xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 16-22 ส.ค.2552

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสห่วงบ้านเมือง หลังได้รับทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรฝนหลวง(21 ส.ค.)
คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “ในหลวง” ทรงห่วง “บ้านเมืองกำลังล่มจม” แต่ยังมีหวัง ถ้าทุกคนช่วยกัน -ร่วมมือกัน!

เมื่อวันที่ 21 ส.ค.(เวลา 18.08น.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี ในฐานะผู้แทนพระองค์ยื่นขอจดทะเบียนสิทธิบัตรฝนหลวง นำนายอานนท์ บุณยะรัตเวช เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และคณะ เฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรฝนหลวง ซึ่งออกโดยสำนักสิทธิบัตรของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป 10 ประเทศ และสำนักสิทธิบัตรเขตบริหารพิเศษฮ่องกง พร้อมทั้งทูลเกล้าฯ ถวายจดหมายเหตุสิทธิบัตรฝนหลวง ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติจัดทำขึ้น โดยรวบรวมการดำเนินการจดสิทธิบัตรฝนหลวงระหว่างปี 2545-2550 ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถือเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ทรงได้รับสิทธิบัตร

โอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสถึงความร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาประเทศว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้บ้านเมืองไม่ล่มจมได้ เพราะขณะนี้บ้านเมืองกำลังล่มจม
“ข้าพเจ้าได้ยินมานานแล้วว่า การทำงานนั้นไม่ใช่ง่ายๆ โดยมากความก้าวหน้าจะต้องอาศัยคนที่มีความรู้ ความรอบรู้ ตั้งใจทำ โดยนำความถูกต้องแต่ละภาคส่วนมาใช้ อย่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอื่นๆ รวมทั้งประชาชน มาร่วมมือกัน โดยไม่มีใครเอาเปรียบกัน อันนี้สำคัญที่สุด เราเชื่อว่าจะทำให้บ้านเมืองก้าวหน้าดี บ้านเมืองจะสามารถพัฒนาขึ้นมาได้ดี โดยเฉพาะระยะนี้ บ้านเมืองของเราเรียกว่า บ้านเมืองกำลังล่มจม ไม่รู้ว่าจะไปไหน ไปอย่างไร เราก็รู้สึกเป็นห่วงว่าประเทศไทยกำลังล่มจม แต่พวกท่านจะทำให้ไม่จมได้ ซึ่งต้องมีการพัฒนาสร้างให้ดีขึ้น สร้างบ้านเมืองให้ก้าวหน้า ประชาชนมีความเจริญ เราก็มีความหวังมีความรู้สึกว่า บ้านเมืองจะไม่ล่มจม เพราะระยะเวลาที่ผ่านมา เรารู้สึกว่าบ้านเมืองเรากำลังล่มจม เพราะต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างแย่งกัน ต่างคนต่างไม่เข้าใจว่าทำอะไร แต่ตอนนี้โชคดีที่มีผู้มีความรู้ต่างๆ กัน มาร่วมมือกัน บัดนี้ขอยืนยันว่า ถ้าทุกคนที่มีความรู้ ความตั้งใจ ก็จะสามารถสร้างให้บ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างแท้จริง ขอให้ท่านจงช่วยกันทำให้สำเร็จตามที่มุ่งหวัง”

2. “ก.ต.ช.”หักหน้า “อภิสิทธิ์” ค้าน “ปทีป”ขึ้น ผบ.ตร. -สะพัด “สุเทพ-นิพนธ์”อยู่เบื้องหลัง ด้าน “เนวิน”ป้อง “ชวรัตน์” โยน “ปชป.”เคลียร์กันเอง!

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
สัปดาห์ที่ผ่านมา สังคมจับจ้องไปที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต.ช.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ เป็นประธาน ในวันที่ 20 ส.ค.ว่า ใครจะได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)คนใหม่แทน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 1 ต.ค.นี้ ทั้งนี้ ก่อนหน้าประชุม ก.ต.ช.1 วัน(19 ส.ค.) บรรดาผู้ที่เป็นแคนดิเดต ผบ.ตร.ได้เข้าพบนายอภิสิทธิ์เพื่อแสดงวิสัยทัศน์การทำงาน เช่น พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ พูดถึงผู้ที่จะเป็น ผบ.ตร.คนใหม่ว่า จะดูประกอบกันหลายอย่าง ทั้งประสบการณ์ความรู้ และความเหมาะสมกับสถานการณ์

