ประธานกลุ่มพลังเครือข่ายผู้ขายตรงแห่งประเทศไทยแถลงฉะดีเอสไอนำกำลังบุกค้นบริษัทเบสท์ 59 ชี้สองมาตรฐาน อุ้มบริษัทข้ามชาติ ฆ่าตัดตอนบริษัทคนไทย วอน รมต.สาธิต-พีระพันธ์ สางเบื้องลึกกลุ่มทุนนอกลงขันสกัดธุรกิจคนไทย
วันนี้(19 มกราคม) นายกาย ไพรินทร์ ประธานกลุ่มพลังเครือข่ายผู้ขายตรงแห่งประเทศไทย แถลงข่าวตอบโต้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอบุกค้นบริษัท ปูแดงไคโตซาน (เครือข่าย บริษัท เบสท์ 59) ว่า ขณะนี้บริษัทขายตรงซึ่งเป็นของคนไทยถูกคุกคามอย่างหนัก โดยสำนักงานคณะกรรมการคุมครองผู้บริโภค (สคบ.) ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอสุมตรวจค้นบริษัทขายตรง และตั้งข้อหาระดมคน หรือแชร์ลูกโซ่ ส่งผลให้กิจการขายตรงจำต้องปิดกิจการไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวม
นายกายตั้งคำถามว่า เหตุใดเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะ สคบ.จึงจ้องจับผิดแต่บริษัทขายตรงที่มีคนไทยเป็นเจ้าของกิจการ แต่กลับไปโอบอุ้มบริษัทยักษใหญ่ของต่างชาติ ทั้งนี้ตนรู้สึกเคลือบแคลงใจต่อท่าทีของ สคบ.ที่มีสายสัมพันธ์กับบริษัทขายตรงข้ามชาติเป็นอย่างมาก เนื่องจากทราบมาว่าผู้บริหาร สคบ. ไปดูงานต่างประเทศกับบริษัทข้ามชาติเหล่านี้อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มอบรางวัลให้กับบริษัทขายตรงยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ ตนเองไม่แน่ใจว่ามีความสัมพันธ์ใดลึกซึ่งเพียงใด เพราะเท่าที่ทราบว่าการไปต่างประเทศแต่ละครั้งบริษัทเหล่านี้จะเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี นอนโรงแรมหรูราคาแพง
“ปัจจุบันธุรกิจขายตรงของคนไทยสามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนปีละหลายหมื่นล้านบาท แต่ก็ต้องถูก สคบ.ฆ่าตัดตอน ด้วยการนำเอาข้อกฎหมายมากล่าวหา หรือบุกตรวจค้นเป็นการทำลายเครดิตความน่าเชื่อถือของบริษัท แม้จะไม่พบหลักฐานการกระทำความผิดใดก็ตาม นี่คือพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐที่จ้องแต่จะทำลายอุตสาหกรรมขายตรงของคนไทย ซึ่งหาก สคบ.มีความจริงใจก็ควรจะชี้แนะหรือตักเตือน ไม่ใช่อาศัยแต่กฎหมายเป็นเครื่องมือเข่นฆ่าธุรกิจคนไทย ตรงข้ามกลับปล่อยให้บริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติดำเนินธุรกิจอย่างสบาย ทั้งที่มีพฤติกรรมและวิธีการไม่แตกจากจากบริษัทของคนไทย จึงทำให้เกิดคำถามว่า สคบ.มีสองมาตรฐานในการดูแลคนไทยกับชาวต่างชาติ เรื่องนี้นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ตลอดจนนายพีรพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม น่าจะลงมาดูในรายละเอียด เพื่อปกป้องธุรกิจของคนไทย โดยเฉพาะการขายตรงที่สามารถสร้างงานสร้างเงินให้กับคนยากคนจนได้ลืมตาอ้าปาก ไม่ใช่ปล่อยให้กลไกของรัฐทำร้ายประชาติ โดยวิธีการสองมาตรการเช่นนี้”
นายกาย กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันบริษัทขายตรงของไทยสามารถแย่งส่วนแบ่งจากบริษัทข้ามชาติได้เป็นจำนวนมาก ตนเองไม่แน่ใจว่าเบื้องลึกเบื้องหลังจากมีการลงขันเพื่อล้มบริษัทคนไทยหรือไม่ เพราะบริษัทขายตรงของไทยมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่ไม่สลับซับซ้อนเหมือนบริษัทต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินค่าคอมมิชชั่นที่สามารถจ่ายได้ภายใน 7-15 วัน ในขณะที่บริษัทข้ามชาติจะต้องรอรอบจ่ายเป็นรายเดือน อีกทั้งต้องทำยอดหรือรักษายอดการขายตามที่บริษัทแม่กำหนด ในขณะที่บริษัทคนไทยไม่มีเงื่อนไขผูกมัดเหล่านี้
สำหรับพฤติการณ์การขายตรงสินค้าในเครือปูแดงไคโตซาน มีการชักชวนให้นำเงินมาลงทุนรายละ 3,500 บาท หักเป็นค่าสมาชิก 300 บาท และจะได้รับผลิตภัณฑ์ 1 ชุด มูลค่า 3,500 โดยสมาชิกจะได้คะแนน 1,000 พีวี จากนั้นหากหาสมาชิกได้เพิ่ม 2 คน จะได้รับผลตอบแทน 10% หรือ 200 บาท และค่าจับคู่อีก 500 บาท
