ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ศิษย์เก่านายสิบทหารบกกังขา ส.ห.มณฑลทหารบกที่ 14 ชลบุรี ถูกยิงตายอย่างมีเงื่อนงำ ตำรวจชุดปราบยาเสพติดภาค 2 อ้างจับกุมแต่หลบหนีไปซอยตัน ระหว่างปลุกปล้ำเกิดปืนลั้น นำส่งโรงพยาบาลแต่เสียชีวิตก่อน แต่ภาพเมื่อพบศพพบนอนจมกองเลือดบนเตียง รองผู้การฯ ภาค 2 แค่ยอมรับว่าพลาดแต่ไม่รับผิดชอบ สะพัด ผบ.ทบ.สั่งปิดข่าว นัดรวมตัวผ่านไลน์เรียกร้องความเป็นธรรมวันนี้
วานนี้ (18 มี.ค.) ผู้สื่อข่าว ASTVผู้จัดการออนไลน์ ได้รับเบาะแสจากข้าราชการทหารซึ่งเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนนายสิบทหารบก (NCO) ถึงความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ ส.อ.อารยะ หาญกล้า อายุ 25 ปี ทหารสังกัดกองร้อยทหารสารวัตร (ส.ห.) มณฑลทหารบกที่ 14 จ.ชลบุรี ถูกบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งระบุภายหลังว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้ามาจับกุมคดียาเสพติด ใช้อาวุธยิงเสียชีวิต เมื่อเวลาประมาณ 21.30 น. ของวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา ภายในค่ายนวมินทราชินี ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.ชลบุรี
ทั้งนี้ ร.ท.เชิดศักดิ์ เปลี่ยนสะอาด ทหารประจำกองร้อยทหารสารวัตร มณฑลทหารบกที่ 14 เข้าพบ ร.ต.ท.สุทธิพล กลิ่นอุดม ร้อยเวร สภ.เมืองชลบุรี แจ้งว่าได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ให้ดำเนินคดีในความผิดฐานบุกรุกสถานที่ราชการในเวลากลางคืน โดยมีอาวุธ ฆ่าคนตายโดยเจตนา พกพาอาวุธปืน ยิงปืนโดยใช่เหตุ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่ง ร.ต.ท.สุทธิพล ได้รับแจ้งความเพื่อทำการสอบสวน
อย่างไรก็ตาม ในบรรดาศิษย์เก่าโรงเรียนนายสิบทหารบก ได้วิพากษ์วิจารณ์การเสียชีวิตของ ส.อ.อารยะ ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมรุ่นอย่างมีเงื่อนงำ โดยมีการส่งต่อข้อความผ่านทางไลน์แบบต่อๆ กันว่า ส.อ.อารยะ ถูกตำรวจเข้ามายิงในหน่วย โดนยิงจากด้านหลังโดยเจ้าตัวไม่มีอาวุธและไม่มีการขัดขืน โดนยิงจากด้านหลังใน มทบ.14 ชลบุรี (โดยขั้นต้นที่ทราบมา เจ้าหน้าที่ตำรวจมาในลักษณะนอกเครื่องแบบและทำการยิงใส่หลายนัด ทำให้ผู้เสียชีวิตวิ่งหนี โดยผู้เสียชีวิตไม่มีอาวุธติดตัว และโดนยิงจากด้านหลัง เสียชีวิตบริเวณหน้าบ้านพักข้าราชการทหาร) ตามระเบียบแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีอำนาจภายในค่ายทหาร ต้องประสานงานเข้ามาที่ต้นสังกัด เพื่อนำตัวมาสอบสวนภายใต้กฎหมายทหารและการสอบสวนไม่มีความคืบหน้า
