xs
xsm
sm
md
lg

มติสงฆ์จตุรทิศคว่ำบาตร “พ.อ.นที” ฐานออกกฎคุมวิทยุ-บ่อนทำลายศาสนา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พระสงฆ์จากวิทยุพุทธมณฑล วิทยุเสียงธรรม และจากวัดสังฆทานร้องต่อ กรรมาธิการ ป.ป.ช. สภาผู้แทนฯ เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา
พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นฯ จากจตุรทิศ มีมติลงนิคคหกรรมคว่ำบาตร “พ.อ.นที ศุกลรัตน์” ปฏิบัติหน้าที่ประธาน กสทช.ออกข้อบังคับวิทยุใหม่จำกัดสิทธิประชาชนเข้าถึงวิทยุเสียงธรรม กีดกัน และบ่อนทำลายศาสนา ประกาศไม่ยอมรับ และไม่ต้องติดตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ของ กสทช.ที่มาจากโมฆบุรุษ จนกว่าจะกลับประพฤติตัวเป็นคนดี

เมื่อวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ ประธานสงฆ์พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ได้ลงนามในประกาศ “มติสงฆ์จากจตุรทิศ” เรื่อง ลงนิคคหกรรมคว่ำบาตรผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนประธาน กสทช. ณ วัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นไปตามมติที่ประชุมสงฆ์พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุตจากจตุรทิศจำนวน 2,200 รูป ไม่นับภิกษุผู้ไม่สามารถเดินทางเข้าร่วมสังฆกรรมแต่ได้มอบฉันทะแก่สงฆ์ สำหรับเนื้อหาในประกาศดังนี้

“ตามที่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธาน กสท.ปฏิบัติหน้าที่แทนประธาน กสทช. ออกประกาศหลักเกณฑ์การอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง พ.ศ.๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๕ มีสาระสำคัญบังคับให้ผู้ประกอบการวิทยุรายใหม่ต้องลดกำลังส่งเหลือ ๕๐๐ วัตต์ ลดความสูงเสาเหลือ ๖๐ เมตร ลดรัศมีกระจายเสียงเหลือ ๒๐ กิโลเมตร ในขณะที่ผู้ประกอบการวิทยุรายเดิมซึ่งเกือบทั้งหมดมีแต่รายการเพลงเพื่อแสวงหากำไรกลับไม่ถูกจำกัด จึงเป็นการเลือกปฏิบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญเพราะทำให้ประโยชน์สูงสุดของประชาชนทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นจากการรับฟังรายการพระพุทธศาสนาของมูลนิธิเสียงธรรมฯ ที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนานเกือบ ๑๐ ปี ต้องสูญเสียไป

ที่ประชุมสงฆ์พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุตจากจตุรทิศจำนวน ๒,๒๐๐ รูป โดยในจำนวนดังกล่าวไม่นับภิกษุผู้ไม่สามารถเดินทางเข้าร่วมสังฆกรรมแต่ได้มอบฉันทะแก่สงฆ์ ซึ่งสงฆ์ได้พิจารณาอย่างรอบคอบโดยยึดถือพระธรรมวินัย จารีตประเพณี และกฎหมาย มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ทรัพยสิทธิทั้งปวงในเครือข่ายวิทยุเสียงธรรมทั่วประเทศเป็นสมบัติของสงฆ์ เนื่องจากประชาชนในแต่ละพื้นที่พร้อมใจกันน้อมถวายแด่องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน สงฆ์ถือว่าพื้นที่กระจายเสียงทางอากาศที่ประชาชนเคยรับฟังได้เป็นมรดกธรรมขององค์หลวงตาและครูบาอาจารย์ฯ ที่สงฆ์ต้องปกป้องและยอมสละได้ด้วยชีวิตตามหลักพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า พึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต และพึงสละทั้งอวัยวะและชีวิตเพื่อรักษาธรรมไว้ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สุขอันยิ่งใหญ่ของมหาชน ส่วน กสทช.นั้น สงฆ์เห็นว่ากำลังสร้างกรรมหนักในพระพุทธศาสนา เพียงเบื้องต้นยังกล้าฝ่าฝืนพระธรรมเทศนาขององค์หลวงตาผู้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพในสมัยปัจจุบันที่ได้กล่าวไว้อย่างเด็ดขาดว่า