เมื่อถึงวันประชุม ก.ต.ช.เพื่อเลือก ผบ.ตร.คนใหม่(20 ส.ค.) ปรากฏว่า นายอภิสิทธิ์ และ ก.ต.ช.อีก 10 คนต่างเข้าประชุมโดยพร้อมเพรียงในเวลา 16.00น. แต่ปรากฏว่า หลังใช้เวลาประชุมชั่วโมงครึ่ง พล.ต.อ.สุเทพ ธรรมรักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวางแผนหรือการบริหารจัดการ ซึ่งเป็น 1 ใน ก.ต.ช.เผยว่า ยังไม่ได้ชื่อ ผบ.ตร.คนใหม่ และนายกฯ จะตัดสินใจนัดประชุมใหม่อีกครั้ง “นายกฯ เสนอชื่อมาเพียงคนเดียว ซึ่งยังไม่ชัดเจน ก.ต.ช.จึงอยากให้ผู้มีความรู้ความสามารถคนอื่นๆ ได้แสดงวิสัยทัศน์ด้วย เพื่อให้มีข้อมูลที่จะพิจารณามากกว่านี้” ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ เสนอชื่อ พล.ต.อ.ปทีปใช่หรือไม่ พล.ต.อ.สุเทพ เลี่ยงตอบว่า “นายกฯ จะเป็นผู้แถลงเอง” ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า แสดงว่า ก.ต.ช.ใช้สิทธิวีโต้อำนาจนายกฯ ใช่หรือไม่ พล.ต.อ.สุเทพ บอกว่า “เป็นความเห็นของ ก.ต.ช.แต่ละท่าน”

ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายอภิสิทธิ์ได้เสนอชื่อ พล.ต.อ.ปทีป เพียงคนเดียวให้ที่ประชุม ก.ต.ช.พิจารณา พร้อมระบุว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ทำงานด้านบริหารงานบุคคลและงบประมาณ เป็นที่ยอมรับในวงการตำรวจ อย่างไรก็ตาม มี ก.ต.ช.บางคนเสนอชื่อ พล.ต.อ.จุมพล ขึ้นมาเปรียบเทียบ โดยบอกว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถด้านการสืบสวนสอบสวนในการทำคดีเป็นที่ประจักษ์ วงการตำรวจยอมรับ ด้านนายอภิสิทธิ์ได้เสนอให้ที่ประชุมโหวตลงมติสนับสนุน พล.ต.อ.ปทีปเป็น ผบ.ตร. ปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติ 5 : 4 คัดค้าน สำหรับ ก.ต.ช.ที่หนุน พล.ต.อ.ปทีปเป็น ผบ.ตร. ประกอบด้วย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ,นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ,นายถวิล เปลี่ยนศรี รักษาราชการแทนเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และนายปิยพันธุ์ นิมมานเหมินทร์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านงบประมาณ ส่วน ก.ต.ช.อีก 5 คนที่คัดค้าน ประกอบด้วย นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีมหาดไทย ,นายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ,นายเรวัต ฉ่ำเฉลิม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ,พล.ต.อ.สุเทพ ธรรมรักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวางแผนหรือการบริหารจัดการ และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ขณะที่นายอภิสิทธิ์ และ ก.ต.ช.อีก 1 คนงดออกเสียง คือ ผศ.นพดล อินนา ผู้ทรงคุณวุฒิด้านพัฒนาองค์กร

หลังที่ประชุม ก.ต.ช.มีมติดังกล่าว นายอภิสิทธิ์ไม่ได้เสนอชื่อบุคคลอื่นให้ ก.ต.ช.พิจารณาเห็นชอบ พร้อมทั้งสั่งเลื่อนการพิจารณาว่าที่ ผบ.ตร.คนใหม่ออกไปโดยไม่มีกำหนด เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังประชุม ก.ต.ช.นายอภิสิทธิ์เก็บตัวเงียบที่ห้องทำงาน ทำเนียบรัฐบาล โดยยกเลิกภารกิจในช่วงเย็น ก่อนเดินทางกลับบ้านในเวลาเกือบ 2 ทุ่มโดยไม่ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด ขณะที่นายปณิธาน วัฒนายากร รักษาการโฆษกประจำสำนักนายกฯ บอกว่า นายกฯ จะแถลงผลการประชุม ก.ต.ช.ในวันรุ่งขึ้น(21 ส.ค.)

