xs
xsm
sm
md
lg

“สันติ พร้อมพัฒน์” ลุอำนาจ! บีบ กคช.ขายที่ดินติดถนน หวังเปิดที่ตาบอดมูลกว่า 2 พันล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ที่ดินบริเวณด้านหน้าโครงการหมู่บ้านนักกีฬาแหลมทอง ถนนกรุงเทพกรีฑา เขตสะพานสูง ที่คนในตระกูล“พร้อมพัฒน์”กำลังขอซื้อจากการเคหะแห่งชาติ
ASTV ผู้จัดการรายวัน - “สันติ พร้อมพัฒน์” รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ คุมการเคหะแห่งชาติ ลุแก่อำนาจสั่งการเคหะฯ ขายที่ดินติดถนนในโครงการหมู่บ้านนักกีฬาแหลมทอง ใกล้สถานีแอร์พอร์ตลิงก์ และถนนมอเตอร์เวย์ พร้อมย้ายอู่รถเมล์ 93 ที่ชาวชุมชนใช้มากว่า 30 ปี เพื่อเปิดเป็นทางเข้า-ออกสู่ที่ดินตาบอดนับร้อยไร่ มูลค่าที่ดินกว่า 2 พันล้านบาท หลังเจรจาซื้อที่ดินเอกชนไม่สำเร็จ

ปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคเพื่อไทยระหว่าง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กับ นายประวัฒน์ อุตตะโมต สมาชิกพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีที่มาจากการที่ นายสันติ มีคำสั่งเด้งฟ้าผ่า นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวง พม.พี่สาวของนายประวัฒน์ ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ยังไม่ทันจะจางหายไป กลับปรากฏชื่อของนายสันติ กำลังจะฉาวขึ้นอีกครั้งหนึ่งในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนจากการใช้อำนาจบารมี ในการกำกับควบคุมหน่วยงานในสังกัด

ทั้งนี้ เพราะปัจจุบันเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น ในหน่วยงานของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ซึ่งอยู่ภายใต้สังกัดกระทรวง พม.ว่า มีอำนาจการเมืองเข้ามาสั่งการการเคหะฯ ให้ขายที่ดินติดถนนใหญ่ในโครงการหมู่บ้านนักกีฬาแหลมทอง ถนนกรุงเทพกรีฑา เขตสะพานสูง ให้แก่บริษัทในตระกูล “พร้อมพัฒน์” เพื่อสามารถเปิดทางเข้าสู่พื้นที่ด้านในที่มีจำนวนมหาศาล

สำหรับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของคนในการเคหะฯ นั้น เกิดขึ้นมาเนื่องเพราะว่าระหว่างที่นายสันติ ไปประชุมบอร์ดการเคหะฯ เมื่อประมาณปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินของการเคหะฯ ด้วย ซึ่งในวันนั้นมีผู้สื่อข่าวหลายฉบับไปรอทำข่าวการประชุม

จากนั้นจึงเริ่มมีการติดตามหาหลักฐาน และพบว่า มีการส่งสำเนาภายในการเคหะฯ เอง ที่เกี่ยวข้องกับการเสนอซื้อที่ดินแปลงหนึ่งพร้อมแผนผังที่ตั้งอันเป็นการระบุถึงรายละเอียดภายในโครงการหมู่บ้านนักกีฬา เพื่อเป็นการยืนยันว่า กำลังจะเกิดการซื้อขายที่ดินแปลงหนึ่งในหมู่บ้านนักกีฬาและเกี่ยวพันกับนักการเมืองที่กำกับดูแลการเคหะฯ แน่นอน