“...วิทยุเวลานี้เป็นประโยชน์แก่โลกมากมาย เสียงธรรมไม่ค่อยได้ยินได้ฟังกัน ในโลกนี้มีแต่เสียงกิเลสท่วมท้น สามโลกธาตุมีเสียงกิเลสดังลั่นไปหมด เสียงธรรมไม่ค่อยมี นี่ก็เพิ่งเริ่มเสียงธรรมออกประกาศทางวิทยุ ก็ถูกกลั่นแกล้งกีดกันต่างๆ อ้างมาตรานั้นมาตรานี้มาบีบบังคับเสียงธรรมไม่ให้ออก .. เรานี้สลดสังเวชมากนะ เพราะเสียงธรรมไม่ค่อยมีที่จะให้เป็นประโยชน์แก่โลก เสียงกิเลสตัณหา เสียงฟืนเสียงไฟมันทั่วโลก ไม่บอกว่าพวกนี้ฟุ้งเฟ้อ พวกนี้เป็นอันตรายต่อโลก ไม่ประกาศออกมา ในกฎหมายข้อใดมาตราใดก็ไม่เคยแสดงออกมา

แต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมที่แสดงออกมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่โลกอย่างมหาศาลนี้ มีมาตรานั้นมาตรานี้ออกมา ความสูงความต่ำวิทยุอย่างนั้นอย่างนี้มีบังคับมาๆ นี้มาจากไหน ถ้าไม่มาจากสัตว์นรกจะมาจากไหน ขอให้พูดเต็มปากเถอะ ถ้าสัตว์สวรรค์สัตว์นิพพานจะไม่พูดอย่างนี้ มีแต่อนุโมทนาสาธุการ ถ้าสัตว์นรก

แล้วกีดกันทุกแบบทุกฉบับ ที่จะเป็นอรรถเป็นธรรมเพื่อหัวใจโลกได้รับความสงบร่มเย็นนี้ต้องกีดต้องกัน ด้วยมาตรฐานของเปรตของผี เอ้า ฟังให้ชัด เราพูดให้เต็มยัน

ติดคุกเราจะไปติดเอง จะไปเทศน์อยู่ในคุก เราอาจหาญชาญชัยเหนือโลกธาตุแล้ว คุกมันอยู่ในโลกธาตุ เราจึงไม่เคยหวั่น เอาไปติดคุก ร่างกายเป็นสมมุติ เอ้า ติดคุกไป หัวใจเราเป็นวิมุตติไม่ติด เราจะไปเทศน์อยู่ในเรือนจำ เพราะจิตเราไม่ได้ติดคุกติดตะรางนี่ ติดแต่ร่างกาย...”


พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รู้ถึงความประสงค์ขององค์หลวงตาดีกว่า กสทช.ท่านอื่น เพราะคุ้นเคยกับครูบาอาจารย์สายกรรมฐานตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นประธานคณะทำงานวิทยุชุมชน จึงทราบดีว่ามติ กทช. ครั้งนั้นได้จัดสรรงบประมาณศึกษาและกำหนดแนวทางออกใบอนุญาตสำหรับมูลนิธิเสียงธรรมฯ แล้ว ต่อมาเมื่อ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ได้รับเลือกเป็น กทช.ก็ยิ่งทราบดีว่า กทช.ชุดดังกล่าวดำเนินการตามมติ กทช.ชุดแรกจนแล้วเสร็จ ซึ่งแทนที่ กสทช.จะสานงานต่อจาก กทช.ทั้ง ๒ ชุดในทันที กลับออกประกาศที่มีผลตรงกันข้ามและยังมีสาระสำคัญขัดแย้งต่อพระราชบัญญัติและรัฐธรรมนูญอีกด้วย