เช้าวันต่อมา(21 ส.ค.) นายอภิสิทธิ์ ได้ออกจากบ้านพักไปบ้านนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ ก่อนเดินทางไปปฏิบัติภารกิจตามปกติ แต่มีการยกเลิกภารกิจในช่วงบ่าย โดยได้เดินทางเข้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อพบปะหารือกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน สมาชิกสภาที่ปรึกษาพรรค หลังหารือ นายอภิสิทธิ์ พูดถึงปัญหาการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ว่า “ขณะนี้ขั้นตอนยังไม่จบ ก็จะใช้อำนาจหน้าที่ ดูตามข้อกฎหมายและเดินหน้าต่อ” ส่วนการเดินทางไปพบนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ นั้น นายอภิสิทธิ์ บอกว่า “เลขาธิการนายกฯ กับรองนายกฯ (สุเทพ เทือกสุบรรณ) ไม่ได้พูดอะไรกับผมเลย” ผู้สื่อข่าวถามว่า นายชวรัตน์ รัฐมนตรีมหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทย เป็น ก.ต.ช.เสียงข้างมากที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของนายกฯ นายอภิสิทธิ์ บอกว่า ยังไม่ได้คุยกับนายชวรัตน์ เลยไม่รู้ว่านายชวรัตน์คิดอย่างไร เมื่อถามต่อว่า จะมีการปรับ ครม.เพื่อสลายขั้วทางการเมืองหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ บอกว่า “กระบวนการยังไม่จบ เดี๋ยวผมก็หาทางออกได้ ทุกปัญหามีทางออก สิ่งที่ผมทำทั้งหมด ผมคิดเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ผมไม่ได้มีอะไรเป็นการส่วนตัวกับใคร เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรต้องกังวล ไม่มีอะไรต้องกดดัน แล้วก็จะเดินหน้าต่อ” ด้านนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงปัญหาการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ว่า “สถานการณ์ที่เกิดขึ้น คิดว่านายกฯ คงคาดไม่ถึง แต่เชื่อว่า นายกฯ เข้มแข็งและจะสามารถผ่านไปได้”

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ปฏิบัติการณ์หักโผแต่งตั้ง ผบ.ตร.ครั้งนี้ เกิดจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ ซึ่งหนุน พล.ต.อ.จุมพล ให้เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ โดยได้ประสานกับนายเนวิน ชิดชอบ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล บุตรชายนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีมหาดไทย เดินเกมล็อบบี้กรรมการ ก.ต.ช.ให้หนุน พล.ต.อ.จุมพล ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้นายอภิสิทธิ์และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เป็นอันมาก ถึงกับมีการปล่อยข่าวว่าจะมีการยุบสภา

ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พูดถึงปัญหาการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ว่า “ไม่ใช่ความผิดของใคร เพราะคนเป็นกรรมการ ก.ต.ช.ตั้ง 11 คน ก็ย่อมมีความเห็นที่แตกต่างกันได้เป็นธรรมดา ...ผมยังไม่มีโอกาสที่จะสอบถามนายชวรัตน์ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้ามีเวลาก็จะถาม แต่ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น” ผู้สื่อข่าวถามว่า ถึงเวลาที่ต้องลงมาช่วยนายกฯ ประสานงานในเรื่องตำรวจเองหรือยัง นายสุเทพ บอกว่า “ยังไม่คิดว่าจะต้องเป็นเรื่องขนาดนั้น เดี๋ยวมีอะไรนายกฯ ก็จะใช้ตนไปทำ หรือมอบหมายเอง”

ด้านนายประมวล เอมเปีย ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงกรณีที่นายชวรัตน์ไม่เห็นด้วยกับการเสนอชื่อ พล.ต.อ.ปทีป ของนายอภิสิทธิ์ว่า ถือเป็นการไม่ให้เกียรติทางการเมืองเป็นอย่างมาก เพราะที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ไม่เคยแทรกแซงการแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทย หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการโยกย้ายในกระทรวงมหาดไทยแม้แต่ครั้งเดียว แต่พอนายอภิสิทธิ์เสนอชื่อ ผบ.ตร.บ้าง นายชวรัตน์กลับคัดค้าน “คนที่มีจิตสำนึกของนักการเมืองต้องรับผิดชอบทุกอย่างร่วมกัน แต่คนที่เพิ่งมาเล่นการเมืองก็มักจะคิดถึงผลประโยชน์ตัวเองมาก่อน ถ้าไม่อยากร่วมรัฐบาล ก็ลาออกไปสิ ถ้าเห็นว่าสิ่งที่นายกฯ ทำมันผิด ก็ลาออกจากรัฐมนตรีมหาดไทยไปเลย”

ด้านนายเนวิน ชิดชอบ หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน พูดถึงกรณีมีข่าวว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับการล็อบบี้กรรมการ ก.ต.ช.เกี่ยวกับการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ว่า “ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร คิดว่าสื่อน่าจะไปสอบถามนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ ไม่ควรมาถามผม และไม่ควรไปถามนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีมหาดไทยด้วย ...ทั้งหมดคำตอบอยู่ที่นายสุเทพ และนายนิพนธ์ ซึ่งต้องไปคุยกันเองในพรรคประชาธิปัตย์” ด้านนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ได้ยกเลิกภารกิจต่างๆ ทั้งหมดตลอดวันที่ 21 ส.ค.โดยแจ้งว่าป่วย และเก็บตัวอยู่ที่บ้านพักตลอดทั้งวัน

ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายชวรัตน์ได้พูดในที่ประชุม ก.ต.ช.เมื่อวันที่ 20 ส.ค.ว่า มีเหตุผลสำคัญบางอย่างที่จะต้องสนับสนุน พล.ต.อ.จุมพลเป็น ผบ.ตร.คนใหม่ แต่นายอภิสิทธิ์ บอกว่า ข้อมูลที่นายชวรัตน์มีอยู่นั้น เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน โดยนายอภิสิทธิ์ ยืนยัน จะยังคงสนับสนุน พล.ต.อ.ปทีปเป็น ผบ.ตร.โดยบอกว่า “หากทำไม่ได้ ผมก็จะยุบสภา” มีรายงานด้วยว่า นายกฯ ได้นัดประชุม ก.ต.ช.เพื่อเลือก ผบ.ตร.อีกครั้งในวันที่ 27 ส.ค.นี้ แต่ยังไม่ได้กำหนดเวลาและสถานที่

3. “เสื้อแดง”ลั่น บรรลุเป้าหมายถวายฎีกาแล้ว เตรียมขับไล่ รบ.ต่อ ด้าน “สำนักราชเลขาธิการ”ส่งฎีกาให้ รบ.ถวายความเห็น!
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี ยืนยันความจงรักภักดี พร้อมขอบคุณคนเสื้อแดงที่ร่วมลงชื่อถวายฎีกาให้(17 ส.ค.)
ความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังนัดรวมพลคนที่ร่วมลงชื่อเพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี ในวันที่ 17 ส.ค.ที่ท้องสนามหลวง เพื่อยื่นรายชื่อถวายฎีกาต่อสำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง โดยอ้างว่า ได้นัดหมายกับสำนักราชเลขาธิการไว้แล้วในเวลา 13.00น.พร้อมยืนยัน การนัดรวมพลครั้งนี้ ไม่ได้ต้องการกดดันสถาบัน แต่เพื่อแสดงให้เห็นว่าคนที่ร่วมลงชื่อถวายฎีกามีตัวตนอยู่จริง โดยเชื่อว่าจะมีคนมาร่วมนับแสนคนนั้น ปรากฏว่า เมื่อถึงกำหนด กลับมีคนเสื้อแดงมาร่วมแค่ประมาณ 3 หมื่นคน

ทั้งนี้ ก่อนจะมีการยื่นรายชื่อถวายฎีกา พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โฟนอินเข้ามาขอบคุณคนเสื้อแดงที่มีน้ำใจลงชื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ โดยบอก ถือเป็นน้ำใจที่ยิ่งใหญ่ที่จะไม่มีวันลืมทั้งชีวิต พ.ต.ท.ทักษิณ ยังโอดครวญด้วยว่า ตนถูกรังแกใส่ร้ายตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องโทษจำคุก 2 ปี และความไม่จงรักภักดี “ผมก็เชื่อว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงกลุ้มพระทัยไม่น้อย ที่เห็นบรรยากาศประเทศไทยเป็นแบบนี้ วันนี้เป็นช่องทางที่พวกร้องทุกข์ เพราะฉะนั้นบรรดาทนายหน้าหอทั้งหลาย อย่ามาตีความเลอะเทอะ เพราะหลักนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ต้องไปด้วยกัน เหตุจากการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง คนไทยทั้งชาติไม่ว่าจะสีอะไร อย่าให้คนหลงอำนาจมาเสี้ยม หลงผลประโยชน์ไม่กี่คนมาเสี้ยมให้เราทะเลาะกัน เราต้องเป็นหัวใจสีเดียวกัน แล้วเราจะรวมพลังกันเพื่อนำพาประเทศให้ก้าวหน้า เราจะมีความสุขด้วยกัน เราจะสามัคคีกันถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงมีความสุข พ้นความกังวลกลุ้มพระทัยในเรื่องนี้”

จากนั้น เวลาประมาณ 12.00น.กลุ่มเสื้อแดงได้ตั้งขบวนเพื่อเคลื่อนย้ายรายชื่อผู้ร่วมถวายฎีกาซึ่งบรรจุใส่กล่องผูกด้วยผ้าสีแดงจำนวน 383 กล่อง กล่องละ 1 หมื่นชื่อ รวมประมาณ 3.5 ล้านรายชื่อ ซึ่งน้อยกว่าที่แกนนำ นปช.เคยคุยว่ามีประมาณ 5-6 ล้านชื่อ ทั้งนี้ กลุ่มเสื้อแดงให้ผู้ร่วมขบวนหามกล่องรายชื่อดังกล่าวเพื่อไปยื่นบริเวณประตูวิเศษไชยศรี พระบรมมหาราชวัง ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ในขบวน นอกจากมีแกนนำ นปช.แล้ว ยังมีพระสงฆ์จำนวนหนึ่งร่วมด้วย นำโดยพระมหาโชว์ ทัสสนีโย จากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย และเมื่อส่งมอบรายชื่อให้นายอินทร์จันทร์ บุราพันธุ์ รองราชเลขาธิการ สำนักพระราชวังแล้ว นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช.ได้เป็นตัวแทนฝ่ายฆราวาสอ่านคำถวายฎีกา ส่วนสาเหตุที่นายวีระต้องอ่านคำถวายฎีกาเอง เนื่องจากได้ทาบทาม พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ ให้มาเป็นผู้อ่านคำถวายฎีกาให้ แต่ไม่สำเร็จ เพราะ พล.อ.ชวลิตปฏิเสธ

