คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1."สุขุมพันธุ์" คว้าชัย ได้นั่งผู้ว่าฯ กทม.ต่ออีกสมัย ด้วยคะแนน 1.2 ล้านเสียง ทิ้งห่าง "พงศพัศ" 1.7 แสนคะแนน พร้อมทุบสถิติยุค "สมัคร"!
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) พูดถึงการลงพื้นที่ช่วย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครของพรรคหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายว่า มีคนบอกว่าห้ามแพ้การเลือกตั้ง เพราะจะทำให้ประเทศไทยไม่เหลืออะไร แสดงว่ามีคนที่เป็นห่วงเรื่องการกินรวบประเทศอยู่พอสมควร นายอภิสิทธิ์ ยังแฉด้วยว่า ขณะนี้มีการใช้อำนาจรัฐถึงขั้นที่ว่า หากทราบว่าใครสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะติดตามถ่ายรูป เรียกตัวเขามาสอบ และดำเนินการอีกหลายอย่าง แต่ไม่เป็นอะไร พวกตนพร้อมสู้ และหวังว่า คน กทม.จะให้คำตอบว่าการใช้อำนาจรัฐแบบนี้ จะเจอกับอะไร
ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน และคณะ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธาน กกต.กทม. ขอให้ตรวจสอบการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ช่วย พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยหาเสียง เนื่องจากอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น มาตรา 60 ของ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 พร้อมกันนี้กลุ่มกรีนได้นำหลักฐานและเอกสารการถอดเทปคำปราศรัยของนายกฯ และ ครม.ที่ขึ้นปราศรัยหาเสียงมอบให้ กกต.กทม.ตรวจสอบด้วย
ขณะที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงเปิดใจทั้งน้ำตาเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ว่า “ที่ผ่านมาถือเป็นความฝันอันสูงสุดที่ได้ทำงานรับใช้ประชาชน ถ้าจะหยุดหายใจนาทีนี้ คิดว่าชีวิตของตัวเองก็คุ้มค่าแล้ว เพราะผมเป็นคนกรุงเทพฯ มาตั้งแต่เกิด ไม่เคยคิดว่าจะไปทำงานที่อื่น” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ยังบอกด้วยว่า ตนอาจจะไม่หล่อ พูดไม่เป็น แต่เรื่องทุ่มเทไม่มีปัญหา เพราะเอาคนกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งในการทำงาน มีความซื่อตรงในสายเลือด มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นเสาหลักในชีวิต พร้อมย้ำว่า 4 ปีที่ผ่านมา ตนได้พิสูจน์แล้วว่า ทำงานปกป้องผลประโยชน์คนกรุงเทพฯ ได้
ด้านนางนินนาท ชลิตานนท์ ปลัด กทม.พูดถึงการนับคะแนนเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ว่า หลังปิดหีบในเวลา 15.00น.แล้ว หากไม่มีการร้องคัดค้านหรือการประท้วงใดใด น่าจะทราบผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการได้ในเวลาประมาณ 19.00น.
ล่าสุด เมื่อเวลา 20.00น. วันที่ 3 มี.ค.ทราบผลการนับคะแนนทั้ง 50 เขต ครบ 100% แล้ว ปรากฏว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ได้นั่งผู้ว่าฯ กทม.อีกสมัย ด้วยคะแนน 1,256,231 เสียง ขณะที่ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ได้ 1,077,899 เสียง ส่วนผู้ที่ตามมาอันดับสาม คือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้สมัครอิสระ ได้ 166,582 เสียง อันดับสี่ นายสุหฤท สยามวาลา ผู้สมัครอิสระ ได้ 78,825 เสียง และนายโฆสิต สุวินิจจิต ผู้สมัครอิสระ ได้ 28,640 เสียง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ ทำให้โพล 4 สำนักหน้าแตก ประกอบด้วย สวนดุสิตโพล ,กรุงเทพโพล ,เอแบคโพลล์ ,บ้านสมเด็จโพล เพราะสำรวจความคิดเห็นประชาชนก่อนวันลงคะแนนเลือกตั้ง ระบุว่า พล.ต.อ.พงศพัศ จะชนะ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ มีเพียงสำนักเดียวที่ผลโพลถูกต้อง คือ นิด้าโพล ที่ระบุว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะชนะ พล.ต.อ.พงศพัศ ร้อยละ 43.16 ต่อ 41.45
อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ และ พล.ต.อ.พงศพัศ สามารถทำลายสถิติคะแนนเลือกตั้งเกิน 1 ล้านเสียงที่นายสมัคร สุนทรเวช ผู้สมัครจากพรรคประชากรไทย เคยได้ 1,016,096 คะแนน เมื่อปี 2543
สำหรับยอดผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวน 2,715,640 คน จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 4,244,465 คน หรือคิดเป็น 63.98% โดยเขตทวีวัฒนามีประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุด 72% ขณะที่เขตดุสิตมีประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งน้อยสุด 56.85%
2.รัฐบาล-สมช.บินมาเลเซียลงนามเจรจา “บีอาร์เอ็น” หวังยุติไฟใต้ ด้าน “ถวิล” ติง ผลีผลามยกระดับปัญหา!
