟรีทีวีถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกครบ 64 นัดว่า คสช.เพียงแค่ประสานให้ทางภาคเอกชนและ กสทช.ได้พูดคุยหารือกันถึงเรื่องดังกล่าว เนื่องจากเป็นความต้องการของหลายคน แต่ขณะเดียวกันต้องเข้าใจระบบธุรกิจในปัจจุบัน ซึ่งอาจแตกต่างจากเดิม
4.ศาล พิพากษาจำคุกอดีตนักร้องสาว “ยู่ยี่” 15 ปี คดีซุกโคเคน ด้านสามียื่น 2 ล้านขอประกัน-รอศาลอุทธรณ์ชี้ขาด!
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดียาเสพติด 1 เป็นโจทก์ฟ้องนางชัชชญา เกวสต้า รามอส หรือยู่ยี่-อลิสา อินทุสมิต อายุ 41 ปี อดีตนักร้อง นักแสดง และนางแบบ เป็นจำเลย ฐานมียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4 ,7 ,8 ,16 ,17 ,68 และ 69
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2555 เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองประจำสนามบินดอนเมือง(ตม.) พบจำเลยเดินทางมาจากประเทศเวียดนาม อยู่บริเวณอาคารผู้โดยสารขาเข้าและเข้าห้องน้ำ ท่าทางมีพิรุธจึงขอค้นตัว พบโคเคนอยู่ในกระเป๋าเดินทาง จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ดอนเมือง แจ้งข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและนำเข้ามาในราชอาณาจักร ขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ซึ่งในชั้นสอบสวน จำเลยให้การปฏิเสธ โดยท้ายคำฟ้อง อัยการโจทก์ขอให้ศาลบวกโทษตามความผิดคดีลักลอบมีสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ที่ศาลมีนบุรีมีคำพิพากษาจำคุก 3 เดือน ปรับ 2,000 บาท เข้ากับโทษในคดีนี้ด้วย
ด้านศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเบิกความว่า วันเกิดเหตุ ได้ยินเสียงหญิงสาวส่งเสียงดังมาจากห้องโถง บริเวณข้างห้องน้ำ จึงได้เข้าไปตรวจสอบ พบจำเลยสะพายกระเป๋าอยู่ ยืนส่งเสียงดัง จึงขอตรวจค้นกระเป๋าสะพาย พบหลอดบรรจุช็อกโกแลต เปิดออกพบผงสีขาวในซองพลาสติกและเม็ดยาหลากสีปะปนกับเม็ดช็อกโกแลต ตรวจสอบพบเป็นสารเสพติดโคเคน ซึ่งพยานได้ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน จึงเชื่อว่าเบิกความตามจริง ขณะที่บันทึกการจับกุมระบุว่า จำเลยรับว่าวันเกิดเหตุ ได้เดินทางกลับจากเวียดนาม โดยยาเสพติดดังกล่าวเป็นยาเสพติดที่เหลือจากการเสพในประเทศเวียดนามเมื่อวันที่ 9 พ.ย.2555 ซึ่งตามบันทึกจับกุม เกิดขึ้นในวันเดียว จึงเชื่อว่ายากที่จะมีการปรุงแต่งรายละเอียดเพื่อให้จำเลยต้องรับโทษ
ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ได้รับหลอดช็อกโกแลตมาจากผู้โดยสารอื่นบนเครื่องบิน ศาลเห็นว่า ภายในหลอดมีสารเสพติดที่แพคและซุกซ่อนเป็นอย่างดี เป็นเรื่องยากที่คนแปลกหน้าซึ่งไม่รู้จักจำเลยจะมอบให้ และที่อ้างว่า เมื่อถูกจับกุม จำเลยได้รับแจ้งว่าจะมีโทษแค่ปรับเท่านั้น ก็พบว่าตามบันทึกจับกุม จำเลยได้ลงลายมือชื่อโดยไม่มีการโต้แย้งใดๆ ข้ออ้างของจำเลยจึงเลื่อนลอย จึงรับฟังโดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยนำโคเคนเข้ามาในราชอาณาจักร และมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
จึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด มาตรา 16 ,174 ,68 และ 69 ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานนำเข้ายาเสพติดโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นบทลงโทษหนักสุด จำคุก 20 ปี และปรับ 2 ล้านบาท แต่คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา เห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกจำเลยเป็นเวลา 15 ปี และปรับ 1.5 ล้านบาท โดยให้นำโทษจำคุก 3 เดือน ในคดีลักลอบมีสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตของศาลจังหวัดมีนบุรีมานับรวมด้วย รวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 15 ปี 3 เดือน และปรับ 1.5 ล้านบาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับ ให้กักขังแทนค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