หลังยื่นรายชื่อถวายฎีกาแล้ว คนเสื้อแดงได้กลับไปรวมตัวที่ท้องสนามหลวงอีกครั้ง โดย พ.ต.ท.ทักษิณได้โฟนอินมายังกลุ่มเสื้อแดงเพื่อร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ก่อนประกาศสลายการชุมนุม ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ประกาศว่า “การถวายฎีกายุติและบรรลุเป้าหมายแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีพระราชวินิจฉัยหรือไม่ ก็จะไม่ก้าวล่วง แต่ นปช.และแดงทั้งแผ่นดินก็จะเคลื่อนไหวตามเป้าหมายเดิม ยังต่อสู้ต่อไป คือต่อสู้กับอำมาตยาธิปไตยและขับไล่รัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยเฉพาะการชุมนุมใหญ่ใน กทม.และภูมิภาค กลุ่มเสื้อแดงจะไม่ยอมรับการบริหารของรัฐบาลชุดนี้”

ด้านสำนักราชเลขาธิการ หลังได้รับฎีกาของกลุ่มเสื้อแดงแล้ว ได้ออกแถลงการณ์แจ้งให้ทราบว่า “ตามขั้นตอนที่เคยปฏิบัติมา เมื่อสำนักราชเลขาธิการได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาเกี่ยวกับการขอพระราชทานอภัยโทษ การขอพระราชทานความเป็นธรรม และการขอพระราชทานความช่วยเหลือ สำนักราชเลขาธิการต้องส่งฎีกาทุกเรื่องไปให้รัฐบาลพิจารณาถวายความเห็นประกอบพระราชดำริต่อไป”

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ บอกว่า ถ้าดูจากข่าวสารต่างๆ กรณีของกลุ่มเสื้อแดงน่าจะเป็นฎีกาที่มีความมุ่งหมายให้มีการเสนอพระราชทานอภัยโทษแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งต้องส่งเรื่องไปยังกระทรวงยุติธรรม พร้อมยืนยัน รัฐบาลตีตกฎีกานี้ไม่ได้อยู่แล้ว เพราะสำนักราชเลขาธิการขอความเห็นมา รัฐบาลมีหน้าที่ให้ความเห็นประกอบไป และว่า เมื่อได้ข้อสรุปว่ากระทรวงยุติธรรมถวายคำแนะนำอย่างไร จะประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อรัฐให้ทราบ ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.และ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แถลงเตือนรัฐบาลว่า “หากรัฐบาลจะดึงเรื่อง โดยอ้างเรื่องถวายความเห็นประกอบ ผมขอเตือนไว้ก่อนว่า รัฐบาลเหมือนกับถือเตาอั้งโล่ร้อนๆ ไว้ในมือ ยิ่งถือนานเท่าไร ตัวจะไหม้เกรียมเท่านั้น” นายจตุพร ยังพูดถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณดูผ่ายผอมลงด้วยว่า ไม่เกี่ยวกับสุขภาพ(มีข่าวลือว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก) แต่เพราะไม่ได้อยู่บ้านเกิด แม้ว่าจะมีการส่งอาหารไทยไปให้ก็ตาม