วันนี้(19 มกราคม) นายกาย ไพรินทร์ ประธานกลุ่มพลังเครือข่ายผู้ขายตรงแห่งประเทศไทย แถลงข่าวตอบโต้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอบุกค้นบริษัท ปูแดงไคโตซาน (เครือข่าย บริษัท เบสท์ 59) ว่า ขณะนี้บริษัทขายตรงซึ่งเป็นของคนไทยถูกคุกคามอย่างหนัก โดยสำนักงานคณะกรรมการคุมครองผู้บริโภค (สคบ.) ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอสุมตรวจค้นบริษัทขายตรง และตั้งข้อหาระดมคน หรือแชร์ลูกโซ่ ส่งผลให้กิจการขายตรงจำต้องปิดกิจการไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวม
นายกายตั้งคำถามว่า เหตุใดเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะ สคบ.จึงจ้องจับผิดแต่บริษัทขายตรงที่มีคนไทยเป็นเจ้าของกิจการ แต่กลับไปโอบอุ้มบริษัทยักษใหญ่ของต่างชาติ ทั้งนี้ตนรู้สึกเคลือบแคลงใจต่อท่าทีของ สคบ.ที่มีสายสัมพันธ์กับบริษัทขายตรงข้ามชาติเป็นอย่างมาก เนื่องจากทราบมาว่าผู้บริหาร สคบ. ไปดูงานต่างประเทศกับบริษัทข้ามชาติเหล่านี้อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มอบรางวัลให้กับบริษัทขายตรงยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ ตนเองไม่แน่ใจว่ามีความสัมพันธ์ใดลึกซึ่งเพียงใด เพราะเท่าที่ทราบว่าการไปต่างประเทศแต่ละครั้งบริษัทเหล่านี้จะเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี นอนโรงแรมหรูราคาแพง
“ปัจจุบันธุรกิจขายตรงของคนไทยสามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนปีละหลายหมื่นล้านบาท แต่ก็ต้องถูก สคบ.ฆ่าตัดตอน ด้วยการนำเอาข้อกฎหมายมากล่าวหา หรือบุกตรวจค้นเป็นการทำลายเครดิตความน่าเชื่อถือของบริษัท แม้จะไม่พบหลักฐานการกระทำความผิดใดก็ตาม นี่คือพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐที่จ้องแต่จะทำลายอุตสาหกรรมขายตรงของคนไทย ซึ่งหาก สคบ.มีความจริงใจก็ควรจะชี้แนะหรือตักเตือน ไม่ใช่อาศัยแต่กฎหมายเป็นเครื่องมือเข่นฆ่าธุรกิจคนไทย ตรงข้ามกลับปล่อยให้บริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติดำเนินธุรกิจอย่างสบาย ทั้งที่มีพฤติกรรมและวิธีการไม่แตกจากจากบริษัทของคนไทย จึงทำให้เกิดคำถามว่า สคบ.มีสองมาตรฐานในการดูแลคนไทยกับชาวต่างชาติ เรื่องนี้นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ตลอดจนนายพีรพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม น่าจะลงมาดูในรายละเอียด เพื่อปกป้องธุรกิจของคนไทย โดยเฉพาะการขายตรงที่สามารถสร้างงานสร้างเงินให้กับคนยากคนจนได้ลืมตาอ้าปาก ไม่ใช่ปล่อยให้กลไกของรัฐทำร้ายประชาติ โดยวิธีการสองมาตรการเช่นนี้”
นายกาย กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันบริษัทขายตรงของไทยสามารถแย่งส่วนแบ่งจากบริษัทข้ามชาติได้เป็นจำนวนมาก ตนเองไม่แน่ใจว่าเบื้องลึกเบื้องหลังจากมีการลงขันเพื่อล้มบริษัทคนไทยหรือไม่ เพราะบริษัทขายตรงของไทยมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่ไม่สลับซับซ้อนเหมือนบริษัทต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินค่าคอมมิชชั่นที่สามารถจ่ายได้ภายใน 7-15 วัน ในขณะที่บริษัทข้ามชาติจะต้องรอรอบจ่ายเป็นรายเดือน อีกทั้งต้องทำยอดหรือรักษายอดการขายตามที่บริษัทแม่กำหนด ในขณะที่บริษัทคนไทยไม่มีเงื่อนไขผูกมัดเหล่านี้
สำหรับพฤติการณ์การขายตรงสินค้าในเครือปูแดงไคโตซาน มีการชักชวนให้นำเงินมาลงทุนรายละ 3,500 บาท หักเป็นค่าสมาชิก 300 บาท และจะได้รับผลิตภัณฑ์ 1 ชุด มูลค่า 3,500 โดยสมาชิกจะได้คะแนน 1,000 พีวี จากนั้นหากหาสมาชิกได้เพิ่ม 2 คน จะได้รับผลตอบแทน 10% หรือ 200 บาท และค่าจับคู่อีก 500 บาท