แม้สงฆ์ได้ประชุมหารือตั้งแต่วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ เพื่อขอบิณฑบาตให้ทบทวนก็ยังไม่สามารถระงับการกระทำของ กสทช.ได้ แม้มูลนิธิเสียงธรรมฯ จะพากเพียรเสนอความเห็นที่ถูกกฎหมายและเป็นไปได้ทั้งทางวาจาและเป็นทางการหลายวาระ และแม้ว่าประชาชนจำนวนมากจะแสดงเจตนาคัดค้านมาแล้วก็ตาม แต่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ในฐานะประธานก็เพิกเฉยไม่ใส่ใจ ยังคงเป็นผู้เก้อยาก โดยยืนกรานแนวคิดดังกล่าวแบบน้ำเต็มแก้ว จนทำให้ กสทช. และเจ้าหน้าที่ กสทช.บางท่านเริ่มกล่าวติเตียนศาสนา ว่าเปรียบเปรยสงฆ์ และแยกสงฆ์อีกกลุ่มหนึ่งให้คล้อยตาม นับเป็นมหันตโทษแก่พุทธบริษัท ๔ ในทางพระพุทธศาสนาหากมิได้แก้ไข สงฆ์พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็น “กิจจาธิกรณ์” ที่ต้องน้อมนำพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้มาปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยตามธรรม และเพื่อระงับมหาวิบากกรรมที่ กสทช.ทั้งคณะได้ก่อไว้ มีทุคติภูมิเป็นที่หมาย สงฆ์มีมติเห็นเป็นเอกฉันท์ ดังนี้

๑) สงฆ์พึงลงนิคคหกรรมประณาม พ.อ.นที ศุกลรัตน์ โดยให้ภิกษุประกาศสงฆ์กล่าวโทษของเขา และคว่ำบาตรแก่เขาด้วยญัติติทุติยกรรม ตามพระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก จุลวรรค เรื่องเจ้าวัฑฒะลิจฉวี โดยพระวินัยท่านห้ามมิให้ภิกษุทั้งหลายคบด้วย มิให้รับบิณฑบาต มิให้รับนิมนต์ มิให้รับไทยธรรมของเขา อรรถกถาจารย์ยังกล่าวด้วยว่า หากภิกษุรูปใดละเมิดควรลงโทษได้ โดยฐานสมคบกับคฤหัสถ์ด้วยการสมคบอันไม่สมควร

๒) สงฆ์ยึดถือพระธรรมวินัยเหนือกฎหมาย พระธรรมวินัยบัญญัติโดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ทรงหมดสิ้นอาสวะกิเลสทั้งปวงแล้ว แต่กฎหมายโดยเฉพาะประกาศ กสทช.ฉบับนี้เขียนขึ้นจากความคิดปรุงแต่งของผู้มีกิเลสจึงเห็นผิดเป็นชอบได้ เมื่อสงฆ์คว่ำบาตรแก่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ แล้ว ประกาศหรือคำสั่งใดๆ ของเขาถือเป็นคำสั่งของโมฆบุรุษ ไม่มีผลต่อสงฆ์และทรัพยสิทธิทั้งปวงของสงฆ์ จนกว่าเขาจะรู้สึกผิด กลับประพฤติตัวเป็นคนดี