หลักฐานชี้ชัดหวังเปิดที่ตาบอด

“ASTVผู้จัดการรายวัน” ได้ติดต่อขอสำเนาเอกสารซื้อขายที่ดินแปลงหมู่บ้านักกีฬาแหลมทอง พบว่า เป็นการขอซื้อที่ดินบางส่วนโดยบริษัท ซีวิล คอนสตรัคชั่น จำกัด ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2555 ในเอกสารดังกล่าวลงนามโดย พิชัย พร้อมทวีสิทธิ์ กรรมการผู้มีอำนาจ ได้มีหนังสือถึง นายพงศ์พัท จิตรสำเริง รองผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการกายภาพ ระบุถึงการขอซื้อที่ดินบางส่วนของโฉนดเลขที่ 199907 เพื่อใช้เป็นทางเข้า-ออกที่ดินของบริษัท ที่ตั้งอยู่ด้านในพื้นที่ของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) มีเนื้อที่ 5 ไร่ เพื่อใช้ออกสู่ถนนสาธารณะได้ โดยต้องการจะขอซื้อเนื้อที่กว้างตลอดแนวประมาณ 12 เมตร ความยาวด้านซ้ายประมาณ 31 เมตร ความยาวด้านขวา 35 เมตร คำนวณเป็นพื้นที่ประมาณ 99 ตารางวา ตามผังที่ดินที่เสนอแนบท้ายหนังสือดังกล่าว

แหล่งข่าวจากการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า การขอซื้อที่ดินแปลงนี้มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง เนื่องจากนักการเมืองและนักธุรกิจกลุ่มนี้นั้น มีที่ดินโดยล้อมรอบอยู่จำนวนมาก แต่การจะเข้าไปลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบต่างๆ ค่อนข้างจะลำบาก เพราะที่ดินส่วนใหญ่เป็นที่ดินตาบอด ดังนั้น จะต้องหาทางเปิดทางเข้า-ออกเพื่อความสะดวกได้ก่อน จึงจะทำให้การลงทุนมีความเป็นไปได้และประสบความสำเร็จ

“ตามที่บริษัทอ้างว่าเพื่อเปิดที่ 5 ไร่ ไม่น่าจะเป็นเหตุผลหลัก จริงๆ แล้วที่ดิน 5 ไร่มีการถมไว้แล้ว แต่ต่อจาก 5 ไร่นี้ เขามีอีกประมาณ 20 ไร่ ที่เป็นบ่อลึก เพราะก่อนหน้านี้ มีการขุดหน้าดินมาขายให้โครงการของเคหะฯ และรอบๆ ที่ดินตรงนี้คนการเคหะฯ และชาวบ้านละแวกนั้นที่เป็นหัวคะแนนบอกว่าเป็นของนักการเมืองชื่อสันติ อีกมาก รวมๆ แล้วกว่า 100 ไร่ ซึ่งถ้ามีทางออกจะเป็นที่ดินแปลงใหญ่ที่สวยและหายาก”

แหล่งข่าวบอกอีกว่า ความจริงแล้ว นายทุนกลุ่มนี้พยายามหาเส้นทางเข้า-ออกตรงจุดอื่นไว้ก่อนหน้านี้ เช่น มีการซื้อบ้านแฝดจำนวน 2 หลังในหมู่บ้านนักกีฬาฯ ที่อยู่ใกล้ๆ ที่ดินแปลง 20 ไร่ ซึ่งมีหน้ากว้างประมาณ 12-15 เมตร แต่ติดปัญหาหากต้องการใช้เป็นทางเข้า-ออกของรถถมดิน หรือขนส่งวัสดุในระยะแรกจะไม่สะดวก เพราะตรงนี้นอกจากจะเป็นถนนซอยที่เล็กเพียงรถสวนกันได้หรือประมาณไม่เกิน 4 เมตร และจะต้องติดปัญหาเรื่องที่กลับรถจึงเป็นอันต้องยุติด้านนี้เป็นทางเข้า-ออก แม้ว่าจะมีการซื้อบ้าน 2 หลังไว้แล้วก็ตาม

“แต่บ้าน 2 หลังนี้ก็จะมีประโยชน์ในอนาคตหากโครงการพัฒนาที่ดินแปลงนี้มีทางเข้า-ออกอื่นและต่อไปก็จะใช้ถนนซอยนี้เป็นทางเข้า-ออกอีกเส้นหนึ่งได้เช่นกัน”