หลังฟังคำพิพากษา นางชัชชญา หรือยู่ยี่ ซึ่งเดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมสามี และทนายความ ไม่ได้สัมภาษณ์ใดๆ ขณะที่นายประเสริฐ บุญแก้ว ทนายความ บอกว่า สามีนางชัชชญา ได้เตรียมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 2 ล้านบาท เพื่อยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์สู้คดี โดยเห็นว่าโทษดังกล่าวสูงเกินไป และว่า ขณะที่นางชัชชญาถูกตรวจค้นจับกุม ก็มีจำนวนสารเสพติดแค่ 0.5 มิลลิกรัมเท่านั้น
ทั้งนี้ ศาลอาญาพิจารณาคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เงินสด 2 ล้านบาทในการขอปล่อยตัวชั่วคราวนางชัชชญาแล้ว เห็นควรให้ส่งเรื่องให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา เพื่อมีคำสั่งต่อไป จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้คุมตัวนางชัชชญาไปควบคุมไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง บางเขน ระหว่างรอคำสั่งของศาลอุทธรณ์
1.คสช. ยกเลิกเคอร์ฟิวทั่ว ปท.แล้ว เตรียมผุดเมกะโปรเจ็กต์ 3 ล้านล้านพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้าน “บิ๊กตู่” ยัน ยังไม่เคาะ!
ความเคลื่อนไหวของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะหัวหน้า คสช. ได้เผยแผนการทำงานของ คสช.ระหว่างเป็นประธานประชุมสัมมนาหัวหน้าส่วนราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ว่า มี 3 ขั้นตอน คือ ตั้งแต่เดือน มิ.ย.-ส.ค. จะทำทุกอย่างให้เรียบร้อย ทั้งร่างธรรมนูญการปกครองชั่วคราว ,ตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และตั้งนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี เพื่อบริหารราชการ คาดว่าน่าจะตั้งรัฐบาลได้ประมาณปลายเดือน ส.ค. หรือต้นเดือน ก.ย. ซึ่งต้องเผื่อเวลา 15 วัน เพื่อทูลเกล้าฯ และหลังจากมีรัฐบาลแล้ว จะเดินหน้าทำงานและตั้งสภาปฏิรูป โดยจะนำทุกภาคส่วน โดยเฉพาะคู่ขัดแย้งไปรวมกันและคัดกันออกมาเป็นสภาปฏิรูป
ทั้งนี้ ช่วงค่ำวันเดียวกัน(13 มิ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยเผยความคืบหน้าการทำงานของ คสช.ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า มีการประกาศกฎอัยการศึก มีการจับกุมอาวุธสงคราม 88 กระบอก ปืนเถื่อน ทั้งปืนพก ปืนลูกซอง ปืนผลิตเอง 1,268 กระบอก กระสุน 7,000 กว่านัด ระเบิด 300 กว่าลูก พร้อมยืนยัน จะเร่งจับกุมอาวุธสงครามต่อไป
ส่วนการห้ามออกนอกเคหสถานหรือเคอร์ฟิวนั้น หลังจาก คสช.ได้ทยอยประกาศยกเลิกเคอร์ฟิวในบางพื้นที่เป็นระยะๆ ล่าสุด เมื่อคืนวันที่ 13 มิ.ย. คสช.ก็ได้ประกาศยกเลิกเคอร์ฟิวทุกพื้นที่ทั่วประเทศแล้ว อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นใน กทม.ช่วงหัวค่ำวันเดียวกัน โดยเหตุเกิดใกล้ป้อมจราจรแยกพระราม 9 ส่งผลให้รถยนต์ที่กำลังผ่านบริเวณดังกล่าวได้รับความเสียหาย 2 คัน และกระจกป้อมตำรวจเสียหายเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดตรวจสอบพบกระเดื่องระเบิด RGD 5 ซึ่งเป็นระเบิดชนิดขว้างของรัสเซีย รัศมีทำลาย 6 เมตร
ด้าน คสช.ชี้แจงว่า การประกาศยกเลิกเคอร์ฟิวทั่วราชอาณาจักร เนื่องจากการข่าวจากฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง ประเมินร่วมกันแล้วว่า สถานการณ์เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่มีความเคลื่อนไหวในลักษณะต่อต้าน คสช. จึงต้องการสร้างบรรยากาศที่ดีและผ่อนคลายให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว แต่หากพื้นที่ใดมีการเคลื่อนไหวที่กระทบต่อความมั่นคง คสช.อาจจะพิจารณากลับมาประกาศเคอร์ฟิวได้อีกเป็นรายพื้นที่
ทั้งนี้ คสช.ได้พยายามจัดกิจกรรมเดินหน้าคืนความสุขให้คนไทยในรูปแบบต่างๆ เช่น ให้ประชาชนได้ชมภาพยนตร์เรื่อง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวร” ฟรีพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 15 มิ.ย. รอบ 11.00น.