อีกด้านหนึ่ง ยังมีข้อความในไลน์อีกชุดหนึ่ง ระบุถึงข้อเท็จจริงที่รวบรวมได้ของ ร้อย สห.มทบ.14 ระบุว่า กลุ่มตำรวจ 5 นาย ได้ขับรถยนต์ผ่านป้อมยามรักษาการณ์เข้ามาได้เนื่องจากหนึ่งในนั้นเป็นบุตรของกำลังพลในค่ายและได้เข้าดักรอ ส.อ.อารยะ หน้าบ้านพักของผู้เสียชีวิต โดยสภาพที่เกิดเหตุผู้เสียชีวิตนอนใส่กางเกงในตัวเดียว โดนยิงจากด้านหลัง เสียชีวิตทันที และผู้อยู่ในที่เหตุการณ์ ได้บอกว่า มีการไล่ยิงผู้เสียชีวิตที่เพิ่งขับรถกลับมาถึงบ้าน และได้มีเสียงตะโกนบอกว่ายอมแล้ว กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ตายเข้าไปในบ้าน และได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ก่อนที่กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจจะรีบออกมา แต่ทางเจ้าหน้าที่รักษาการณ์เข้ามาจึงเข้าระงับเหตุ กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มนี้ได้หลบหนี แต่ควบคุมผู้ก่อเหตุ ได้ 1 คน เป็นตำรวจยศ ส.ต.อ.โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนายนี้ให้การว่า เป็นชุดสืบยาเสพติด เข้ามาจับกุมผู้เสียชีวิต และได้ทำปืนลั่นใส่ผู้เสียชีวิต (พี่ที่อยู่ในเหตุการณ์บอกว่ามันเดินดูดบุหรี่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น) เจ้าหน้าที่รักษาการจึงควบคุมไว้ที่ห้องขังกองรักษาการณ์ จนเวลาเช้าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มารับตัวไป และในขณะนี้ไม่สามารถติดตามผู้ก่อเหตุได้ และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ยินยอมให้ทำข่าว และ ผู้บังคับการตำรวจภูธรภาค2 ได้ เข้าพบผู้บังคับบัญชาทางทหารแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีการแชร์ภาพ ส.อ.อารยะ ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณเตียงนอนในห้องพัก สภาพศพนอนหงายบนที่นอน เปลือยท่อนบน สวมกางเกงชั้นในตัวเดียว และมีรอยเลือดตามพื้นห้องพัก และจากการชันสูตรศพพบ ส.อ.อารยะ ถูกยิงจากบริเวณด้านหลังเป็นรูอีกด้วย โดยภาพดังกล่าวเป็นที่วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง และยังถูกส่งต่อในวงนอกเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมด้วย
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า พล.ต.ณัฐ อินทรเจริญ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 14 พร้อมด้วยคณะฝ่ายเสนาธิการ ฝ่ายสารวัตรทหาร นายทหารพระธรรมนูญ และอัยการ มณฑลทหารบกที่ 14 ได้ร่วมกันตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ และได้ลำดับเหตุการณ์รายงานเป็นการภายใน ว่า ส.อ.อารยะ พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักข้าราชการ ภายในค่ายนวมินทราชินี บริเวณซอย 4 โดยอยู่ร่วมกับภรรยานอกสมรส ซึ่งอดีตเคยมีสามีแล้ว และสามีถูกจำคุกคดียาเสพติด ภรรยาจึงมาอยู่กินกับ ส.อ.อารยะ ภายหลังสามีเก่าพ้นโทษ แต่ยังมีพฤติกรรมร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดกับอดีตภรรยา ซึ่งยังมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
เมื่อค่ำวันที่ 13 มี.ค.ไม่ทราบเวลาที่แน่นอน ชุดปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดภาค 2 ได้ทำการล่อซื้อยาบ้าจากอดีตสามีเก่าของภรรยานอกสมรส ส.อ.อารยะ และสามารถจับกุมตัวได้ จึงทำการสืบสวนขยายผลมาและล่อซื้อมาถึง ส.อ.อารยะ และภรรยานอกสมรสซึ่งขณะนั้นพักอาศัยภายในบ้านพักดังกล่าวข้างต้น ต่อมาเมื่อเวลา 21.00 น.ชุดปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดภาค 2 ประมาณ 6 คน ได้บุกรุกเข้ามาบริเวณบ้านพักข้าราชการดังกล่าวภายในค่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และจู่โจมเข้าจับกุม ส.อ.อารยะ