อย่างไรก็ดี นายทุนกลุ่มนี้ยังพยายามหาทางเข้า-ออกอื่น ด้วยการไปเจรจาขอซื้อที่ดินอีกแปลงหนึ่งซึ่งเป็นของเอกชนอยู่ติดถนนซอย ตรงบริเวณซอย 6 ใกล้ๆ กับอนามัยชุมชน และที่ทำการของคณะกรรมการหมู่บ้านฯ เพื่อใช้เป็นทางเข้า-ออก ที่สำคัญอยู่ติดกับที่ดินแปลง 5 ไร่ที่นายทุนกลุ่มนี้แจ้งไว้กับการเคหะฯ ในการเจรจาซื้อที่ของเคหะฯ ด้วย

“หากใช้เข้า-ออกตรงซอย 6 จะสะดวกกว่าตรงแปลงบ้านแฝด เพราะซอยนี้มีบ้านพักอาศัยไม่กี่หลังส่วนใหญ่เป็นที่ว่าง เพราะยังเป็นที่ดินของการเคหะฯ ให้เอกชนรายหนึ่งเช่าเพื่อทำเป็นตลาดของชุมชน หรือกิจกรรมหารายได้ต่างๆ มีอนามัย ศูนย์ออกกำลังกายของชุมชน โดยเข้าซอยไปประมาณ 10-20 เมตรเท่านั้น ก็ถึงแปลงเอกชนที่เจรจาซื้อ แต่เขาเจรจาไม่สำเร็จ เพราะตกลงกันไม่ได้เรื่องราคา”

ดังนั้น นายทุนกลุ่มนี้จึงเดินหน้าเพื่อขอซื้อที่ดินของการเคหะฯ แทน เพราะที่ดินแปลงที่เขาจะซื้อนั้น จะมีศักยภาพสูงกว่าที่ดินเอกชนซอย 6 และซอยที่ซื้อบ้านแฝด 2 หลัง เพราะที่ดินแปลงนี้ติดถนนเมนใหญ่ไปกลับ 4 เลน ใกล้ๆ กันก็จะมี โลตัส เอ็กซ์เพรส มีเซเว่นฯ 2 สาขา ซีพีเฟรชมาร์ท ธนาคารไทยพาณิชย์ ตลาดสด เป็นต้น

ย้ายอู่รถเมล์ 93 ชาวบ้านเดือดร้อน

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่จะตามมา ก็คือ ที่ดินแปลงนี้ด้านหน้าจะเป็นที่ตั้งของอู่รถเมล์สาย 93 ที่ชาวชุมชนใช้ร่วมกันมากว่า 30 ปี และหากการเคหะฯ ยอมขายก็จะต้องย้ายอู่รถเมล์นี้ไปอยู่ที่อื่น ซึ่งผู้บริหารการเคหะฯ เองก็หนักใจเกรงว่าเรื่องนี้จะบานปลายกระทบคนในชุมชนกว่า 2 หมื่นคนและความมั่นคงของผู้บริหารการเคหะฯ ด้วย หากมีการตัดสินใจผิดพลาดเกิดขึ้น

อีกทั้งที่ดินบริเวณที่นายทุนกลุ่มนี้ต้องการจะกระเทือนถึงสัญญาเช่าที่ดิน เพื่อประกอบกิจการตลาดสดของเอกชนรายหนึ่งกับการเคหะฯ ที่ยังไม่หมดสัญญาจะต้องมีการรื้อถอนกันออกไป รวมไปถึงหากตัดสินใจขายก็จะก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องของระบบสาธารณูปโภคที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น น้ำประปา ท่อระบายน้ำ ระบบการกำจัดขยะ