เป็นที่น่าสังเกตว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา คสช.ได้ผุดแผนยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งของประเทศ โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณมากถึง 3 ล้านล้านบาท ทำให้หลายฝ่ายจับตาว่า คสช.กำลังผุดโครงการที่ใช้งบมากกว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์เสียอีก ทั้งนี้ แผนดังกล่าวเสนอโดยกระทรวงคมนาคม โดยเสนอเข้าที่ประชุมที่มี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช. เป็นประธานเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. โดยมีผู้บริหารกระทรวงการคลังเข้าร่วมประชุมด้วย ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว วงเงิน 3 ล้านล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการโครงการระหว่างปี 2558-2565 ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ แต่ขอให้ตัดโครงการรถไฟความเร็วสูงออกจากแผนไปก่อน เนื่องจากเห็นว่าไม่ใช่โครงการเร่งด่วน พร้อมให้กระทรวงคมนาคมไปหารือกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาแหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้ในการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จในสัปดาห์หน้า และนำมาเสนอ พล.อ.อ.ประจินพิจารณาอีกครั้งก่อนวันที่ 19 มิ.ย.
ด้านนายสมชัย ศิริวัฒนโชค ปลัดกระทรวงคมนาคม ชี้แจงเหตุที่แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวใช้งบมากกว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านของรัฐบาลก่อนว่า เนื่องจากครั้งนี้เป็นการลงทุนทั้งทางรถไฟ ทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ซึ่ง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้าน ไม่มีการลงทุนทางอากาศ จึงน้อยกว่าแผนในครั้งนี้
ทั้งนี้ หลังมีข่าวว่า คสช.อนุมัติแผนยุทธศาสตร์ 3 ล้านล้านบาทแล้ว ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. รีบออกมายืนยันว่า ตนยังไม่ได้อนุมัติแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวแต่อย่างใด เป็นเพียงการหารือของคณะกรรมการแต่ละฝ่าย และต้องไปถามสำนักงบประมาณก่อนว่ามีเงินอยู่เท่าไหร่ คิดว่ามีบางคนปล่อยข่าว เพื่อให้ประชาชนเรียกร้องและทำให้งานสะดุด
2.คสช. ไฟเขียว “วอยซ์ทีวี-ทีนิวส์” ออกอากาศแล้ว พ่วงวิทยุชุมชนบางส่วน ด้าน “ASTV-บลูสกาย” ยังรอลุ้น!
ความคืบหน้ากรณีที่ คสช.ได้ออกประกาศให้สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม เคเบิล และโทรทัศน์ระบบดิจิตอล 14 สถานีระงับการออกอากาศ รวมทั้งวิทยุชุมชนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย และวิทยุชุมชนที่ได้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการนั้น ล่าสุด เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. คสช.ได้ออกประกาศอนุญาตให้สถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี และสถานีโทรทัศน์ทีนิวส์ ออกอากาศได้ตามปกติแล้ว โดยจะต้องปฏิบัติตามประกาศของ คสช.และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เช่น ห้ามสร้างความขัดแย้งหรือต่อต้านการปฏิบัติงานของ คสช. นอกจากนี้ยังอนุญาตให้วิทยุชุมชนที่ได้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการ ออกอากาศได้ตามปกติเช่นกัน โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ กฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการกระจายเสียงฯ
สำหรับสถานีโทรทัศน์อีก 12 สถานีที่ยังถูกระงับออกอากาศ ประกอบด้วย 1. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเอ็มวี 5 2. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมดีเอ็นเอ็น 3. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมยูดีดี 4. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเอเชียอัพเดท 5.สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมพีแอนด์พี 6. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมโฟร์แชนแนล 7. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมบลูสกาย 8. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเอฟเอ็มทีวี 9. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเอเอสทีวี 10. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมฮ็อตทีวี 11. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเร็สคิ้ว 12. สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย(คปท.)