หลังโจรใต้ก่อเหตุไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่อง ปรากฏว่า ล่าสุด สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ของไทยได้ลงนามเพื่อเปิดการเจรจากับแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็น ที่เชื่อว่าเป็น 1 ในกลุ่มที่ก่อเหตุไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว โดยมีมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 ก.พ. พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการ สมช.ได้เดินทางไปประเทศมาเลเซีย พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) ,พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก รองปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.ท.สฤษดิ์ชัย เอนกเวียง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล เพื่อร่วมพิธีลงนามความเห็นพ้องทั่วไปเพื่อร่วมกระบวนการเจรจาสันติภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กับแกนนำขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี(กลุ่มบีอาร์เอ็น) ประกอบด้วย นายฮัสซัน ตอยิบ หรือนายอาแซ เจ๊ะหลง รองเลขาธิการฯ และหัวหน้าสภาการเมืองของกลุ่มบีอาร์เอ็น ,นายอาแว ยะบะ เลขานุการฝ่ายต่างประเทศ ,นายอับดุลเลาะห์ มาหะมะ ระดับนำฝ่ายอูลามา และนายอับดุลเลาะห์มาน ยะบะ ระดับนำฝ่ายการเมือง โดยมี พล.อ.ตันสรี ดาโต๊ะสรี บิน โมฮัมเหม็ด ซิน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซีย เป็นสักขีพยาน โดยการลงนามครั้งนี้มีขึ้นก่อนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปประชุมที่มาเลเซียในช่วงสายวันเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมด้วยรัฐมนตรีหลายคน เช่น นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ,พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ,นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหารกองบิน 6 (บน.6) เพื่อไปร่วมประชุมประจำปีระหว่างไทยและมาเลเซีย ผู้สื่อข่าวได้ถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ถึงกระแสข่าวเลขาธิการ สมช.ไปลงนามข้อตกลงกับแกนนำบีอาร์เอ็นจริงหรือไม่ แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์บ่ายเบี่ยง ไม่ยอมตอบคำถาม โดยบอกแค่ว่า การเดินทางไปครั้งนี้ จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอยู) 2 ฉบับ คือ ความร่วมมือเรื่องข้ามแดน และความร่วมมือด้านกีฬา
กระทั่งหลังหารือทวิภาคีกับนายนาจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ทั้งสองฝ่ายได้เปิดแถลงร่วมกัน โดยนายนาจิบ แถลงว่า มีความยินดีที่จะอำนวยความสะกวกให้มีการหารือเกี่ยวกับการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ระหว่างเจ้าหน้าที่ของไทยกับผู้ที่มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้อง และหวังว่าหลังจากนี้จะนำไปสู่การพูดคุย พร้อมแสดงความยินดีที่สภาความมั่นคงแห่งชาติของไทยได้หารือกับตัวแทนกลุ่มบีอาร์เอ็นและมีการลงนามในกระบวนการเจรจาเพื่อยุติปัญหา นอกจากนี้นายนาจิบยังแสดงความชื่นชมนายกรัฐมนตรีไทยที่ผลักดันให้เกิดการเจรจาได้
นายนาจิบ ยังบอกอีกว่า อยากเห็นพื้นที่ที่มีความรุนแรงเปลี่ยนมาเป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาและเติบโต พร้อมคาดว่าภายใน 2 สัปดาห์นี้จะมีการตั้งคณะทำงานร่วมของทั้งสองฝ่าย นายนาจิบ ยังขอบคุณ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีส่วนในการประสานให้เกิดการเจรจาครั้งนี้ด้วย
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กลับมาแถลงข่าวอีกครั้งในประเทศไทย โดยยืนยันว่า มาเลเซียไม่สนับสนุนให้ผู้ก่อความไม่สงบใช้ความรุนแรงและแบ่งแยกดินแดน รวมถึงการใช้พื้นที่ประเทศมาเลเซียในการหลบหนี และว่า ครั้งนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นพูดคุยก่อนไปถึงการเจรจาเพื่อสร้างความเข้าใจ พร้อมยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนหนึ่งที่ต้องการให้บ้านเมืองสงบ
ขณะที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการ สมช.ให้สัมภาษณ์ โดยยอมรับว่า ตนเป็นผู้นำคณะในการลงนามกับกลุ่มตัวแทนบีอาร์เอ็น 4 คน โดยมีข้อตกลงที่จะร่วมกันพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อนำไปสู่สันติสุข และว่า หลังจากนี้จะมีการพูดคุยแสดงความคิดเห็นบนเวทีเพื่อให้เกิดสันติภาพ
ด้านนายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีตเลขาธิการ สมช. ได้ออกมาแสดงความเป็นห่วงการลงนามสันติภาพระหว่างเลขาธิการ สมช.กับแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็นว่า ทำถูกคนหรือไม่ แกนนำดังกล่าวเป็นตัวแทนของกลุ่มที่ก่อความไม่สงบจริงหรือไม่ เพราะทราบดีว่ามีหลายกลุ่ม และการพูดคุยกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอันตรายเกินไป ซึ่งส่วนตัวแล้วไม่เชื่อว่าการเจรจากับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแล้วเรื่องจะจบ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลดำเนินการแบบรวดเร็ว และยกระดับผลีผลามเกินไป น่าจะสร้างมาตรฐานการไว้เนื้อเชื่อใจกันก่อน
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังรัฐบาลและ สมช.ไปลงนามสันติภาพกับแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็น เหตุไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้สื่อข่าวจึงถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า นายกฯ เพิ่งไปหารือที่มาเลเซียเพียงวันเดียว ก็เกิดเหตุการณ์จักรยานยนต์บอมบ์ที่ จ.นราธิวาส ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ รีบออกตัวว่า การเริ่มพูดคุย ไม่ได้หมายความว่าเป็นการหยุดเหตุได้ทันที พร้อมอ้างว่า เหตุไม่สงบที่เกิดขึ้น เกิดตามปกติอยู่แล้ว ไม่ใช่การตอบโต้การเจรจาสันติภาพกับแกนนำบีอาร์เอ็นแต่อย่างใด
3.ป.ป.ช. อายัดทรัพย์สิน “พล.อ.เสถียร” อดีตปลัด กห. 65 ล้าน ฐานร่ำรวยผิดปกติ รอเจ้าตัวชี้แจงใน 30 วัน!
เมื่อวันที่ 26 ก.พ. นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนคดี พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม(กห.) ร่ำรวยผิดปกติ แถลงว่า ป.ป.ช.ได้มีมติให้อายัดทรัพย์สินของ พล.อ.เสถียร เนื่องจากไต่สวนพบว่า พล.อ.เสถียร มีพฤติการณ์น่าเชื่อว่ามีการโอน ยักย้าย หรือซุกซ่อนทรัพย์สินที่อาจเกี่ยวข้องกับการร่ำรวยผิดปกติ โดยให้ น.ส.ณิชาพัฒน์ เพิ่มทองอินทร์ บุตรบุญธรรม เป็นผู้ถือครองทรัพย์สินแทน
นอกจากนี้ยังพบว่า มีการทำนิติกรรมอำพรางในชื่อบุคคลอื่นด้วย โดยอนุกรรมการไต่สวนพบว่า สมัย พล.อ.เสถียรเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม มีเงินไหลเข้าบัญชีกว่า 10 ล้านบาท และเงินไหลเข้าบัญชีนางณัฐนิชาช์ ภริยา และ น.ส.ณิชาพัฒน์ กว่า 100 ล้านบาท ในปี 2553 รวมทั้งมีการซื้อขาย โอนที่ดินจำนวนมาก เกินกว่าฐานะที่ภริยาและบุตรบุญธรรมจะพึงมี จึงเชื่อว่าเงินที่ไหลเข้าดังกล่าวน่าจะมาจากเงินของ พล.อ.เสถียร “การไต่สวนยังพบว่า มีการนำเงินไปฝากไว้กับนายสมบัติ จันทรวงษ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) ที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของ น.ส.ณิชาพัฒน์ ในการทำปริญญาเอก จำนวน 20 ล้านบาท ซึ่งนายสมบัติได้นำเงินไปฝากที่สหกรณ์ออมทรัพย์ มธ.4 บัญชี โดยยอมรับว่า ภริยา พล.อ.เสถียรนำเงินมาฝากไว้ อ้างว่ามีปัญหาครอบครัว ขอนำเงินมาฝากไว้ชั่วคราว จึงยอมรับฝากเงินไว้ เท่ากับว่านายสมบัติเป็นนอมินี”
ป.ป.ช.จึงมีมติให้อายัดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.เสถียร ไว้ชั่วคราวจำนวน 65 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ มีบัญชีเงินฝาก 18 ล้านบาท ที่นายสมบัติฝากไว้ในสหกรณ์ออมทรัพย์ มธ.ด้วย ทั้งนี้ ป.ป.ช.ได้ทำหนังสือแจ้งให้ พล.อ.เสถียร ทราบและเข้าชี้แจงที่มาของเงินดังกล่าวภายใน 30 วัน หลังจากได้รับหนังสือจาก ป.ป.ช.