ด้านนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม บอกว่า หากเป็นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ มีระเบียบและหลักปฏิบัติชัดเจนคือ ผู้ร้องต้องเป็นผู้มีสิทธิถวายฎีกา โดยต้องเป็นผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุด หรือเป็นญาติสายตรงกับผู้ต้องโทษ หากไม่เข้าหลักเกณฑ์ถือว่าไม่มีสิทธิยื่นถวายฎีกา เป็นที่น่าสังเกตว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ เคยประกาศผ่านสื่อก่อนหน้านี้ว่า ตนและคนตระกูลชินวัตรจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการถวายฎีกา ซึ่งน่าจะเป็นเครื่องยืนยันว่า ไม่มีเครือญาติ พ.ต.ท.ทักษิณร่วมลงชื่อถวายฎีกาครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาอ้างความเป็นญาติกับ พ.ต.ท.ทักษิณเพื่อให้ฎีกาครั้งนี้มีผล “ตนถือเป็นเครือญาติของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะน้าสาวของตนคือนางสุมาลี โตวิจักษณ์ชัยกุล แต่งงานกับอาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งก็คือนายเสถียร ชินวัตร น้องชายของนายเลิศ ชินวัตร พ่อของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยตนร่วมลงชื่อถวายฎีกาด้วย นอกจากนี้นายประกิตต์ ชินวัตร ลูกชายของนายสุเจตน์ ชินวัตร อาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ร่วมลงชื่อถวายฎีกาเช่นกัน ดังนั้นการถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้ จึงถือว่ามีความสมบูรณ์” ด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม พูดถึงกรณีที่นายสุรพงษ์ระบุว่าเป็นญาติของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า หากเป็นญาติห่างๆ ไม่ถือว่าเข้าหลักเกณฑ์การปฏิบัติ เพราะผู้ที่มีสิทธิยื่นแทนต้องเป็นญาติสายตรง เกี่ยวข้องเป็นพ่อแม่ ภรรยา บุตร หรือญาติที่อาศัยพึ่งพิงกันอยู่ หากมีประเด็นข้อสงสัยก็ต้องตีความให้ชัดเจน และว่า ที่ผ่านมา ผู้ขอพระราชทานอภัยโทษ ต้องยอมรับและสำนึกในความผิดที่ทำ และให้คำมั่นว่าจะกลับตนเป็นคนดีก่อน นายพีระพันธุ์ เผยด้วยว่า ปกติแล้ว ขั้นตอนการตรวจสอบฎีกาจะใช้เวลาประมาณ 45-60 วัน พร้อมยืนยัน จะไม่มีการดึงเรื่องให้ล่าช้า

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ได้ออกมาขู่รัฐบาลอีก(19 ส.ค.) “หากรัฐบาลดึงเรื่องเอาไว้เพื่อเป็นเหตุให้ปะทะกับคนเสื้อแดง กลุ่มคนเสื้อแดงจะเชิญชวนพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนจากการบริหารที่ล้มเหลวของรัฐบาลมาร่วมเคลื่อนไหวชุมนุมกับคนเสื้อแดงด้วย และจะหาเรื่องรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ด้วยการตั้งโต๊ะล่ารายชื่อประชาชนถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกฯ จะได้รู้ว่าคนที่ไม่ชอบนายอภิสิทธิ์มีจำนวนมากขนาดไหน” ทั้งนี้ แกนนำ นปช.ได้ประชุมเพื่อกำหนดบทบาทและการเคลื่อนไหวทางการเมืองเมื่อวันที่ 21 ส.ค.โดยได้ข้อสรุปว่า จะนัดชุมนุมใหญ่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้าวันที่ 30 ส.ค.นี้ เวลา 13.00น.เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังมีมติเชิญชวนให้คนเสื้อแดงแต่งกายสีดำทั่วประเทศในวันที่ 26 ส.ค.นี้ โดยอ้างว่า เป็น “วันอำมาตยาทมิฬ” เพราะนอกจากจะเป็นวันที่กลุ่มพันธมิตรฯ บุกยึดทำเนียบรัฐบาล และสถานที่ราชการหลายแห่งแล้ว ยังเป็นวันคล้ายวันเกิด พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษด้วย

ด้านนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ได้เปิดแถลง(20 ส.ค.) เกี่ยวกับการถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณว่า การที่กลุ่มเสื้อแดงอ้างว่าการขอหรือร้องถวายฎีกาเป็นสิทธิของตนเองหรือคนใดคนหนึ่ง เป็นการตีความเอาเองทั้งสิ้น เพราะการถวายฎีกาต้องเป็นไปตาม พ.ร.ฎ.ระเบียบการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา พ.ศ.2547 ซึ่งเป็นการขอพระมหากรุณาลดหย่อนผ่อนโทษที่ศาลลงโทษแล้ว ไม่ใช่โต้แย้งคำพิพากษาของศาล หากกลุ่มเสื้อแดงถือว่ามีสิทธิโต้แย้งคำพิพากษาของศาลแล้ว ความปั่นป่วนในบ้านเมืองก็จะเกิดขึ้น ผู้ต้องโทษทั้งหลายจะอ้างสิทธิไม่ต้องรับโทษ ส่วนการเกณฑ์ผู้คนเป็นล้านๆ ชื่อนั้นไม่มีความหมายอะไร เพราะหากมีรายชื่อหนึ่งที่ไม่สุจริต จะทำให้รายชื่อนั้นใช้ไม่ได้ ดังนั้นรัฐบาลต้องตรวจสอบให้รอบคอบ หากพบว่าการยื่นฎีกาไม่สุจริต ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ไม่ควรที่จะรับไว้พิจารณา นายกสภาทนายความ ชี้ด้วยว่า กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคดีอาญาที่ถึงที่สุดแล้ว ต้องยอมรับระบบศาลยุติธรรมและคำพิพากษาก่อนขอรับพระราชทานอภัยโทษ และว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหน้าที่ต้องปลดยศอดีตตำรวจของผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุด รวมถึงสำนักงานเลขาธิการ ครม.ต้องทำเรื่องเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป

4. “อดิศัย” เบี้ยวฟังคำพิพากษาคดีกล้ายาง ด้านศาล ชี้ พฤติกรรมหลบหนี -สั่งออกหมายจับทันที!