ซึ่งในส่วนของวอยซ์ทีวีและทีนิวส์นั้น ได้ยื่นปรับผังรายการ พร้อมขอออกอากาศอีกครั้งต่อ กสทช. และ กสทช.พิจารณาแล้วมีมติเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ส่งเรื่องให้ คสช.อนุญาตให้สถานีโทรทัศน์ทั้งสองกลับมาออกอากาศได้ตามปกติ ขณะที่สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมบลูสกายได้ยื่นหนังสือต่อ กสทช.เพื่อขอกลับมาออกอากาศปกติเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. เช่นเดียวกับสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV ที่ได้ยื่นหนังสือต่อ คสช.และ กสทช.เพื่อขอกลับมาออกอากาศตามปกติเช่นกันเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.
ด้าน พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์(กสท.) พูดถึงการวางกรอบแนวทางอนุญาตให้วิทยุชุมชนกลับมาออกอากาศได้อีกครั้ง เพื่อเสนอให้ คสช.พิจารณาว่า เบื้องต้นจะอนุญาตให้เฉพาะกลุ่มที่เคยได้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการจาก กสทช.ราว 5,000 สถานี และกลุ่มที่ได้ยื่นขอรับใบอนุญาตแล้ว แต่อยู่ระหว่างการพิจารณาอีกราว 1,000 สถานี ส่วนผู้ที่ไม่เคยยื่นขอรับใบอนุญาตมาก่อน จะไม่ได้กลับมาออกอากาศอีก "จะมีมาตรการเพิ่มก่อนให้กลับมาออกอากาศได้ อาทิ ไม่ให้ผู้ใดเป็นเจ้าของสถานีวิทยุมากเกินไป หรือการตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องส่งสัญญาณ เสาส่ง เสาอากาศ ให้ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้"
สำหรับความคืบหน้ากรณีที่ คสช.มีคำสั่งเรียกบุคคลต่างๆ เข้ารายงานตัวนั้น สัปดาห์ที่ผ่านมา บุคคลที่เข้ารายงานตัว ได้แก่ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และจำเลยคดีก่อการร้าย ได้เข้ารายงานตัวตามคำสั่ง คสช.เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. โดยได้ประกาศว่า พร้อมจะใช้ความเป็นศิลปินนักร้องช่วยในการสร้างความปรองดองและความสามัคคีให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองตามแนวทางของศูนย์ปรองดองสมานฉันท์
ขณะที่แกนนำพรรคเพื่อไทยและแกนนำคนเสื้อแดงบางคนได้ถูก คสช.ออกคำสั่งเรียกซ้ำ หลังไม่ยอมเข้ารายงานตัว เช่น นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ,นายชินวัฒน์ หาบุญพาด แกนนำคนเสื้อแดง ,นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือแซ่ด่าน อดีตแกนนำกลุ่มแดงสยาม ,นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ และนายศรัณย์ ฉุยฉาย หรืออั้ม เนโกะ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีฐานหมิ่นสถาบัน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนายวรเจตน์นั้น เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ได้ส่งนางพัชรินทร์ ภาคีรัตน์ ภรรยา เข้ารายงานตัวแทน โดยอ้างว่าตนเองป่วย ไม่สามารถเข้ารายงานตัวได้ เป็นที่น่าสังเกตว่า วันเดียวกัน นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางไปยังหอประชุมกองทัพบก เทเวศร์ คาดว่าเป็นการเข้ารายงานตัวตามคำสั่ง คสช.เช่นกัน
ส่วนนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด แกนนอนกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ที่ไม่ยอมเข้ารายงานตัวและถูกจับกุมที่ จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.นั้น เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจกองปราบปรามได้นำตัวนายสมบัติขึ้นศาลทหารเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. เพื่อขอฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ซึ่งตุลาการศาลทหารอนุญาตให้ฝากขัง และไม่อนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง หากปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาอาจไปกระทำการใดๆ ให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายสมบัติไปควบคุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ด้านนายธานัท ธนวัชรนนท์ หรือพันทิวา ภูมิประเทศ หรือ “ทอม ดันดี” อดีตนักร้องและแนวร่วมคนเสื้อแดง ซึ่งไม่ยอมเข้ารายงานตัวต่อ คสช. ก็ได้ถูกจับกุมแล้วที่ จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ก่อนถูกนำตัวไปควบคุมที่กองปราบปราม ทั้งนี้ นายธานัท นอกจากขัดคำสั่ง คสช.แล้ว ยังถูกแจ้งความดำเนินคดีต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ฐานหมิ่นเบื้องสูงด้วย จากกรณีขึ้นเวทีปราศรัยที่ จ.ราชบุรี โดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการ
3.กสทช. ควัก 427 ล้านจ่ายอาร์เอส แลกถ่ายสดบอลโลกผ่านฟรีทีวีทั้ง 64 คู่ หลังศาล ปค.สูงสุดตัดสินให้แพ้คดี!
เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุด ได้ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีที่บริษัท อาร์เอส อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง แอนด์ สปอร์ต แมเนจเม้นท์ จำกัด ในเครือบริษัท อาร์เอส จำกัด(มหาชน) ฟ้องสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ขอให้เพิกถอนประกาศ กสทช.เรื่อง หลักเกณฑ์รายการโทรทัศน์สำคัญที่ให้เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป(มัสต์แฮฟ) ที่ กสทช.บังคับใช้ให้อาร์เอสในฐานะผู้ถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 ต้องถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกครบทั้ง 64 คู่ผ่านฟรีทีวี ขณะที่อาร์เอสต้องการถ่ายทอดผ่านฟรีทีวีแค่ 22 คู่เท่านั้น โดยศาลเปิดให้คู่กรณีแถลงปิดคดี จากนั้นได้แจ้งให้ทั้ง 2 ฝ่ายมาฟังคำพิพากษาในวันที่ 11 มิ.ย. เวลา 13.00น.
ทั้งนี้ นายวิบูลย์ กัมมาระบุตร ตุลาการผู้แถลงคดี ได้แถลงความเห็นส่วนตัว ซึ่งไม่มีผลผูกพันต่อการวินิจฉัยคดีขององค์คณะศาลปกครองสูงสุด โดยเห็นว่าควรกลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นที่ให้อาร์เอสชนะคดี เนื่องจากที่ผ่านมาอาร์เอสไม่ได้ชี้แจงและแสดงมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากประกาศมัสต์แฮฟของ กสทช. อีกทั้งเห็นว่า ประโยชน์ของสาธารณชนที่จะไม่ได้รับชมรายการกีฬาสำคัญ เป็นเรื่องสำคัญกว่าประโยชน์ของเอกชนคืออาร์เอสเพียงรายเดียว จึงเห็นควรนำฟุตบอลโลกทุกคู่มาถ่ายทอดสดผ่านฟรีทีวี
หลังตุลาการผู้แถลงคดีมีความเห็นดังกล่าว นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อาร์เอส ได้ออกมาส่งสัญญาณว่า หากบริษัทถูกตัดสินให้แพ้คดี เป็นไปได้ว่า อาจต้องจอดำทั้งประเทศ หรือไม่สามารถถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2014 ได้ เพราะขัดต่อข้อตกลงที่ทำไว้กับสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ(ฟีฟ่า)
นางพรพรรณ ยังเผยด้วยว่า อาร์เอสได้ทำสัญญากับบริษัท ทรู วิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด เพื่อให้ทรู วิชั่นส์เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 ครบทั้ง 64 คู่ โดยอาร์เอสจะอนุญาตให้นำช่องรายการ “เวิลด์คัพ” ซึ่งเป็นรายการที่ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 ครบทั้ง 64 คู่ ไปออกอากาศบนโครงข่ายของทรู วิชั่นส์ แต่อำนาจในการควบคุมดูแลการถ่ายทอดสด และการบริหารลิขสิทธิ์ยังคงเป็นของอาร์เอส
วันต่อมา(11 มิ.ย.) ซึ่งเป็นวันที่ศาลปกครองสูงสุดนัดฟังคำพิพากษา ปรากฏว่า ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ที่มีนายประวิตร บุญเทียม เป็นตุลาการเจ้าของสำนวนคดี ได้พิพากษาให้เพิกถอนข้อ 3 ของประกาศ กสทช.เกี่ยวกับกฎมัสต์แฮฟ ที่กำหนดให้รายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายจะต้องให้บริการเป็นรายการทั่วไป เนื่องจากประกาศดังกล่าวมีผลกระทบต่อสิทธิของบริษัท อาร์เอส ที่ได้รับอนุญาตจากฟีฟ่าให้เป็นผู้เผยแพร่ภาพและเสียงการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปี ค.