“ที่เคหะฯ หนักใจมากที่สุดว่าชุมชนจะเดือนร้อน เพราะปัจจุบันที่ดินในโครงการหมู่บ้าน มีการทรุดตัวลงมาก พื้นที่เป็นแอ่ง เป็นหลุมเป็นบ่อ เมื่อฝนตกจะเกิดปัญหาน้ำท่วมขังทุกครั้ง และขายให้เขาก็จะลงทุนโครงการบ้านจัดสรรทันที ซึ่งจะต้องใช้รถบรรทุกขนดินมาถมที่ดินจำนวนหลายหมื่นเที่ยว ซึ่งจะทำให้ถนนยิ่งทรุดตัวลงมาก และโครงการใหม่ของเขาก็จะสูงกว่าถนนและโครงการของเคหะฯ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมชุมชนสูงขึ้น”

รองผู้ว่าฯ ยอมรับอยู่ระหว่างเคาะราคาขาย

เพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าว “ASTVผู้จัดการรายวัน” พยายามติดต่อขอสัมภาษณ์นายพงศ์พัท จิตรสำเริง รองผู้ว่าการการเคหะฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการกายภาพ แต่หน้าห้องได้สอบถามว่าต้องการสัมภาษณ์เรื่องอะไร ผู้สื่อข่าวจึงแจ้งถึงประเด็นเรื่องการซื้อขายที่ดินของนักการเมืองในหมู่บ้านนักกีฬา จากนั้นเลขาฯ คนดังกล่าวก็เงียบหายไปพักนึง และกลับมาตอบว่า

“ท่านรองฯ พงศ์พัท ให้บอกว่า มีการทำเรื่องขอซื้อที่ดินแปลงนี้จริง เนื่องจากต้องการเปิดทางเข้า-ออก เพื่อเชื่อมกับที่ดินแปลงด้านใน ตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อกำหนดราคาซื้อขาย คาดว่า จะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้” หน้าห้องรองผู้ว่าฯ พงศ์พัท บอก

ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวในการเคหะฯ บอกว่า เชื่อว่า สุดท้ายแล้วจะมีอำนาจการเมืองซึ่งกำกับดูแลการเคหะฯ บีบให้การเคหะฯ ยอมขายที่ดินให้แน่นอน เพราะหากยังจำกันได้ เมื่อครั้งที่นายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช คุมการรถไฟแห่งประเทศไทย ยังมีอำนาจพิเศษเร่งรัดให้เกิดโครงการรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หรือแอร์พอร์ตลิงก์ ให้เสร็จโดยเร็ว เนื่องเพราะก่อนหน้านี้ นายทุนกลุ่มนี้ไปประมูลซื้อที่ดินในย่านประตูน้ำจำนวน 10 ไร่เศษ อยู่ตรงข้ามโรงแรมอินทรา จากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) เมื่อปลายปี 2549 ในราคาประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อสร้างคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ ชื่อโครงการ “วอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน” (Watergate Pavillion) มูลค่า 5,500 ล้านบาท

“โครงการนี้อยู่ใกล้ๆ สถานีแอร์พอร์ตลิงก์ ช่วงสถานีราชปรารภ จึงเป็นทำเลทองที่น่าสนใจยิ่ง”

เบื้องหลังบีบการเคหะฯ ขายที่ดิน?

สำหรับเหตุผลที่คนในการเคหะฯ มั่นใจว่า จะมีอำนาจการเมืองเข้ามาบีบให้การเคหะฯ ขายที่ดินให้กับบริษัทซีวิล คอนสตรัคชั่น เพราะหากสามารถเปิดทางเพื่อเชื่อมไปถึงแปลงที่ดินของบริษัท ซีวิล คอนสตรัคชั่นได้ จะทำให้ที่ดินแปลงนั้นมีมูลค่ามหาศาล ปัจจุบันราคาประเมินอยู่ที่ตารางวาละ 18,000 บาท หรือไร่ละ 7.2 ล้านบาท ขณะที่ราคาตลาดพุ่งไปข้างหน้ากว่าเท่าตัว คือ ราคาตารางวาละ 30,000-40,000 บาท ไร่ละ 12-16 ล้านบาท หลังจากที่โครงการรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หรือแอร์พอร์ตลิงก์ เปิดให้บริการ และราคาจะขยับขึ้นไปอีกมาก หากนำที่ดินแปลงนี้มาพัฒนาเป็นโครงการบ้านจัดสรร