นายวิชา ยังเผยด้วยว่า สำหรับนอมินีที่ถือครองทรัพย์สินของ พล.อ.เสถียร นอกจากนายสมบัติแล้ว ยังพบว่ามีบุคคลอื่นร่วมเป็นนอมินีด้วย โดย ป.ป.ช.กำลังตรวจสอบว่ามีใครบ้าง นายวิชา ยังยืนยันด้วยว่า คดีนี้ถือเป็นผลงานของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ที่ตรวจสอบพบความผิดปกติในบัญชีทรัพย์สินของ พล.อ.เสถียร จึงไปติดตามตรวจค้น ไม่ได้มีใครร้องเรียนมาให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังได้ตรวจสอบพบ พล.อ.เสถียร จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ สมัยดำรงตำแหน่งกรรมการองค์การคลังสินค้า ปี 2550-2551 รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 14 ล้านบาท ป.ป.ช.จึงได้เสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่า พล.อ.เสถียร จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ เพื่อไม่ให้ พล.อ.เสถียรดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเวลา 5 ปี และให้ลงโทษทางอาญาด้วย
ทั้งนี้ 2 วันต่อมา(28 ก.พ.) นายสมบัติ จันทรวงศ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เข้าชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช.กรณีถูกกล่าวหาเป็นนอมินีรับฝากเงินจากนางณัฐนิชาช์ ภริยา พล.อ.เสถียร 18 ล้านบาท โดยยอมรับว่า รับฝากเงินจากนางณัฐณิชาช์จริง แต่ไม่รู้จัก พล.อ.เสถียร เป็นการส่วนตัว ส่วนสาเหตุที่รับฝากเงิน เนื่องจากนางณัฐณิชาช์อ้างว่า มีปัญหาครอบครัว เมื่อปี 2554 ซึ่งขณะนั้น พล.อ.เสถียรยังไม่ได้เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม จึงไม่เอะใจว่าเงิน 18 ล้านมาจากอะไร เพราะสนิทกันมาก รู้จักกันมา 7-8 ปี ซึ่งต่อมา นางณัฐณิชาช์ได้ถอนเงินคืนไปซื้อที่ดิน โดยใช้ชื่อตนเป็นหุ้นส่วนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องสินสมรส เมื่อขายที่ดินได้ 27 ล้าน นางณัฐณิชาช์ได้นำเช็คสั่งจ่ายในนามบริษัท สยามโกลบอล เฮาส์ จำกัด มาให้ตน เพราะมีชื่อเป็นหุ้นส่วนอยู่ จึงนำไปฝากบัญชีสหกรณ์ออมทรัพย์ มธ. เพราะสะดวกที่สุดที่จะนำเงินสดมาคืนให้ โดยทยอยถอนเงินสดคืนนางณัฐณิชาช์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
นายสมบัติยังได้ขอให้ ป.ป.ช.ยกเลิกการอายัดบัญชีเงินฝากส่วนตัวของตนที่มีเงินอยู่ 6 แสนกว่าบาทด้วย พร้อมเผยว่า จะแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยการยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นอาจารย์ต่ออธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 6 มี.ค.นี้ แต่ให้มีผลสิ้นเดือน เม.ย. เพื่อจัดการคะแนนสอบของนักศึกษาให้เรียบร้อยก่อน
ด้านนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. พูดถึงกรณีที่นายสมบัติขอให้ ป.ป.ช.ถอนอายัดบัญชีเงินฝากส่วนตัว 6 แสนกว่าบาทว่า ป.ป.ช.ได้ถอนการอายัดให้ เพราะนายสมบัติสามารถชี้แจงที่มาของเงินจำนวนนี้ได้ และว่า นายสมบัติให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช.ดีมาก เบื้องต้นถือว่าบริสุทธิ์อยู่ ยังไม่มีข้อมูลชี้ว่ามีความผิดอะไร ทั้งนี้ ป.ป.ช.อยู่ระหว่างรอ พล.อ.เสถียรเข้าชี้แจงที่มาที่ไปของทรัพย์สินทั้งหมดที่ถูกอายัด อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า พล.อ.เสถียร อยู่ระหว่างเดินทางไปกับคณะแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย ยังไม่ทราบกำหนดกลับ
4.ศาล ยกฟ้อง “สนธิ-แกนนำพันธมิตรฯ” คดี “ทักษิณ” ฟ้องหมิ่น ออกปฏิญญาปี ’51 ชี้ เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม!
เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ศาลจังหวัดมีนบุรี ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับพวกรวม 6 คน เป็นจำเลย ฐานหมิ่นประมาท
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งหกได้ร่วมกันหมิ่นประมาท โดยประกาศปฏิญญาเมื่อวันที่ 28 มี.ค.2551 ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งระบุทำนองว่า โจทก์บริหารประเทศโดยไม่สุจริต กดขี่ ข่มเหง เข่นฆ่าประชาชน และไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ขณะที่จำเลยทั้งหกนำสืบว่า สาเหตุที่ต้องประกาศปฏิญญาร่วมกัน เนื่องจากขณะนั้นรัฐบาลซึ่งมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 237 เพื่อหนีคดียุบพรรคพลังประชาชน เนื่องจากกรรมการบริหารพรรคบางคนถูกกล่าวหาว่าทุจริตเลือกตั้ง และแก้ไขมาตรา 309 เพื่อลบล้างความผิดที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ได้ตรวจสอบและชี้มูลความผิดโจทก์และพวกพ้อง คำปฏิญญาดังกล่าวจึงมีขึ้นเพื่อตักเตือนรัฐบาลนายสมัคร ไม่ให้เป็นหุ่นเชิดของโจทก์ เนื่องจากพฤติกรรมของโจทก์สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี โจทก์ได้ใช้นโยบายประชานิยมเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียง โดยหลอกลวงประชาชนว่าจะแก้ปัญหาความยากจนให้หมดไปภายใน 6 ปี แต่นอกจากความยากจนจะไม่หมดไปแล้ว โจทก์กับพวกกลับร่ำรวยมากขึ้น ซึ่งภายหลังทรัพย์ของโจทก์และพวกได้ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ฐานร่ำรวยผิดปกติ นอกจากนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ยังได้พิพากษาจำคุกโจทก์ 2 ปี ฐานกระทำการขัดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542
ไม่เท่านั้น โจทก์ยังใช้นโยบายปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างแข็งกร้าว โดยรายงานของวุฒิสภาระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจากนโยบายดังกล่าวประมาณ 2,600 คน นอกจากนี้ยังมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่เอื้อประโยชน์ให้นายทุนและพวกพ้องของโจทก์ ขณะที่ คตส.ได้ตรวจสอบพบการทุจริตของโจทก์และพวกพ้องหลายโครงการ
ด้านศาลพิจารณาข้อนำสืบของจำเลยแล้วเห็นว่า สมัยที่โจทก์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โจทก์บริหารประเทศไม่โปร่งใส มีการทุจริตคอร์รัปชั่น มีการออกนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้อง ทำให้โจทก์และพวกร่ำรวยขึ้น แม้โจทก์จะไม่ยอมรับคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ให้ริบทรัพย์สินของโจทก์กับพวกฐานร่ำรวยผิดปกติให้ตกเป็นของแผ่นดิน แต่ก็แสดงให้เห็นว่า โจทก์มีพฤติกรรมบริหารประเทศส่อไปในทางไม่สุจริตจริง ส่วนข้อความที่กล่าวหาโจทก์ว่า กดขี่ ข่มเหง และเข่นฆ่าประชาชนนั้น สืบเนื่องจากนโยบายปราบปรามยาเสพติดของโจทก์ที่แข็งกร้าว เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจากนโยบายดังกล่าวถึง 2,600 คน
ส่วนข้อความที่กล่าวหาว่าโจทก์ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ศาลเห็นว่า จากการนำสืบของจำเลย แสดงให้เห็นว่า หลังจากโจทก์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โจทก์ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศหลายแขนงอย่างต่อเนื่องว่า “ตนเองเป็นภัยคุกคามชนชั้นสูง” และ “บรรดาชนชั้นสูงที่มีอภิสิทธิ์ทั้งหลาย เชื่อถือในทุกสิ่ง ยกเว้นประชาธิปไตย” พฤติกรรมของโจทก์ย่อมทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า โจทก์ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้โจทก์ยังแสดงออกอย่างต่อเนื่องว่าเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน ด้วยการสนับสนุนคนใกล้ชิดกับตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และข้าราชการระดับสูง ย่อมทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจได้ว่า โจทก์อยู่เบื้องหลังการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช
การที่จำเลยที่ 1-4 นำเอาจุดบกพร่องในการบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์มาวิพากษ์วิจารณ์ เป็นวิสัยของประชาชนที่ทำได้ เพราะโจทก์เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถือเป็นบุคคลสาธารณะ การวิพากษ์วิจารณ์ของจำเลยเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม เป็นการป้องกันส่วนได้เสียของตนตามคลองธรรม ในฐานะประชาชนชาวไทยที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำหรือพฤติกรรมของรัฐบาลที่บริหารราชการแผ่นดินในขณะนั้น การกระทำของจำเลยที่ 1-4 จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยที่ 1-4 ไม่ผิด จำเลยที่ 5-6 ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 1-4 ย่อมไม่มีความผิดด้วย พิพากษายกฟ้อง
5.ศาลแพ่ง สั่ง “เทเวศประกันภัย” จ่ายชดเชย “เซ็นทรัลเวิลด์” 3.7 พันล้าน กรณีถูกเผาช่วงเสื้อแดงชุมนุม ด้านเทเวศฯ ยัน ไม่กระทบสถานะบริษัท!
จากกรณีที่ได้มีการเผาบ้านเผาเมืองระหว่างการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเป็น 1 ในสถานที่ที่ถูกเผา ได้ยื่นฟ้องบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากอัคคีภัย แต่เทเวศประกันภัยต่อสู้ว่าเป็นการก่อการร้าย ซึ่งกรมธรรม์ไม่คุ้มครองนั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ศาลแพ่งได้พิพากษาว่า เทเวศประกันภัยต้องรับผิดชอบตามกรมธรรม์ เพราะเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ไม่ใช่กรณีก่อการร้าย แต่อยู่ในข่าย “จลาจล”ซึ่งเป็นภัยที่ได้รับการคุ้มครองจากกรมธรรม์ ดังนั้น ศาลจึงพิพากษาให้เทเวศประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายต่อทรัพย์สิน จำนวน 2,719,734,979.29 บาท และชดเชยความเสียหายต่อธุรกิจอีกจำนวน 989,848,850.01 บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 31 มีนาคม 2554 จนกว่าจะชำระครบถ้วน รวมทั้งค่าทนายความอีก 60,000 บาท
ด้านบริษัท เทเวศประกันภัย ได้ออกคำชี้แจงหลังทราบคำพิพากษาของศาล โดยยืนยันว่า บริษัทได้ดำเนินธุรกิจประกันวินาศภัยด้วยหลักธรรมาภิบาลเสมอมา และเคารพในคำวินิจฉัยของศาล แต่เนื่องจากคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด และในการรับประกันภัยตามกรมธรรม์นี้ บริษัทได้กระจายความเสี่ยง โดยจัดให้มีการประกันภัยต่อ ไปยังบริษัทรับประกันภัยทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายบริษัท ดังนั้นบริษัทจึงจำเป็นต้องปรึกษาและประสานงานกับบริษัทรับประกันภัยต่อ เพื่อขอแนวทางในการดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ บริษัท เทเวศประกันภัย ยืนยันด้วยว่า ฐานะการเงินของบริษัทยังคงมีความมั่นคง และเชื่อมั่นว่า ท้ายที่สุดหากบริษัทต้องชำระเงินตามคำพิพากษาดังกล่าว บริษัทจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้รับประกันภัยต่อตามกรมธรรม์ประกันภัยต่อ ดังนั้น คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคงและสถานะทางการเงินของบริษัทแต่อย่างใด
1."สุขุมพันธุ์" คว้าชัย ได้นั่งผู้ว่าฯ กทม.ต่ออีกสมัย ด้วยคะแนน 1.2 ล้านเสียง ทิ้งห่าง "พงศพัศ" 1.7 แสนคะแนน พร้อมทุบสถิติยุค "สมัคร"!