เนวิน ชิดชอบ อดีต รมช.เกษตรฯ 1 ใน 44 จำเลยคดีทุจริตกล้ายาง เดินทางไปศาลฎีกาฯ เพื่อฟังคำพิพากษา(17ส.ค.)
เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตจัดซื้อกล้ายางพารา ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) รับไม้ต่อจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ยื่นฟ้องนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ สมัยรัฐบาลทักษิณ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร(คชก.) , นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีช่วยคลัง , นายสรอรรถ กลิ่นประทุม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ , นายเนวิน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ และนายอดิศัย โพธารามิก ในฐานะ คชก.เป็นจำเลยที่ 1-5 พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารโครงการ(กำหนดทีโออาร์) และคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา รวมถึงบริษัทเอกชน ประกอบด้วย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ เมล็ดพันธุ์ จำกัด ในฐานะผู้ชนะการประกวดราคา ,บริษัท รีสอร์ตแลนด์ จำกัด ผู้ร่วมเสนอราคา และบริษัท เอกเจริญ การเกษตร จำกัด ผู้ร่วมเสนอราคา เป็นจำเลยที่ 6-44

โดย ป.ป.ช.ยื่นฟ้องจำเลยทั้ง 44 คนในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานและผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ,เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ จัดการ หรือรักษาทรัพย์สินใดใด ร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ รวมทั้งความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ(ฮั้วประมูล) พ.ศ.2542 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 รวมทั้งความผิดฐานฉ้อโกง พร้อมขอให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันชำระเงินค่าเสียหายจำนวน 1,440 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย

ทั้งนี้ เมื่อถึงเวลานัด จำเลยแทบทุกคนได้เดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษา ยกเว้นนายอดิศัยเพียงคนเดียว ที่ส่งทนายมายื่นคำร้องว่า เดินทางไปรักษาอาการบาดเจ็บกระดูกสันหลังที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ตามที่นายอดิศัยได้เคยยื่นคำร้องต่อศาลในคดีหวยบนดินตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.-31 ส.ค. พร้อมขอให้ศาลอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามกฎหมายจะต้องอ่านคำพิพากษาต่อหน้าจำเลย ส่วนกรณีที่นายอดิศัยอ้างว่าเดินทางไปรักษาตัวในช่วงนี้ ทั้งที่มีการแพร่ระบาดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในประเทศเม็กซิโก และสหรัฐฯ ในขณะที่นายอดิศัยยังไม่ฟื้นตัวจากการผ่าตัดเมื่อเดือน พ.ย.2551 ศาลเห็นว่า เมื่อศาลกำหนดนัดไว้ล่วงหน้าแล้ว หากนายอดิศัยมีความจำเป็นต้องรักษาตัว ก็ควรแจ้งให้ศาลทราบล่วงหน้า ไม่ใช่ยื่นคำร้องแจ้งในวันนี้(17 ส.ค.) พฤติการณ์แสดงว่า นายอดิศัยจงใจจะหลบหนี ไม่มาฟังคำพิพากษา และผิดสัญญาประกัน จึงมีคำสั่งให้ปรับนายประกัน 1 ล้านบาท และออกหมายจับนายอดิศัยมาฟังคำพิพากษา ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 32 วรรคสอง พร้อมให้เลื่อนฟังคำพิพากษาเป็นวันที่ 21 ก.ย. เวลา 14.00น. โดยศาลกำชับให้จำเลยทั้ง 44 คนมาฟังคำพิพากษาในนัดหน้าด้วย ด้านนายเนวิน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ หลังศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา ได้รับดอกไม้จาก ส.ส.พรรคภูมิใจไทย รวมทั้งผู้สนับสนุนที่มาให้กำลังใจ แล้วจึงเดินทางกลับทันที