หากมองถึงศักยภาพของทำเลที่ตั้งเหมาะที่จะพัฒนาเป็นที่พักอาศัย ซึ่งเดินทางเข้า-ออกเมืองได้สะดวก เนื่องเพราะอยู่ใกล้ ทางด่วนบริเวณด่านศรีนครินทร์ ที่สามารถเข้าสู่ใจกลาง กทม.เและออกนอกเมืองได้อย่างรวดเร็ว, สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์, เส้นทางมอเตอร์เวย์ไปยังชลบุรี พัทยา, เส้นวงแหวนตะวันออกจากพระราม 9 ไปลำลูกกา และไปออกวังน้อย ปทุมธานี เชื่อมไปยังภาคอิสาน ภาคเหนือ ซึ่งเป็นเส้นทางเลี่ยงเมืองที่คนจำนวนมากนิยมใช้ในขณะนี้ อีกทั้งมีรถโดยสารประจำทางที่เริ่มต้นในหมู่บ้านนักกีฬา 3 สาย ประกอบด้วย สาย 93 วิ่งไปสุดที่ถนนสี่พระยา สาย 171 ผ่านพระราม 9 อนุสาวรีย์ ไปสิ้นสุดที่ฝั่งธนฯ และสาย 172 วิ่งผ่านลาดพร้าว ไปอนุสาวรีย์ สีลม ไปสิ้นสุดที่ฝั่งธนฯ เป็นต้น

ที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่ห่างจากถนนมอเตอร์เวย์ และแอร์พอร์ตลิงก์คือสถานีทับช้างไม่เกิน 500 เมตร และหากคิดเฉพาะมูลค่าที่ดิน 100 ไร่ในปัจจุบันประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท

“สันติ พร้อมพัฒน์” เจ้าของที่ดิน?

ดังนั้น หากการเคหะฯ ตัดสินใจขายที่ดินให้เป็นทางเข้า-ออกที่สะดวกจะทำให้ที่ดินแปลงนี้มีมูลค่ามหาศาล เพราะจากที่ดิน 5 ไร่ ก็จะสามารถเชื่อมไปสู่แปลง 20 ไร่ และแปลงเกือบ 80 ไร่ได้ รวมเบ็ดเสร็จกว่า 100 ไร่

ทั้งนี้ เมื่อนำที่ดินทั้งหมดมาพัฒนาเป็นโครงการบ้านจัดสรร จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมหาศาล จากการคำนวณเบื้องต้น หากพัฒนาเป็นโครงการระดับกลาง บ้านเดี่ยวราคา 5-8 ล้านบาท จะมีมูลค่าประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท แต่ถ้าลงทุนโครงการประเภทมิกซ์ยูส จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการได้อีกมาก และยังสามารถสร้างรายได้ค่าเช่าในระยะยาวอีกด้วย

“การที่เคหะฯ จะยอมขายที่ดินบางส่วนเพียงเพื่ออำนวยประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการเพียงรายเดียวหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่กลับสร้างความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสให้กับชาวชุมชนที่อาศัยในบริเวณใกล้เคียง ที่พักอาศัยกันกว่า 20,000 คน ต้องเป็นเรื่องไม่ธรรมดาแน่นอน”

แหล่งข่าวระบุว่า บริษัทที่ขอซื้อที่ดินจากการเคหะฯ เป็นบริษัทที่น่าจะมีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับนายสันติ พร้อมพัฒน์โดยตรง เพราะ นายพิชัย พร้อมทวีสิทธิ์ กรรมการผู้มีอำนาจในการเสนอซื้อที่ครั้งนี้ มีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ของสันติ อีกทั้งนายพิชัยคนนี้ยังเป็นคนเดียวกับนายพิชัยที่นั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการในบริษัท โอเวอร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการวอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน (Watergate Pavillion) ของ นายสันติ พร้อมพัฒน์ โดยตรง

