xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 19-25 เม.ย.2552

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “สนธิ”ออกจาก รพ.แล้ว – เตรียมเปิดใจนาทีลอบสังหาร ด้าน “อนุพงษ์”ยอมรับ กระสุนเอ็ม 16 ของทหาร!
สนธิ ลิ้มทองกุล เดินทางออกจาก รพ.จุฬาลงกรณ์ เช้าวันนี้(25 เม.ย.)
ความคืบหน้ากรณีคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงถล่มรถนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ จนได้รับบาดเจ็บ พร้อมคนขับรถและผู้ติดตามเมื่อวันที่ 17 เม.ย.นั้น ล่าสุด วันนี้(25 เม.ย.) นายสนธิได้ออกจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์แล้วเมื่อเวลา 09.00น. โดยก่อนออกจากโรงพยาบาล นายสนธิได้ขอบคุณแพทย์และพยาบาลทุกคนที่ให้การรักษาอย่างดีที่สุด จากนั้นนายสนธิได้เดินทางเข้าบ้านพระอาทิตย์(ที่ตั้งสำนักงาน ASTV ผู้จัดการ) โดยได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนขึ้นไปพักผ่อนภายใน ด้าน รศ.นพ.ธีระพงษ์ เจริญวิทย์ รอง ผอ.โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เผยว่า หลังจากนายสนธิออกจากโรงพยาบาลแล้ว ทางโรงพยาบาลจะไม่มีแถลงการณ์เกี่ยวกับอาการของนายสนธิออกมาอีก ส่วนอาการของนายอดุลย์ แดงประดับ คนขับรถซึ่งอาการดีขึ้นจนพ้นขีดอันตรายแล้วนั้น ล่าสุด อาการยังทรงตัว หายใจเองได้ปกติ รับประทานอาหารได้ พูดคุยได้ สามารถขยับร่างกาย รวมทั้งตอบสนองคำสั่งต่างๆ ได้ดี แต่แขนขายังอ่อนแรงเช่นเดิม และต้องรอดูอาการอีกสักระยะ ส่วนการบาดเจ็บในจุดอื่นๆ ที่ต้องรับการผ่าตัดนั้น ต้องรอให้อาการทางสมองดีขึ้นกว่านี้ก่อน จึงจะทำการรักษาต่อได้ ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ เผย(23 เม.ย.)ว่า หลังจากนายสนธิออกจากโรงพยาบาลและอาการดีขึ้น แกนนำพันธมิตรฯ จะประชุมและแถลงข่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองและท่าทีของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยพันธมิตรฯ ยังเชื่อว่า กลุ่มที่ลอบสังหารนายสนธิคือ กลุ่มคนมีสี เพราะเป็นการกระทำที่อุกอาจ และในภาวะสถานการณ์ฉุกเฉิน ประชาชนทั่วไปไม่น่าจะมีศักยภาพลงมือได้ถึงขนาดนี้ นายสุริยะใส ยังบอกด้วยว่า สัปดาห์หน้านายสนธิจะเปิดใจเล่าเหตุการณ์ลอบสังหารอย่างตรงไปตรงมา เพราะจำรายละเอียดได้หมดว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร ตอนไหน ยิงอย่างไร และรูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร ส่วนความคืบหน้าด้านคดีนั้น ช่วงแรกตำรวจได้ประสานไปยังผู้เชี่ยวชาญที่เป็นแฟนพันธุ์แท้รถกระบะ เพื่อให้ดูภาพรถกระบะที่คนร้ายใช้ก่อเหตุว่ายี่ห้อและรุ่นอะไร เมื่อดูแล้วจึงทราบว่า คันหนึ่งเป็นรถกระบะยี่ห้อโตโยต้าวีโก้ สีดำ ส่วนอีกคันเป็นรถกระบะยี่ห้อมาสด้าสีน้ำเงิน โดยกล้องซีซีทีวีบริเวณแยกคอกวัวสามารถจับภาพไว้ได้ว่า หลังก่อเหตุ คนร้ายขับรถหนีไปทางสะพานพระปิ่นเกล้า ด้าน พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เผยหลังประชุมชุดสืบสวนคดีนี้(24 เม.