ศ.2014 แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เนื่องจากประกาศดังกล่าวของ กสทช.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะให้มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง ขณะที่บริษัท อาร์เอส ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 ก่อนที่จะมีประกาศดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองสูงสุดยังคงให้ประกาศ กสทช.ดังกล่าวมีผลบังคับใช้เป็นการทั่วไปได้ในกรณีอื่น
ทั้งนี้ หลังฟังคำพิพากษา นายสุพรรณ เสือหาญ ทนายความฝ่ายกฎหมายบริษัท อาร์เอส บอกว่า อาร์เอสพึงพอใจแล้วกับคำพิพากษา และจะดำเนินงานตามแผนธุรกิจเดิมที่ได้วางไว้ต่อไป และอนุญาตให้ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 ผ่านฟรีทีวีเพียง 22 คู่ตามเดิม ขณะที่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธาน กสทช.บอกว่า น้อมรับคำตัดสินของศาล พร้อมยืนยัน กสทช.ได้ดำเนินการเพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการรับบริการโทรทัศน์โดยเท่าเทียมกันอย่างเต็มความสามารถแล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นมีรายงานจากสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ว่า มีนโยบายจะร่วมกับอาร์เอสในการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 เพื่อคืนความสุขให้คนไทยตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) โดยจะมีการเจรจาและแถลงยืนยันถึงความร่วมมือในวันที่ 12 มิ.ย.
ต่อมา นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช.เผยว่า คสช.ได้ประสานมายัง พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธาน กสทช. ให้หาแนวทางคืนความสุขให้คนไทยทั้งประเทศในการรับชมฟุตบอลโลกผ่านฟรีทีวีครบทั้ง 64 คู่ โดย กสทช.ได้เชิญอาร์เอส ในฐานะเจ้าของลิขสิทธิ์มาหารือกันถึงมูลค่าในการจัดซื้อลิขสิทธิ์ต่อจากอาร์เอส เพื่อไปถ่ายทอดสดผ่านฟรีทีวีทุกคู่ โดยเบื้องต้น กสทช.จะนำเงินจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ(กทปส.) ไปชำระการซื้อต่อค่าลิขสิทธิ์จากอาร์เอส
จากนั้นวันต่อมา(12 มิ.ย.) ที่ประชุมบอร์ด กสทช.ได้มีมติอนุมัติกรอบวงเงินที่จะจ่ายค่าชดเชยลิขสิทธิ์แก่อาร์เอสจำนวน 427.01 ล้านบาท โดยนำเงินจากกองทุน กทปส. ทั้งนี้ นายฐากร เผยว่า เงินจำนวนดังกล่าว คิดจากค่าเสียโอกาสของทางอาร์เอสในการขายกล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียม “บอลโลก” ซึ่งอาร์เอสนำเข้ามา 1 ล้านกล่อง แต่ขณะนี้ขายไปได้ประมาณ 3 แสนกล่อง รวมทั้งคำนวณวงเงินที่อาร์เอสได้รับเพิ่มเติมจากส่วนต่างๆ เช่น เงินที่ได้รับจากค่าบริหารจัดการลิขสิทธิ์ให้แก่เคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม และรายได้ที่อาร์เอสได้รับจากค่าโฆษณา และว่า ตอนแรก กองทุน กทปส.เสนอตัวเลขมา 492.481 ล้านบาท ขณะที่อาร์เอสเสนอ 766.51 ล้านบาท แต่ กสทช.เห็นควรให้จ่าย 427.01 ล้านบาท