“การประชุมบอร์ดเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่เกี่ยวข้องกับการซื้อที่ดิน รัฐมนตรียังมาเข้าร่วมประชุมด้วย จึงเป็นเรื่องที่คนเคหะฯ มั่นใจมาก”

นอกจากนี้ เมื่อครั้งเปิดตัวโครงการวอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน นายสันติเคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า โครงการนี้ถือเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แรกของครอบครัว หลังจากหยุดดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมานานเกือบ 20 ปี โดยส่งลูกชายคนสุดท้อง นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ มานั่งเก้าอี้ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ซึ่งนายสันติย้ำแล้วย้ำอีกว่านายพัฒนาเป็นเจ้าของโครงการตัวจริง ส่วนตัวเองเป็นที่ปรึกษาเท่านั้น

ส่วนเหตุผลที่ตระกูลพร้อมพัฒน์เข้ามาลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงนั้น นอกเหนือจากเหตุผลว่า เป็นขาขึ้นของธุรกิจแล้ว ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า เป็นยุครุ่งเรืองของนายสันติ เพราะนายสันติเป็นผู้มีอำนาจบารมี และบทบาทอย่างมากในฐานะกระเป๋าเงินพรรคการเมืองในเครือข่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และได้นั่งเก้าอี้ตัวใหญ่ที่กระทรวงหูกวาง สมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช อีกทั้งยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคนเดียวที่เร่งรัดโครงการแอร์พอร์ตลิงก์ จนสามารถเปิดเดินรถได้ แม้ว่าจะล่าช้าจากเป้าหมายที่วางไว้บ้างแต่ก็ไม่มากนัก แต่นั่นก็ถือเป็นจังหวะที่ดี เพราะใกล้กับช่วงเวลาที่จะเปิดตัวโครงการวอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยนพอดี

แหล่งข่าวจากการเคหะฯ บอกอีกว่า ที่ดินรอบหมู่บ้านนักกีฬากำลังเป็นทำเลทองที่น่าสนใจ และหากเปรียบเทียบกับกรณีของเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่ง เลขที่ 161207 เป็นที่ดินตาบอดจำนวน 10 ไร่ อยู่ติดกับสวนสาธารณะและบ้านเรือนในชุมชนหมู่บ้านนักกีฬา มีการประเมินเฉพาะราคาที่แปลง 10 ไร่ไว้ที่ 80 ล้านบาท ได้ยื่นฟ้องบังคับให้การเคหะฯ เปิดทางเพื่อเข้า-ออกสู่ทางสาธารณะด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของที่ดินคือฝั่งที่ติดกับซอย 7 ก.แต่การเคหะฯ ยื่นคำให้การต่อสู้คดี ชาวชุมชนในหมู่บ้านนักกีฬาแหลมทองร่วมกันลงชื่อคัดค้าน และผู้อยู่อาศัยในชุมชนอีก 14 คน แต่ทนายร้องสอดเข้าไปในคดี โดยอ้างถึงผลกระทบที่อาจจะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อยู่อาศัยในชุมชน หากเปิดทางเข้า-ออกเกินจำเป็น ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นยกฟ้อง

ก่อนฟ้องคดีนี้ เจ้าของที่ดินเคยขออนุญาตผ่านทางในที่ดินการเคหะฯ และจะมีการเสียค่าใช้จ่ายตามระเบียบของการเคหะฯ แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ เพราะเจ้าของที่ดินรายนี้ต้องการเปิดทางเข้า-ออกกว้างเกินกว่าระเบียบกำหนดให้ เนื่องเพราะจะมีการนำรถดินเข้ามาถมที่ดิน 10 ไร่ซึ่งมีสภาพเป็นบ่อน้ำเพื่อทำโครงการบ้านจัดสรร ซึ่งการเคหะฯ เห็นว่า หากอนุมัติจะทำให้ประชาชนในชุมชนเดือดร้อน ถนนในโครงการพังเสียหาย และที่ดินของเอกชนรายนี้ก่อนหน้านั้นถือว่าเป็นบ่อรับน้ำทั้งกรณีน้ำฝนที่ตกหนัก หรือเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมาให้กับชุมชนหมู่บ้านนักกีฬา