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) พูดถึงการลงพื้นที่ช่วย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครของพรรคหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายว่า มีคนบอกว่าห้ามแพ้การเลือกตั้ง เพราะจะทำให้ประเทศไทยไม่เหลืออะไร แสดงว่ามีคนที่เป็นห่วงเรื่องการกินรวบประเทศอยู่พอสมควร นายอภิสิทธิ์ ยังแฉด้วยว่า ขณะนี้มีการใช้อำนาจรัฐถึงขั้นที่ว่า หากทราบว่าใครสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะติดตามถ่ายรูป เรียกตัวเขามาสอบ และดำเนินการอีกหลายอย่าง แต่ไม่เป็นอะไร พวกตนพร้อมสู้ และหวังว่า คน กทม.จะให้คำตอบว่าการใช้อำนาจรัฐแบบนี้ จะเจอกับอะไร
ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน และคณะ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อ พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธาน กกต.กทม. ขอให้ตรวจสอบการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ช่วย พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยหาเสียง เนื่องจากอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น มาตรา 60 ของ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 พร้อมกันนี้กลุ่มกรีนได้นำหลักฐานและเอกสารการถอดเทปคำปราศรัยของนายกฯ และ ครม.ที่ขึ้นปราศรัยหาเสียงมอบให้ กกต.กทม.ตรวจสอบด้วย
ขณะที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงเปิดใจทั้งน้ำตาเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ว่า “ที่ผ่านมาถือเป็นความฝันอันสูงสุดที่ได้ทำงานรับใช้ประชาชน ถ้าจะหยุดหายใจนาทีนี้ คิดว่าชีวิตของตัวเองก็คุ้มค่าแล้ว เพราะผมเป็นคนกรุงเทพฯ มาตั้งแต่เกิด ไม่เคยคิดว่าจะไปทำงานที่อื่น” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ยังบอกด้วยว่า ตนอาจจะไม่หล่อ พูดไม่เป็น แต่เรื่องทุ่มเทไม่มีปัญหา เพราะเอาคนกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้งในการทำงาน มีความซื่อตรงในสายเลือด มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นเสาหลักในชีวิต พร้อมย้ำว่า 4 ปีที่ผ่านมา ตนได้พิสูจน์แล้วว่า ทำงานปกป้องผลประโยชน์คนกรุงเทพฯ ได้
ด้านนางนินนาท ชลิตานนท์ ปลัด กทม.พูดถึงการนับคะแนนเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ว่า หลังปิดหีบในเวลา 15.00น.แล้ว หากไม่มีการร้องคัดค้านหรือการประท้วงใดใด น่าจะทราบผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการได้ในเวลาประมาณ 19.00น.
ล่าสุด เมื่อเวลา 20.00น. วันที่ 3 มี.ค.ทราบผลการนับคะแนนทั้ง 50 เขต ครบ 100% แล้ว ปรากฏว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ได้นั่งผู้ว่าฯ กทม.อีกสมัย ด้วยคะแนน 1,256,231 เสียง ขณะที่ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ได้ 1,077,899 เสียง ส่วนผู้ที่ตามมาอันดับสาม คือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้สมัครอิสระ ได้ 166,582 เสียง อันดับสี่ นายสุหฤท สยามวาลา ผู้สมัครอิสระ ได้ 78,825 เสียง และนายโฆสิต สุวินิจจิต ผู้สมัครอิสระ ได้ 28,640 เสียง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ ทำให้โพล 4 สำนักหน้าแตก ประกอบด้วย สวนดุสิตโพล ,กรุงเทพโพล ,เอแบคโพลล์ ,บ้านสมเด็จโพล เพราะสำรวจความคิดเห็นประชาชนก่อนวันลงคะแนนเลือกตั้ง ระบุว่า พล.ต.อ.พงศพัศ จะชนะ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ มีเพียงสำนักเดียวที่ผลโพลถูกต้อง คือ นิด้าโพล ที่ระบุว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะชนะ พล.ต.อ.พงศพัศ ร้อยละ 43.16 ต่อ 41.45
อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ และ พล.ต.อ.พงศพัศ สามารถทำลายสถิติคะแนนเลือกตั้งเกิน 1 ล้านเสียงที่นายสมัคร สุนทรเวช ผู้สมัครจากพรรคประชากรไทย เคยได้ 1,016,096 คะแนน เมื่อปี 2543
สำหรับยอดผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวน 2,715,640 คน จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 4,244,465 คน หรือคิดเป็น 63.98% โดยเขตทวีวัฒนามีประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุด 72% ขณะที่เขตดุสิตมีประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งน้อยสุด 56.85%
2.รัฐบาล-สมช.บินมาเลเซียลงนามเจรจา “บีอาร์เอ็น” หวังยุติไฟใต้ ด้าน “ถวิล” ติง ผลีผลามยกระดับปัญหา!