ย.)ว่า ได้ร่องรอยการติดต่อสื่อสารของคนร้าย ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจและเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ส่วนการตรวจสอบปลอกกระสุนที่พบในที่เกิดเหตุนั้น พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล บอกว่า “ไม่กล้ายืนยันว่ากระสุนที่คนร้ายยิงรถนายสนธินั้นมาจากหน่วยใด แต่ไม่ใช่ตำรวจแน่นอน” ทั้งนี้ มีรายงานจากชุดสืบสวนว่า พบปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ขนาด 5.56 มม.3 ปลอกในที่เกิดเหตุ ซึ่ง 2 ใน 3 เป็นกระสุนที่ผลิตโดยกรมสรรพาวุธทหารบก มีการตีตราสัญลักษณ์ (RTA) ซึ่งมาจาก ROYAL THAI ARMY และเป็นซีรีส์ที่ส่งให้เฉพาะหน่วยทหารในกองทัพภาคที่ 1 ใช้เท่านั้น ส่วนกระสุนปืนอาก้าหลายสิบปลอกที่พบในที่เกิดเหตุนั้น ไม่สามารถตรวจสอบที่มาได้ เพราะกระสุนชนิดนี้ไม่มีประจำการในหน่วยราชการของไทย ชุดสืบสวนยังวิเคราะห์ด้วยว่า กระสุนปืนเอ็ม 16 ที่พบ น่าจะมาจากปืนเอ็ม 203 ซึ่งเป็นปืนเอ็ม 16 ประกอบเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ไว้ที่ด้านล่างของลำรางปืน โดยคนร้ายน่าจะนำมาใช้เพื่อยิงลูกระเบิดเพื่อถล่มรถนายสนธิ ไม่ได้ตั้งใจยิงปืนเอ็ม 16 แต่บังเอิญเหนี่ยวไกพลาดยิงเอ็ม 16 ออกไป จึงพบกระสุนเอ็ม 16 แค่ 3 ปลอก ส่วนพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์ยิงนายสนธินั้น มีรายงานว่า นอกจากเด็กปั๊มแล้ว ยังมีพยานปากสำคัญที่เห็นเหตุการณ์อย่างละเอียดตั้งแต่คนร้ายเริ่มลงมือกระทั่งหลบหนี ซึ่งคนร้ายได้พยายามปิดปากพยานรายนี้ด้วยการยิงใส่ แต่พยานหลบทัน โดยพยานรายนี้อยู่ในความคุ้มครองของชุดสืบสวนนครบาลแล้ว ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ยอมรับว่า จากการตรวจสอบกระสุนปืนเอ็ม 16 จำนวน 3 นัดที่พบในที่เกิดเหตุ เป็นกระสุนที่แจกจ่ายจากกองทัพภาคที่ 1 ที่ให้กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) อย่างไรก็ตาม พล.อ.อนุพงษ์ บอกว่า พล.ร.9 มีหน่วยทหารมาก จึงยากต่อการตรวจสอบว่ากระสุนเล็ดลอดออกมาจากหน่วยไหน เท่าที่ทราบเป็นกระสุนที่มาจากการฝึกของ พล.ร.9 ด้าน พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ซึ่งเคยฝึกนักรบพระเจ้าตากให้กลุ่ม นปช. ได้ออกมาอ้างว่า กระสุนปืนเอ็ม 16 ที่พบในที่เกิดเหตุ ไม่ใช่ของกองทัพภาคที่ 1 และไม่ใช่ของ พล.ร.9 เพราะไม่มีซีเรียลนัมเบอร์ที่ระบุว่ามาจากหน่วยงานดังกล่าว ทั้งนี้ มีรายงานว่า ชุดสืบสวนได้เบาะแสว่า ก่อนเกิดเหตุยิงนายสนธิ มีนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางใน จ.ลพบุรี และมีสายสัมพันธ์กับทหารหน่วยรบพิเศษหลายหน่วย ได้เรียกทหารหน่วยรบพิเศษจากลพบุรี 3 นาย และปราจีนบุรี 2 นายเข้ามาในพื้นที่ เพื่อให้ทำงานบางอย่าง โดยชุดสืบสวนกำลังลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกับคดียิงนายสนธิหรือไม่

2. รบ. ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินใน กทม.แล้ว ด้าน “เสื้อแดง”ลองของ-ชุมนุมสนามหลวงทันที!