ตำรวจกล่าวอ้างว่ากำลังจะนำยาเสพติดไปส่งให้ลูกค้าซึ่งเป็นการล่อซื้อจากชุดปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดภาค 2 ส.อ.อารยะ ไหวตัว และวิ่งหลบหนี ตำรวจจึงยิงปืนขู่ และวิ่งไล่ติดตามจับกุมเป็นระยะทางประมาณ 100 เมตร ส.อ.อารยะวิ่งหลบหนีไปพบซอยตัน ตำรวจจึงเข้าปลุกปล้ำจับกุม ในระหว่างจับกุมตำรวจกล่าวอ้างว่าเกิดปืนลั่นเข้าบริเวณแผ่นหลังชายโครงด้านซ้ายวิภีกระสุนทะลุผ่านออกบริเวณหัวไหล่ซ้ายด้านหน้าในเวลาต่อมาได้นำส่งโรงพยาบาลค่ายนวมินทราชินี แพทย์ และพยาบาลได้ทำการกู้ชีพ แต่เนื่องจากสาเหตุกระสุนผ่านจุดสำคัญเส้นเลือดใหญ่บริเวณปอด ทำให้เสียเลือดมากจึงเป็นเหตุให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา
ต่อมาเมื่อเวลา 22.00 น.รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 พร้อมด้วยผู้บัญชาการสารวัตรสืบสวนตำรวจภูธรภาค 2 ผู้บังคับบัญชาฝ่ายตำรวจพร้อมด้วยชุดปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดภาค 2 ได้เข้ามากล่าวขอโทษ และขออนุญาตร่วมกับคณะผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 14 ตรวจสรุปเหตุการณ์ชั้นต้น โดยผู้บังคับบัญชาฝ่ายตำรวจยอมรับในความบกพร่องผิดพลาดของชุดปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดภาค 2 ที่กระทำเกินกว่าเหตุ โดยไม่ประสานขออนุญาต และไม่เหมาะสมต่อสถานการณ์ ซึ่งได้แสดงการขอโทษอย่างไม่เป็นทางการ และให้สัญญาว่าจะให้ความเป็นธรรมตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎ และได้ร่วมชี้แจงทำความเข้าใจต่อกำลังพลฝ่ายทหาร รวมเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง
ต่อมาเวลา 01.00 น.ต่อเนื่องคืนวันที่ 14 มี.ค.ได้ประสานให้ตำรวจวิทยาการทำการพิสูจน์คราบเขม่า และเก็บรวบรวมหลักฐานตำรวจชุดจับกุมที่ทำการยิงปืนขู่ และผู้จับกุมที่กล่าวอ้างว่าทำปืนลั่นแล้วรวมจำนวน 2 คน จากนั้นเวลา 03.00 น.มณฑลทหารบกที่ 14 โดยผู้บังคับกองร้อยสารวัตรทหาร และฝ่ายกฎหมายมณฑลทหารบกที่ 14 ได้เดินทางไปร้องทุกข์กล่าวโทษชุดปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดภาค 2 ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองชลบุรี ในข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการในยามวิกาล, พกพาอาวุธปืนเข้ามา และใช้อาวุธในยามวิกาลโดยไม่มีเหตุอันควร เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต จากนั้นเวลา 08.30 น.โรงพยาบาลค่ายนวมินทราชินี ได้ส่งศพ ส.อ.อารยะ ให้แผนกนิติเวช โรงพยาบาลชลบุรี ผ่าพิสูจน์ศพเพื่อสรุปข้อมูลทางนิติเวชประกอบการพิจารณาดำเนินคดี และเวลา 10.00 น.พนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจร่วมกับฝ่ายทหารตรวจสถานที่เกิดเหตุเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานการดำเนินคดี
อย่างไรก็ตาม ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งกำลังพลในมณฑลทหารบกที่ 14 และศิษย์เก่าโรงเรียนนายสิบทหารบก ถึงคำให้การของตำรวจชุดปฏิบัติการยาเสพติด เนื่องจากตำรวจระบุว่า ส.อ.อารยะ วิ่งหลบหนีไปพบซอยตัน ตำรวจจึงเข้าปลุกปล้ำจับกุมเกิดปืนลั่นเข้าบริเวณแผ่นหลังชายโครงด้านซ้ายวิภีกระสุนทะลุผ่านออกบริเวณหัวไหล่ซ้ายด้านหน้า และได้นำส่งโรงพยาบาลค่ายนวมินทราชินี ขัดแย้งกับภาพในที่เกิดเหตุเมื่อช่วงที่พบสภาพศพ ส.อ.อารยะ นอนหงายจมกองเลือดเสียชีวิต นอกจากนี้ตำรวจอ้างว่า ส.อ.อารยะ มีส่วนพัวพันกับข้อหายาเสพติด แต่ไม่พบว่าในการจับกุมดังกล่าวมีของกลางนำมาแสดงให้เห็น รวมทั้งยังไม่เปิดเผยบุคคลที่อ้างว่าเป็นผู้ต้องหาที่จับกุมได้ และให้การซัดทอดถึง ส.อ.อารยะ ตามที่คนบางกลุ่มได้กล่าวอ้างแต่อย่างใด
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับศพของ ส.อ.อารยะ ได้ทำการสวดพระอภิธรรมศพที่วัดเขาบางทราย ถนนสุขุมวิท ต.บางทราย อ.เมือง จ.ชลบุรี ซึ่งบรรดาศิษย์เก่าโรงเรียนนายสิบทหารบก ยังได้นัดรวมตัวกันที่ สภ.เมือง จ.ชลบุรี ในวันที่ 19 มี.ค.นี้ด้วย ซึ่งแหล่งข่าวของทหารที่เผยแพร่เรื่องดังกล่าวระบุว่าผู้ที่ยิง ส.อ.อารยะ คือตำรวจชื่อ ด.ต.ดำรงค์ (ไม่ทราบนามสกุล) มีตำแหน่งเป็น ผบ.หมู่ปราบปราม ซึ่งเป็นหนึ่งในชุดปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดภาค 2 อีกด้วย
นอกจากนี้ น.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ระบุถึงเรื่องนี้ในเฟซบุ๊กว่า ทีมโฆษกกองทัพบกไม่ยอมชี้แจงเรื่องนี้ มีแต่ข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก สั่งปิดข่าว และให้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม แต่ปัญหาคือทหารในค่าย และศิษย์เก่านายสิบทหารบก โดยเฉพาะรุ่น 12 ของผู้เสียชีวิตจำนวนมากไม่ยอม และเห็นว่าได้อดทนรอคำชี้แจงของตำรวจมาหลายวันแล้ว
อนึ่ง ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิบัติและประสานงานกรณีทหารถูกหาว่ากระทำความผิดอาญา พ.ศ.2544 ข้อ 13 และ 14 อธิบายว่า ถ้าไม่ใช่กระทำความผิดซึ่งหน้า หรือเชื่อว่าจะหลบหนี หรือมีเหตุจำเป็นอื่นใด หากทหารกระทำความผิดอาญา เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าไปจับกุมทหารผู้นั้นทันทีไม่ได้ หากแต่ต้องแจ้งผู้บังคับบัญชาของทหารผู้นั้นทราบก่อน และเรียกให้ทหารผู้นั้นมาเข้ามอบตัวเอง หากไม่เข้ามอบตัวจึงจะเข้าจับกุมได้ และถ้าขณะเข้าจับกุม หากทหารผู้นั้นสวมเครื่องแบบทหารอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องขอให้ถอดเครื่องแบบก่อนโดยแนะนำให้ทราบถึงเกียรติของเครื่องแบบทหาร และห้ามใช้กุญแจมือหรืออาวุธระหว่างการจับกุมหากไม่จำเป็นจริงๆ ทั้งนี้เพื่อความสามัคคีปรองดอง และการประสานงานระหว่างตำรวจ ทหาร และพนักงานฝ่ายปกครอง