๓) สงฆ์เห็นว่าพระครูอรรถกิจนันทคุณและคณะฯ เสียสละประโยชน์ตนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะอุตสาหะตรากตรำทำงานโดยพยายามเสนอความเห็นต่อสมาชิกรัฐสภา และ กทช. จนมีพระราชบัญญัติและผลการศึกษารองรับมูลนิธิเสียงธรรมฯ ให้มีสถานภาพทางกฎหมายครบถ้วนสมบูรณ์เพียงพอแล้ว แต่ กสทช.กลับจงใจฝ่าฝืน และยังสร้างภาระเงื่อนไขต่างๆ ให้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนทำให้เนิ่นช้าเสียเวลาออกไปอีก แทนที่จะเห็นศาสนธรรมเป็นสิ่งประเสริฐสูงสุดที่แม้แต่ท้าวมหาพรหมยังน้อมรับและปฏิบัติด้วยความเคารพบูชายิ่งถือว่าท่านมีเมตตาโปรดสัตว์โลก แต่ กสทช.กลับปฏิบัติต่อศาสนธรรมดุจดั่งคนขอทาน มิหนำซ้ำยังออกประกาศที่ล้วนแล้วแต่เป็นการกีดกันและบ่อนทำลายศาสนธรรม มิใช่เพื่อการอุปถัมภ์คุ้มครองแต่อย่างใด ที่ถูกต้องแล้ว กสทช.ต้องเป็นฝ่ายเข้าหาและส่งเสริมศาสนธรรมให้เป็นที่พึ่งแก่โลกสงฆ์จึงมีมติขอให้คณะทำงานทอดธุระและวางอุเบกขา ไม่ยอมรับและไม่ต้องติดตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ของ กสทช.ที่มาจากโมฆบุรุษ ทั้งนี้จนกว่า กสทช. จะกลับประพฤติตัวเป็นคนดี

๔) หาก กสทช.ยังไม่ลดละมิจฉาทิฏฐิถือเอากฎหมายที่ตนเขียนขึ้นเป็นใหญ่เหนือพระธรรมวินัย จนมีผลให้เกิดการตรวจจับ ยึด หรือแม้เพียงการลิดรอนทรัพย์มรดกขององค์หลวงตาฯ ให้มีพื้นที่กระจายเสียงธรรมคับแคบลง ในเรื่องนี้หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ ประธานมูลนิธิเสียงธรรมฯ ท่านกล่าวไว้แล้วว่า “พวกนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เราอย่าไปฟัง ธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์เทศน์ออกมาจากใจที่ทรงมรรคผลนิพพาน เราขอมอบกายถวายชีวิตเพื่อปกป้องธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์ฯ หากจะต้องติดคุก เราขอติดคุกติดตะรางเพียงผู้เดียว ไม่ให้หมู่เพื่อนต้องมาลำบากด้วย เราจะไปฟังเทศน์พ่อแม่ครูอาจารย์ในคุก”

สงฆ์มีมติในเรื่องนี้ว่า สงฆ์ที่มาแสดงสามัคคีธรรมในที่นี้และที่ได้มอบฉันทะทุกรูป ขอยอมมอบกายถวายชีวิตปกป้องมรดกธรรมร่วมกับหลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ และหากการเผยแผ่ศาสนธรรมทางสถานีวิทยุจะเป็นสิ่งชั่วช้าเลวทรามในสายตาชาวโลกแล้วไซร้ สงฆ์ทุกรูปขอร่วมติดคุกติดตะรางพร้อมกับหลวงปู่ ทั้งนี้ด้วยเคารพในความกตัญญูกตเวทีของหลวงปู่และเคารพบูชาคำสอนขององค์หลวงตาที่อุตส่าห์ฝืนรั้งธาตุขันธ์ยามอาพาธเพื่อกล่าวอย่างถึงใจ เป็นปัจฉิมโอวาทฝากไว้กับท่านพระอาจารย์สุดใจ ทันตมโน ณ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ ว่า “มือของครูอาจารย์กับมือของลูกศิษย์ลูกหา ญาติมิตร เพื่อนฝูง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ใช้แทนกันได้ ไว้ใจกันได้ เชื่อใจกันได้ ตายใจกันได้”

๕) ให้ภิกษุนำมติสงฆ์และนิคคหกรรมคว่ำบาตรนี้แจ้งแก่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในบ้านเมือง หากเขารู้สึกผิด กลับประพฤติดี สงฆ์ในที่ประชุมนี้มีมติให้สงฆ์วัดป่าบ้านตาดประกาศสงฆ์ระงับกรรมนั้นเพื่อหงายบาตรให้เขาด้วยญัตติทุติยกรรม

จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกันในสังฆมณฑล

(หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ)
ประธานสงฆ์พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ
วันศุกร์ที่ ๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๕”



กำลังโหลดความคิดเห็น