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ-นายวีระ มุสิกพงศ์-นพ.เหวง โตจิราการ ผู้ต้องหาก่อความไม่สงบใน กทม.ได้ประกันตัว หลัง รบ.ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
หลังรัฐบาลนายอภิสิทธิ์มีมติให้เปิดประชุมร่วม 2 สภาเพื่ออภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ เพื่อรับฟังข้อมูลและชี้แจงสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองอันเนื่องมาจากการสลายการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 22-23 เม.ย. ปรากฏว่า ก่อนจะถึงวันประชุม ทางแกนนำพรรคเพื่อไทย(เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน และแกนนำ นปช.1 ในผู้ที่ถูกออกหมายจับคดีก่อความไม่สงบใน กทม.)ได้พยายามโหมโรงให้ติดตามการอภิปรายของ ส.ส.พรรค โดยคุยว่า จะนำวิดีโอคลิปการสังหารประชาชนคนเสื้อแดงมาให้ดู แถมขู่ด้วยว่า ในวันที่ 22 เม.ย.อาจมี ส.ส.บางคนนำศพผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมไปที่รัฐสภาก็ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงวันประชุมรัฐสภา ไม่มี ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยนำศพผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมมาโชว์ตามที่คุยแต่อย่างใด มีเพียงการนำคลิปวิดีโอที่(นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย)อ้างว่า เป็นภาพเหตุการณ์การสลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงเมื่อเช้ามืดวันที่ 13 เม.ย.บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง โดยชี้ว่า ทหารรุมทำร้ายคนเสื้อแดง พร้อมกันนี้ยังนำภาพข่าวศพชาย 2 คนที่พบในลักษณะถูกมัดมือไพล่หลังในแม่น้ำเจ้าพระยา มาเปรียบเทียบกันโดยอ้างว่าเป็นบุคคลเดียวกับคนเสื้อแดงที่ถูกทหารรุมทำร้ายในลักษณะมัดมือไพล่หลัง ด้าน ส.ส.รัฐบาลยืนยันว่า บุคคลในภาพเป็นคนละคนกัน ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ชี้แจงว่า ได้รับรายงานว่า การเสียชีวิตของบุคคลทั้งสองไม่ใช่การกระทำของเจ้าหน้าที่ทหาร และว่า ในวันที่ 13 เม.ย.(วันที่มีการสลายการชุมนุม)มีรายงานว่า บุคคลทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ โดยมีข่าวพบศพบุคคลดังกล่าวในวันที่ 15 เม.ย. ด้าน น.ส.อรุณี ชำนาญยา ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย ได้นำคลิปมาเปิดกลางสภาเช่นกัน โดยอ้างว่าหญิงเสื้อแดงถูกทหารนอกเครื่องแบบกระชากผม ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ได้ลุกขึ้นชี้แจงโดยเปิดวิดีโอภาพเหตุการณ์เดียวกัน ทำให้ทราบความจริงว่า มีหญิงเสื้อแดง 2 คนกำลังยืนด่าทหารว่าทหารยิงประชาชน พร้อมด่ากราดสื่อมวลชนในบริเวณนั้นด้วยว่าลำเอียง จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น จากนั้นหญิงเสื้อแดงคนหนึ่งได้ถ่มน้ำลายไปทางชายเสื้อเขียว ก่อนที่หญิงเสื้อแดงทั้ง 2 คนจะกระโจนผ่านกลุ่มผู้สื่อข่าวไปยังกลุ่มทหารที่ตั้งแถวรออยู่ โดยหญิงคนหนึ่งได้ถอดเสื้อออกพร้อมกับตีชายเสื้อเขียว ขณะที่ชายเสื้อเขียวก็มีการฉุดกระชากผมกับหญิงเสื้อแดง ทั้งนี้ ไม่เพียง ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะนำคลิปดังกล่าวมาเปิดในสภาแค่เพียงบางช่วงบางตอน เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าหญิงเสื้อแดงเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยยังนำ น.