หลังโจรใต้ก่อเหตุไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่อง ปรากฏว่า ล่าสุด สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ของไทยได้ลงนามเพื่อเปิดการเจรจากับแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็น ที่เชื่อว่าเป็น 1 ในกลุ่มที่ก่อเหตุไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว โดยมีมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 ก.พ. พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการ สมช.ได้เดินทางไปประเทศมาเลเซีย พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) ,พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก รองปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.ท.สฤษดิ์ชัย เอนกเวียง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล เพื่อร่วมพิธีลงนามความเห็นพ้องทั่วไปเพื่อร่วมกระบวนการเจรจาสันติภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กับแกนนำขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี(กลุ่มบีอาร์เอ็น) ประกอบด้วย นายฮัสซัน ตอยิบ หรือนายอาแซ เจ๊ะหลง รองเลขาธิการฯ และหัวหน้าสภาการเมืองของกลุ่มบีอาร์เอ็น ,นายอาแว ยะบะ เลขานุการฝ่ายต่างประเทศ ,นายอับดุลเลาะห์ มาหะมะ ระดับนำฝ่ายอูลามา และนายอับดุลเลาะห์มาน ยะบะ ระดับนำฝ่ายการเมือง โดยมี พล.อ.ตันสรี ดาโต๊ะสรี บิน โมฮัมเหม็ด ซิน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซีย เป็นสักขีพยาน โดยการลงนามครั้งนี้มีขึ้นก่อนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปประชุมที่มาเลเซียในช่วงสายวันเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมด้วยรัฐมนตรีหลายคน เช่น นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ,พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ,นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหารกองบิน 6 (บน.6) เพื่อไปร่วมประชุมประจำปีระหว่างไทยและมาเลเซีย ผู้สื่อข่าวได้ถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ถึงกระแสข่าวเลขาธิการ สมช.ไปลงนามข้อตกลงกับแกนนำบีอาร์เอ็นจริงหรือไม่ แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์บ่ายเบี่ยง ไม่ยอมตอบคำถาม โดยบอกแค่ว่า การเดินทางไปครั้งนี้ จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอยู) 2 ฉบับ คือ ความร่วมมือเรื่องข้ามแดน และความร่วมมือด้านกีฬา
กระทั่งหลังหารือทวิภาคีกับนายนาจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ทั้งสองฝ่ายได้เปิดแถลงร่วมกัน โดยนายนาจิบ แถลงว่า มีความยินดีที่จะอำนวยความสะกวกให้มีการหารือเกี่ยวกับการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ระหว่างเจ้าหน้าที่ของไทยกับผู้ที่มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้อง และหวังว่าหลังจากนี้จะนำไปสู่การพูดคุย พร้อมแสดงความยินดีที่สภาความมั่นคงแห่งชาติของไทยได้หารือกับตัวแทนกลุ่มบีอาร์เอ็นและมีการลงนามในกระบวนการเจรจาเพื่อยุติปัญหา นอกจากนี้นายนาจิบยังแสดงความชื่นชมนายกรัฐมนตรีไทยที่ผลักดันให้เกิดการเจรจาได้
นายนาจิบ ยังบอกอีกว่า อยากเห็นพื้นที่ที่มีความรุนแรงเปลี่ยนมาเป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาและเติบโต พร้อมคาดว่าภายใน 2 สัปดาห์นี้จะมีการตั้งคณะทำงานร่วมของทั้งสองฝ่าย นายนาจิบ ยังขอบคุณ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีส่วนในการประสานให้เกิดการเจรจาครั้งนี้ด้วย
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กลับมาแถลงข่าวอีกครั้งในประเทศไทย โดยยืนยันว่า มาเลเซียไม่สนับสนุนให้ผู้ก่อความไม่สงบใช้ความรุนแรงและแบ่งแยกดินแดน รวมถึงการใช้พื้นที่ประเทศมาเลเซียในการหลบหนี และว่า ครั้งนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นพูดคุยก่อนไปถึงการเจรจาเพื่อสร้างความเข้าใจ พร้อมยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนหนึ่งที่ต้องการให้บ้านเมืองสงบ
ขณะที่ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการ สมช.ให้สัมภาษณ์ โดยยอมรับว่า ตนเป็นผู้นำคณะในการลงนามกับกลุ่มตัวแทนบีอาร์เอ็น 4 คน โดยมีข้อตกลงที่จะร่วมกันพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อนำไปสู่สันติสุข และว่า หลังจากนี้จะมีการพูดคุยแสดงความคิดเห็นบนเวทีเพื่อให้เกิดสันติภาพ
ด้านนายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีตเลขาธิการ สมช. ได้ออกมาแสดงความเป็นห่วงการลงนามสันติภาพระหว่างเลขาธิการ สมช.กับแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็นว่า ทำถูกคนหรือไม่ แกนนำดังกล่าวเป็นตัวแทนของกลุ่มที่ก่อความไม่สงบจริงหรือไม่ เพราะทราบดีว่ามีหลายกลุ่ม และการพูดคุยกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอันตรายเกินไป ซึ่งส่วนตัวแล้วไม่เชื่อว่าการเจรจากับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแล้วเรื่องจะจบ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลดำเนินการแบบรวดเร็ว และยกระดับผลีผลามเกินไป น่าจะสร้างมาตรฐานการไว้เนื้อเชื่อใจกันก่อน
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังรัฐบาลและ สมช.ไปลงนามสันติภาพกับแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็น เหตุไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้สื่อข่าวจึงถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า นายกฯ เพิ่งไปหารือที่มาเลเซียเพียงวันเดียว ก็เกิดเหตุการณ์จักรยานยนต์บอมบ์ที่ จ.นราธิวาส ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ รีบออกตัวว่า การเริ่มพูดคุย ไม่ได้หมายความว่าเป็นการหยุดเหตุได้ทันที พร้อมอ้างว่า เหตุไม่สงบที่เกิดขึ้น เกิดตามปกติอยู่แล้ว ไม่ใช่การตอบโต้การเจรจาสันติภาพกับแกนนำบีอาร์เอ็นแต่อย่างใด
3.ป.ป.ช. อายัดทรัพย์สิน “พล.อ.เสถียร” อดีตปลัด กห. 65 ล้าน ฐานร่ำรวยผิดปกติ รอเจ้าตัวชี้แจงใน 30 วัน!
เมื่อวันที่ 26 ก.พ. นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนคดี พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม(กห.) ร่ำรวยผิดปกติ แถลงว่า ป.ป.ช.ได้มีมติให้อายัดทรัพย์สินของ พล.อ.เสถียร เนื่องจากไต่สวนพบว่า พล.อ.เสถียร มีพฤติการณ์น่าเชื่อว่ามีการโอน ยักย้าย หรือซุกซ่อนทรัพย์สินที่อาจเกี่ยวข้องกับการร่ำรวยผิดปกติ โดยให้ น.ส.ณิชาพัฒน์ เพิ่มทองอินทร์ บุตรบุญธรรม เป็นผู้ถือครองทรัพย์สินแทน
นอกจากนี้ยังพบว่า มีการทำนิติกรรมอำพรางในชื่อบุคคลอื่นด้วย โดยอนุกรรมการไต่สวนพบว่า สมัย พล.อ.เสถียรเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม มีเงินไหลเข้าบัญชีกว่า 10 ล้านบาท และเงินไหลเข้าบัญชีนางณัฐนิชาช์ ภริยา และ น.ส.ณิชาพัฒน์ กว่า 100 ล้านบาท ในปี 2553 รวมทั้งมีการซื้อขาย โอนที่ดินจำนวนมาก เกินกว่าฐานะที่ภริยาและบุตรบุญธรรมจะพึงมี จึงเชื่อว่าเงินที่ไหลเข้าดังกล่าวน่าจะมาจากเงินของ พล.อ.เสถียร “การไต่สวนยังพบว่า มีการนำเงินไปฝากไว้กับนายสมบัติ จันทรวงษ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) ที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของ น.ส.ณิชาพัฒน์ ในการทำปริญญาเอก จำนวน 20 ล้านบาท ซึ่งนายสมบัติได้นำเงินไปฝากที่สหกรณ์ออมทรัพย์ มธ.4 บัญชี โดยยอมรับว่า ภริยา พล.อ.เสถียรนำเงินมาฝากไว้ อ้างว่ามีปัญหาครอบครัว ขอนำเงินมาฝากไว้ชั่วคราว จึงยอมรับฝากเงินไว้ เท่ากับว่านายสมบัติเป็นนอมินี”
ป.ป.ช.จึงมีมติให้อายัดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.เสถียร ไว้ชั่วคราวจำนวน 65 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ มีบัญชีเงินฝาก 18 ล้านบาท ที่นายสมบัติฝากไว้ในสหกรณ์ออมทรัพย์ มธ.ด้วย ทั้งนี้ ป.ป.ช.ได้ทำหนังสือแจ้งให้ พล.อ.เสถียร ทราบและเข้าชี้แจงที่มาของเงินดังกล่าวภายใน 30 วัน หลังจากได้รับหนังสือจาก ป.ป.ช.