5. ยกฟ้อง “คาร์บอมบ์”ทักษิณ -ศาลทหาร ชี้ แค่ขนระเบิด โทษจำคุก 4 ปี 6 เดือน!
จุดเกิดเหตุคดีคาร์บอมบ์...คาร์บ๊อง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ข้างสะพานข้ามแยกบางพลัด
เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ศาลทหารกรุงเทพ ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีพยายามฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หรือคดี “คาร์บอมบ์” ที่อัยการยื่นฟ้อง ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ นายทหารสารบรรณที่รับผิดชอบงานในภาคใต้ , พ.อ.มนัส สุขประเสริฐ นายทหารรักษาความปลอดภัยผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(ผอ.รมน.) และ พ.อ.สุรพล สุประดิษฐ์ หรือ เสธ.ตี๋ นายทหารแผนกการเงิน กอ.รมน. เป็นจำเลยที่ 1-3 รวม 6 ข้อหา คือ 1.ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 2.ร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานของรัฐ 3.ร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 4.ร่วมกันมียุทธภัณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 5.ร่วมกันปลอมแปลงและใช้เอกสารทางราชการ และ 6.ซ่องโจร

ทั้งนี้ อัยการฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 ส.ค.2549 หน่วยรักษาความปลอดภัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ พบรถเก๋งยี่ห้อแดวู สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ฐฉ 3085 กทม.จอดอยู่บริเวณข้างสะพานข้ามแยกบางพลัด ซึ่งเป็นเส้นทางที่ขบวนรถของ พ.ต.ท.ทักษิณต้องผ่านจากบ้านพักไปทำงาน หน่วย รปภ.ของ พ.ต.ท.ทักษิณจึงประสานกับหน่วยอรินทราช 191 และตำรวจท้องที่ให้เฝ้าดู ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน ได้พบชายคนหนึ่งเดินมาขึ้นรถคันดังกล่าวและกำลังจะขับออกไป ตำรวจจึงเข้าจับกุมและตรวจค้น พบระเบิดทีเอ็นทีและซีโฟร์ที่กระโปรงท้าย นอกจากนี้ยังมีถังแกลลอนน้ำมันเครื่องขนาด 5 ลิตร บรรจุน้ำมันเบนซินผสมปุ๋ยยูเรียจำนวน 7 แกลลอน และบริเวณที่วางเท้าอีก 6 แกลลอน รวมทั้งพบแผงวงจรที่เบรกมือด้วย

อัยการระบุด้วยว่า จากคำให้การของพยานสรุปว่า จำเลยทั้งสามได้นำวัตถุระเบิดมาประกอบเป็นระเบิดแสวงเครื่องติดในรถยนต์ และมีการเชื่อมต่อระบบวงจรครบถ้วน ซึ่งสามารถที่จะระเบิดสังหารบุคคลหรือทำอันตรายแก่บุคคลอื่นถึงแก่ความตายได้ โดยใช้คลื่นวิทยุส่งสัญญาณเป็นเครื่องจุดวัตถุระเบิด โดย พ.อ.สุรพล เป็นผู้ให้เงิน พ.อ.มนัส จัดหาและประกอบวัตถุระเบิด และให้ ร.ท.ธวัชชัย ขับรถออกจาก กอ.รมน.ไปยังบริเวณใต้สะพานข้ามแยกบางพลัด ซึ่งจำเลยทั้งสามได้กระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพราะไม่พอใจ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เนื่องจากเครื่องส่งสัญญาณขัดข้อง จึงไม่สามารถจุดระเบิดได้

ด้านศาลพิเคราะห์แล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดใน 3 ข้อหา คือ 1.ร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 4 ปี ข้อหาที่ 2 ร่วมกันเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิดและพาไปในเขตเมืองโดยไม่มีเหตุอันสมควร มีโทษปรับ 4 พันบาท ส่วนข้อหาที่ 3 ร่วมกันมียุทธภัณฑ์โดยไม่ได้รับอนุญาต ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี เมื่อรวมโทษทั้ง 3 ข้อหา จำเลยทั้งสามต้องถูกจำคุกคนละ 6 ปี และปรับ 4 พันบาท แต่เนื่องจาก ร.ท.ธวัชชัยให้การเป็นประโยชน์ จึงลดโทษให้เหลือจำคุก 4 ปี 6 เดือน และปรับ 3 พันบาท ส่วนข้อหาพยายามฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ และอื่นๆ นั้น ศาลพิเคราะห์คำให้การของพยานแล้ว เห็นว่าไม่มีหลักฐานบ่งชี้ได้ จึงพิพากษายกฟ้อง หลังฟังคำพิพากษา ทนายจำเลยได้ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวจำเลยทั้งสามวงเงินรายละ 8 แสนบาท และจะยื่นอุทธรณ์ภายใน 15 วัน

ด้านนายนพดล ปัทมะ อดีตที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดถึงคดีคาร์บอมบ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณยืนยันว่าเกือบถูกลอบสังหารจริง ไม่ใช่ “คาร์บ๊อง” และว่า แม้ศาลจะไม่รับฟ้องข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่การที่ศาลตัดสินลงโทษในข้อหาเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิด ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้แล้วว่า ความพยายามฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณนั้นมีอยู่จริงตามแผนบันได 4 ขั้น.
กำลังโหลดความคิดเห็น