แต่ด้วยความเร่งรีบของเจ้าของที่ดินแปลงนี้ที่ต้องการพัฒนาที่ดิน จึงส่งคนงานไปทุบทำลายรั้วกำแพงลานกีฬาของการเคหะฯ ไปก่อน เพื่อเตรียมการถมดินในที่ดินของเขา

“กรณีนี้การเคหะฯ กล้าตัดสินใจเด็ดขาด เพราะเจ้าของที่ดินแปลงนี้ไม่มีอิทธิพลทางการเมืองเท่าแปลงของบริษัท ซีวิล คอนสตรัคชั่น จึงไม่สามารถบีบให้การเคหะฯ เปิดทางได้ การเคหะฯ จึงต่อสู้คดีจนได้รับชัยชนะ”

ส่วนกรณีของบริษัท ซีวิล คอนสตรัคชั่น เป็นกรณีที่การเคหะฯ ค่อนข้างหนักใจมาก เพราะหวั่นจะมีแรงบีบจากฝ่ายการเมืองที่มีอิทธิพลโดยตรง

“สันติ” ตามรอย “ทักษิณ” สำเร็จมาแล้ว

บริเวณหมู่บ้านนักกีฬาถือเป็นทำเลทองที่มีศักยภาพสูง เพราะในอดีต พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เคยให้บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ไปลงทุนโครงการบ้านชาลิสา ในหมู่บ้านนักกีฬามาแล้ว ในปี 2546 โดยในครั้งนั้น ที่ดินแปลงดังกล่าวก็ติดปัญหาคล้ายๆ กับแปลงที่ดินของบริษัท ซีวิล คอนสตรัคชั่น ที่ไม่มีทางเข้า-ออก แต่ในช่วงนั้น บริษัท เอสซี แอสเสท สามารถขอเชื่อมทางเข้า-ออกกับการเคหะฯ ได้ เพราะในปี 2544 เป็นปีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเป็นปีเดียวกับที่การเคหะฯ แก้ระเบียบใหม่ว่าด้วยการอนุญาตให้มีการขอใช้ทางผ่านในที่ดินของการเคหะฯ ได้ โดยอ้างสภาพเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเปิดช่องว่างให้เอกชนสามารถขอผ่านทางได้ กรณีที่มีความจำเป็นและความเดือดร้อน โดยคิดค่าธรรมเนียมการผ่านทางและจากการอนุญาตให้บริษัท เอสซีฯ ของตระกูลชินวัตร ดำเนินการได้ในครั้งนั้น ทำให้คนในการเคหะฯ และชาวบ้านเริ่มมองเห็นปัญหา เพราะเมื่อคราวน้ำท่วมจะพบว่าที่ดินในโครงการเอสซีฯ ซึ่งสร้างใหม่มีการถมดินสูงกว่าชุมชนและถนนสาธารณะ พร้อมสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมเฉพาะโครงการเขา และขาดการมีส่วนร่วมช่วยเหลือในชุมชนทั้งที่มีการเข้ามาร่วมใช้ระบบสาธารณูปโภคของหมู่บ้านนักกีฬาด้วยกัน

ดังนั้น จากนี้ไป คงต้องจับตาดูว่า การเคหะแห่งชาติ จะทนแรงบีบจากผู้มีอำนาจทางการเมืองได้หรือไม่!!

อ่านเรื่องเกี่ยวเนื่อง

สันติ! ฉาวได้เพราะแน่นปึ้ก “แม้ว” อนุโลมเหตุกระเป๋าใหญ่เพื่อไทย

ยุคทองตระกูล “พร้อมพัฒน์”
อู่จอดรถเมล์สาย 93
ที่ดินของตระกูลพร้อมพัฒน์ที่เตรียมจะพัฒนาเป็นโครงการบ้านจัดสรร



กำลังโหลดความคิดเห็น