นายวิชา ยังเผยด้วยว่า สำหรับนอมินีที่ถือครองทรัพย์สินของ พล.อ.เสถียร นอกจากนายสมบัติแล้ว ยังพบว่ามีบุคคลอื่นร่วมเป็นนอมินีด้วย โดย ป.ป.ช.กำลังตรวจสอบว่ามีใครบ้าง นายวิชา ยังยืนยันด้วยว่า คดีนี้ถือเป็นผลงานของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ที่ตรวจสอบพบความผิดปกติในบัญชีทรัพย์สินของ พล.อ.เสถียร จึงไปติดตามตรวจค้น ไม่ได้มีใครร้องเรียนมาให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังได้ตรวจสอบพบ พล.อ.เสถียร จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ สมัยดำรงตำแหน่งกรรมการองค์การคลังสินค้า ปี 2550-2551 รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 14 ล้านบาท ป.ป.ช.จึงได้เสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่า พล.อ.เสถียร จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ เพื่อไม่ให้ พล.อ.เสถียรดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเวลา 5 ปี และให้ลงโทษทางอาญาด้วย
ทั้งนี้ 2 วันต่อมา(28 ก.พ.) นายสมบัติ จันทรวงศ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เข้าชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช.กรณีถูกกล่าวหาเป็นนอมินีรับฝากเงินจากนางณัฐนิชาช์ ภริยา พล.อ.เสถียร 18 ล้านบาท โดยยอมรับว่า รับฝากเงินจากนางณัฐณิชาช์จริง แต่ไม่รู้จัก พล.อ.เสถียร เป็นการส่วนตัว ส่วนสาเหตุที่รับฝากเงิน เนื่องจากนางณัฐณิชาช์อ้างว่า มีปัญหาครอบครัว เมื่อปี 2554 ซึ่งขณะนั้น พล.อ.เสถียรยังไม่ได้เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม จึงไม่เอะใจว่าเงิน 18 ล้านมาจากอะไร เพราะสนิทกันมาก รู้จักกันมา 7-8 ปี ซึ่งต่อมา นางณัฐณิชาช์ได้ถอนเงินคืนไปซื้อที่ดิน โดยใช้ชื่อตนเป็นหุ้นส่วนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องสินสมรส เมื่อขายที่ดินได้ 27 ล้าน นางณัฐณิชาช์ได้นำเช็คสั่งจ่ายในนามบริษัท สยามโกลบอล เฮาส์ จำกัด มาให้ตน เพราะมีชื่อเป็นหุ้นส่วนอยู่ จึงนำไปฝากบัญชีสหกรณ์ออมทรัพย์ มธ. เพราะสะดวกที่สุดที่จะนำเงินสดมาคืนให้ โดยทยอยถอนเงินสดคืนนางณัฐณิชาช์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
นายสมบัติยังได้ขอให้ ป.ป.ช.ยกเลิกการอายัดบัญชีเงินฝากส่วนตัวของตนที่มีเงินอยู่ 6 แสนกว่าบาทด้วย พร้อมเผยว่า จะแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยการยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นอาจารย์ต่ออธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 6 มี.ค.นี้ แต่ให้มีผลสิ้นเดือน เม.ย. เพื่อจัดการคะแนนสอบของนักศึกษาให้เรียบร้อยก่อน
ด้านนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. พูดถึงกรณีที่นายสมบัติขอให้ ป.ป.ช.ถอนอายัดบัญชีเงินฝากส่วนตัว 6 แสนกว่าบาทว่า ป.ป.ช.ได้ถอนการอายัดให้ เพราะนายสมบัติสามารถชี้แจงที่มาของเงินจำนวนนี้ได้ และว่า นายสมบัติให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช.ดีมาก เบื้องต้นถือว่าบริสุทธิ์อยู่ ยังไม่มีข้อมูลชี้ว่ามีความผิดอะไร ทั้งนี้ ป.ป.ช.อยู่ระหว่างรอ พล.อ.เสถียรเข้าชี้แจงที่มาที่ไปของทรัพย์สินทั้งหมดที่ถูกอายัด อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า พล.อ.เสถียร อยู่ระหว่างเดินทางไปกับคณะแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย ยังไม่ทราบกำหนดกลับ
4.ศาล ยกฟ้อง “สนธิ-แกนนำพันธมิตรฯ” คดี “ทักษิณ” ฟ้องหมิ่น ออกปฏิญญาปี ’51 ชี้ เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม!
เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ศาลจังหวัดมีนบุรี ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับพวกรวม 6 คน เป็นจำเลย ฐานหมิ่นประมาท
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งหกได้ร่วมกันหมิ่นประมาท โดยประกาศปฏิญญาเมื่อวันที่ 28 มี.ค.2551 ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งระบุทำนองว่า โจทก์บริหารประเทศโดยไม่สุจริต กดขี่ ข่มเหง เข่นฆ่าประชาชน และไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ขณะที่จำเลยทั้งหกนำสืบว่า สาเหตุที่ต้องประกาศปฏิญญาร่วมกัน เนื่องจากขณะนั้นรัฐบาลซึ่งมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 237 เพื่อหนีคดียุบพรรคพลังประชาชน เนื่องจากกรรมการบริหารพรรคบางคนถูกกล่าวหาว่าทุจริตเลือกตั้ง และแก้ไขมาตรา 309 เพื่อลบล้างความผิดที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ได้ตรวจสอบและชี้มูลความผิดโจทก์และพวกพ้อง คำปฏิญญาดังกล่าวจึงมีขึ้นเพื่อตักเตือนรัฐบาลนายสมัคร ไม่ให้เป็นหุ่นเชิดของโจทก์ เนื่องจากพฤติกรรมของโจทก์สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี โจทก์ได้ใช้นโยบายประชานิยมเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียง โดยหลอกลวงประชาชนว่าจะแก้ปัญหาความยากจนให้หมดไปภายใน 6 ปี แต่นอกจากความยากจนจะไม่หมดไปแล้ว โจทก์กับพวกกลับร่ำรวยมากขึ้น ซึ่งภายหลังทรัพย์ของโจทก์และพวกได้ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน ฐานร่ำรวยผิดปกติ นอกจากนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ยังได้พิพากษาจำคุกโจทก์ 2 ปี ฐานกระทำการขัดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542
ไม่เท่านั้น โจทก์ยังใช้นโยบายปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างแข็งกร้าว โดยรายงานของวุฒิสภาระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจากนโยบายดังกล่าวประมาณ 2,600 คน นอกจากนี้ยังมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่เอื้อประโยชน์ให้นายทุนและพวกพ้องของโจทก์ ขณะที่ คตส.ได้ตรวจสอบพบการทุจริตของโจทก์และพวกพ้องหลายโครงการ
ด้านศาลพิจารณาข้อนำสืบของจำเลยแล้วเห็นว่า สมัยที่โจทก์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โจทก์บริหารประเทศไม่โปร่งใส มีการทุจริตคอร์รัปชั่น มีการออกนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้อง ทำให้โจทก์และพวกร่ำรวยขึ้น แม้โจทก์จะไม่ยอมรับคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ให้ริบทรัพย์สินของโจทก์กับพวกฐานร่ำรวยผิดปกติให้ตกเป็นของแผ่นดิน แต่ก็แสดงให้เห็นว่า โจทก์มีพฤติกรรมบริหารประเทศส่อไปในทางไม่สุจริตจริง ส่วนข้อความที่กล่าวหาโจทก์ว่า กดขี่ ข่มเหง และเข่นฆ่าประชาชนนั้น สืบเนื่องจากนโยบายปราบปรามยาเสพติดของโจทก์ที่แข็งกร้าว เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจากนโยบายดังกล่าวถึง 2,600 คน
ส่วนข้อความที่กล่าวหาว่าโจทก์ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ศาลเห็นว่า จากการนำสืบของจำเลย แสดงให้เห็นว่า หลังจากโจทก์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โจทก์ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศหลายแขนงอย่างต่อเนื่องว่า “ตนเองเป็นภัยคุกคามชนชั้นสูง” และ “บรรดาชนชั้นสูงที่มีอภิสิทธิ์ทั้งหลาย เชื่อถือในทุกสิ่ง ยกเว้นประชาธิปไตย” พฤติกรรมของโจทก์ย่อมทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า โจทก์ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้โจทก์ยังแสดงออกอย่างต่อเนื่องว่าเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน ด้วยการสนับสนุนคนใกล้ชิดกับตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และข้าราชการระดับสูง ย่อมทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจได้ว่า โจทก์อยู่เบื้องหลังการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช
การที่จำเลยที่ 1-4 นำเอาจุดบกพร่องในการบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์มาวิพากษ์วิจารณ์ เป็นวิสัยของประชาชนที่ทำได้ เพราะโจทก์เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถือเป็นบุคคลสาธารณะ การวิพากษ์วิจารณ์ของจำเลยเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม เป็นการป้องกันส่วนได้เสียของตนตามคลองธรรม ในฐานะประชาชนชาวไทยที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำหรือพฤติกรรมของรัฐบาลที่บริหารราชการแผ่นดินในขณะนั้น การกระทำของจำเลยที่ 1-4 จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา เมื่อจำเลยที่ 1-4 ไม่ผิด จำเลยที่ 5-6 ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 1-4 ย่อมไม่มีความผิดด้วย พิพากษายกฟ้อง
5.ศาลแพ่ง สั่ง “เทเวศประกันภัย” จ่ายชดเชย “เซ็นทรัลเวิลด์” 3.7 พันล้าน กรณีถูกเผาช่วงเสื้อแดงชุมนุม ด้านเทเวศฯ ยัน ไม่กระทบสถานะบริษัท!
จากกรณีที่ได้มีการเผาบ้านเผาเมืองระหว่างการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเป็น 1 ในสถานที่ที่ถูกเผา ได้ยื่นฟ้องบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากอัคคีภัย แต่เทเวศประกันภัยต่อสู้ว่าเป็นการก่อการร้าย ซึ่งกรมธรรม์ไม่คุ้มครองนั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ศาลแพ่งได้พิพากษาว่า เทเวศประกันภัยต้องรับผิดชอบตามกรมธรรม์ เพราะเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ไม่ใช่กรณีก่อการร้าย แต่อยู่ในข่าย “จลาจล”ซึ่งเป็นภัยที่ได้รับการคุ้มครองจากกรมธรรม์ ดังนั้น ศาลจึงพิพากษาให้เทเวศประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายต่อทรัพย์สิน จำนวน 2,719,734,979.29 บาท และชดเชยความเสียหายต่อธุรกิจอีกจำนวน 989,848,850.01 บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 31 มีนาคม 2554 จนกว่าจะชำระครบถ้วน รวมทั้งค่าทนายความอีก 60,000 บาท
ด้านบริษัท เทเวศประกันภัย ได้ออกคำชี้แจงหลังทราบคำพิพากษาของศาล โดยยืนยันว่า บริษัทได้ดำเนินธุรกิจประกันวินาศภัยด้วยหลักธรรมาภิบาลเสมอมา และเคารพในคำวินิจฉัยของศาล แต่เนื่องจากคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด และในการรับประกันภัยตามกรมธรรม์นี้ บริษัทได้กระจายความเสี่ยง โดยจัดให้มีการประกันภัยต่อ ไปยังบริษัทรับประกันภัยทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายบริษัท ดังนั้นบริษัทจึงจำเป็นต้องปรึกษาและประสานงานกับบริษัทรับประกันภัยต่อ เพื่อขอแนวทางในการดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ บริษัท เทเวศประกันภัย ยืนยันด้วยว่า ฐานะการเงินของบริษัทยังคงมีความมั่นคง และเชื่อมั่นว่า ท้ายที่สุดหากบริษัทต้องชำระเงินตามคำพิพากษาดังกล่าว บริษัทจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้รับประกันภัยต่อตามกรมธรรม์ประกันภัยต่อ ดังนั้น คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคงและสถานะทางการเงินของบริษัทแต่อย่างใด