ทั้งนี้ วันเดียวกัน(12 มิ.ย.) พล.ท.ชาตอุดม ติตถะสิริ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ได้แถลงข่าวความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตร ได้แก่ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 และช่อง 8 ในเครืออาร์เอส ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2014 ครบทั้ง 64 นัด โดยช่อง 7 จะถ่ายทอดสด 29 นัด ,ช่อง 5 ถ่ายทอดสด 38 นัด และช่อง 8 ถ่ายทอดสด 56 นัด (บางนัดถ่ายทอดมากกว่า 1 ช่อง)
ด้านนายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส พูดถึงกรณีที่อาร์เอสได้รับการประสานจาก กสทช.เพื่อนำสัญญาณภาพการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ถ่ายทอดสดผ่านฟรีทีวีครบทั้ง 64 คู่ โดยจะได้รับค่าชดเชยจาก กสทช.427 ล้านบาทว่า ในมุมของอาร์เอส เงินจำนวนดังกล่าวถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย เมื่อเทียบกับเงินคาดการณ์รายได้ และเงินที่ต้องใช้ในการเยียวยาลูกค้าที่ซื้อกล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียม “บอลโลก” หรือลูกค้ากล่องทีวีดาวเทียม “ซันบอกซ์” ที่ซื้อช่อง “เวิลด์คัพ” ไปก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม อาร์เอสยอมรับข้อเสนอดังกล่าว เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้ควรมองเรื่องประโยชน์ของบริษัทเป็นเรื่องรอง “การที่ยอมรับข้อตกลงนี้ แม้เราจะไม่ขาดทุน แต่ได้ไม่คุ้มเสีย ตรงที่เสียโอกาส ไม่สามารถหารายได้ตามแผนธุรกิจที่พึงจะได้ในอนาคต การทำข้อตกลงครั้งนี้ เราไม่ได้ขายลิขสิทธิ์ สิทธิในการบริหารจัดการยังเป็นของเราอยู่”
ในเวลาต่อมา นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อาร์เอส เผยหลังหารือกับคณะอนุกรรมการ กสทช.ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ถึงแนวทางการเยียวยาผู้บริโภคที่ซื้อกล่องบอลโลกว่ามี 3 แนวทาง คือ 1.ให้ลูกค้านำกล่องบอลโลกมาแลกคืนกับอาร์เอส โดยจะได้รับเงินคืนเต็มจำนวน 1,500 บาท 2.ลูกค้าที่ซื้อกล่องบอลโลก ให้อาร์เอสตัดช่องเวิลด์คัพออก และจะคืนเงินให้ 299 บาท และ 3.ลูกค้ากล่องซันบ็อกซ์ที่ซื้อช่องรายการเวิลด์คัพ ขอให้ตัดช่องดังกล่าวออกพร้อมรับเงินคืนเต็มจำนวน 299 บาท ส่วนรายละเอียดการเยียวยา ทั้งวัน เวลา และสถานที่ อาร์เอสจะประกาศทางเว็บไซต์บริษัทในวันที่ 16 มิ.ย. หรือภายหลังหารือรายละเอียดปลีกย่อยกับ กสทช.เสร็จสิ้นแล้ว
ด้าน พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ในฐานะทีมโฆษก คสช.ได้ออกมาปฏิเสธกรณีมีข่าวว่า คสช.สั่งให้ กสทช.ใช้เงินกองทุน กทปส.ซื้อลิขสิทธิ์จากอาร์เอสเพื่อให้ฟรีทีวีถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกครบ 64 นัดว่า คสช.เพียงแค่ประสานให้ทางภาคเอกชนและ กสทช.ได้พูดคุยหารือกันถึงเรื่องดังกล่าว เนื่องจากเป็นความต้องการของหลายคน แต่ขณะเดียวกันต้องเข้าใจระบบธุรกิจในปัจจุบัน ซึ่งอาจแตกต่างจากเดิม
4.ศาล พิพากษาจำคุกอดีตนักร้องสาว “ยู่ยี่” 15 ปี คดีซุกโคเคน ด้านสามียื่น 2 ล้านขอประกัน-รอศาลอุทธรณ์ชี้ขาด!
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดียาเสพติด 1 เป็นโจทก์ฟ้องนางชัชชญา เกวสต้า รามอส หรือยู่ยี่-อลิสา อินทุสมิต อายุ 41 ปี อดีตนักร้อง นักแสดง และนางแบบ เป็นจำเลย ฐานมียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และนำยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4 ,7 ,8 ,16 ,17 ,68 และ 69
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2555 เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองประจำสนามบินดอนเมือง(ตม.) พบจำเลยเดินทางมาจากประเทศเวียดนาม อยู่บริเวณอาคารผู้โดยสารขาเข้าและเข้าห้องน้ำ ท่าทางมีพิรุธจึงขอค้นตัว พบโคเคนอยู่ในกระเป๋าเดินทาง จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ดอนเมือง แจ้งข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและนำเข้ามาในราชอาณาจักร ขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ซึ่งในชั้นสอบสวน จำเลยให้การปฏิเสธ โดยท้ายคำฟ้อง อัยการโจทก์ขอให้ศาลบวกโทษตามความผิดคดีลักลอบมีสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ที่ศาลมีนบุรีมีคำพิพากษาจำคุก 3 เดือน ปรับ 2,000 บาท เข้ากับโทษในคดีนี้ด้วย
ด้านศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเบิกความว่า วันเกิดเหตุ ได้ยินเสียงหญิงสาวส่งเสียงดังมาจากห้องโถง บริเวณข้างห้องน้ำ จึงได้เข้าไปตรวจสอบ พบจำเลยสะพายกระเป๋าอยู่ ยืนส่งเสียงดัง จึงขอตรวจค้นกระเป๋าสะพาย พบหลอดบรรจุช็อกโกแลต เปิดออกพบผงสีขาวในซองพลาสติกและเม็ดยาหลากสีปะปนกับเม็ดช็อกโกแลต ตรวจสอบพบเป็นสารเสพติดโคเคน ซึ่งพยานได้ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน จึงเชื่อว่าเบิกความตามจริง ขณะที่บันทึกการจับกุมระบุว่า จำเลยรับว่าวันเกิดเหตุ ได้เดินทางกลับจากเวียดนาม โดยยาเสพติดดังกล่าวเป็นยาเสพติดที่เหลือจากการเสพในประเทศเวียดนามเมื่อวันที่ 9 พ.ย.2555 ซึ่งตามบันทึกจับกุม เกิดขึ้นในวันเดียว จึงเชื่อว่ายากที่จะมีการปรุงแต่งรายละเอียดเพื่อให้จำเลยต้องรับโทษ
ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ได้รับหลอดช็อกโกแลตมาจากผู้โดยสารอื่นบนเครื่องบิน ศาลเห็นว่า ภายในหลอดมีสารเสพติดที่แพคและซุกซ่อนเป็นอย่างดี เป็นเรื่องยากที่คนแปลกหน้าซึ่งไม่รู้จักจำเลยจะมอบให้ และที่อ้างว่า เมื่อถูกจับกุม จำเลยได้รับแจ้งว่าจะมีโทษแค่ปรับเท่านั้น ก็พบว่าตามบันทึกจับกุม จำเลยได้ลงลายมือชื่อโดยไม่มีการโต้แย้งใดๆ ข้ออ้างของจำเลยจึงเลื่อนลอย จึงรับฟังโดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยนำโคเคนเข้ามาในราชอาณาจักร และมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
จึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด มาตรา 16 ,174 ,68 และ 69 ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานนำเข้ายาเสพติดโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นบทลงโทษหนักสุด จำคุก 20 ปี และปรับ 2 ล้านบาท แต่คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา เห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกจำเลยเป็นเวลา 15 ปี และปรับ 1.5 ล้านบาท โดยให้นำโทษจำคุก 3 เดือน ในคดีลักลอบมีสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตของศาลจังหวัดมีนบุรีมานับรวมด้วย รวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 15 ปี 3 เดือน และปรับ 1.5 ล้านบาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับ ให้กักขังแทนค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
หลังฟังคำพิพากษา นางชัชชญา หรือยู่ยี่ ซึ่งเดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมสามี และทนายความ ไม่ได้สัมภาษณ์ใดๆ ขณะที่นายประเสริฐ บุญแก้ว ทนายความ บอกว่า สามีนางชัชชญา ได้เตรียมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 2 ล้านบาท เพื่อยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์สู้คดี โดยเห็นว่าโทษดังกล่าวสูงเกินไป และว่า ขณะที่นางชัชชญาถูกตรวจค้นจับกุม ก็มีจำนวนสารเสพติดแค่ 0.5 มิลลิกรัมเท่านั้น
ทั้งนี้ ศาลอาญาพิจารณาคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เงินสด 2 ล้านบาทในการขอปล่อยตัวชั่วคราวนางชัชชญาแล้ว เห็นควรให้ส่งเรื่องให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา เพื่อมีคำสั่งต่อไป จากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้คุมตัวนางชัชชญาไปควบคุมไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง บางเขน ระหว่างรอคำสั่งของศาลอุทธรณ์