ส.มินตรา โสรส หญิงที่ถูกกระชากผมมาแถลงข่าวยืนยันเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย ซึ่งเมื่อผู้สื่อข่าวถาม น.ส.มินตราว่า ได้มีการถ่มน้ำลายใส่ชายดังกล่าวก่อนจริงหรือไม่ น.ส.มินตรา ยังปากแข็งอ้างว่า ไม่ได้ถ่มน้ำลายใส่แต่อย่างใด แค่โต้เถียงกันเท่านั้น ส่วนกรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยอ้างว่า ชายเสื้อเขียวที่กระชากผมหญิงเสื้อแดงเป็นทหารนอกเครื่องแบบ ชื่อ พ.ท.เกรียงศักดิ์ นันทะโพธิ์เดช นั้น ปรากฏว่า ส.ส.เพื่อไทยต้องหน้าแตกอีกครั้ง เมื่อนายสุเทพนำภาพ พ.ท.เกรียงศักดิ์ตัวจริงซึ่งอยู่ในเครื่องแบบมาโชว์ นายสุเทพ ยังบอกด้วยว่า ได้บอกให้ พ.ท.เกรียงศักดิ์ไปแจ้งความไว้แล้วว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยหมิ่นประมาทให้เสียชื่อเสียง ส่วนกรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย(เช่น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน , นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน ฯลฯ) พยายามอภิปรายว่า กลุ่มเสื้อแดงไม่ได้ก่อจลาจล แต่มีขบวนการปลอมเป็นคนเสื้อแดงก่อความวุ่นวายนั้น นายสุเทพ ได้นำคลิปวิดีโอภาพคนเสื้อแดงปาแก๊สน้ำตา ขว้างระเบิดเพลิง และขับแท็กซี่ชนเจ้าหน้าที่ทหารมาเปิดให้ดู รวมทั้งภาพคนเสื้อแดงปิดล้อมศาลอาญาหลังนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ถูกจับกุมตัว ภาพคนเสื้อแดงรุมทุบรถนายกฯ และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ ที่กระทรวงมหาดไทย พร้อมถามนายจตุพรว่า “ภาพคนพวกนี้คือคนของพวกท่านทั้งนั้น แล้วยังมาบอกว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ได้อย่างไร” เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทยพยายามบิดเบือนเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงว่าทหารทำร้ายประชาชนแล้ว ทางด้านแกนนำ นปช.รุ่น 2 นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ได้เปิดแถลง(20 เม.ย.) ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ โดยเปิดคลิปวิดีโอที่อ้างว่า ทหารลากตัวชายเสื้อแดงลงจากรถเมล์ และยิงชายดังกล่าวจนทรุดลง อย่างไรก็ตาม เมื่อสื่อมวลชนตรวจสอบภาพเหตุการณ์ดังกล่าวจากภาพที่สื่อบันทึกไว้ได้ กลับพบว่าชายดังกล่าวไม่ได้ถูกยิง เพียงแต่ถูกตีและล้มลง จากนั้นทหารดึงให้ลุกขึ้นแล้วนำตัวไปควบคุมโดยไม่เสียชีวิตแต่อย่างใด ทั้งนี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยพยายามเดินเรื่องให้มีการตรวจสอบว่ามีผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 13 เม.ย. โดยยื่นเรื่องให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบ(21 เม.ย.) และยังเตรียมยื่นต่อ ป.ป.ช.ให้ไต่สวนเรื่องนี้เช่นกัน ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้เสนอให้ที่ประชุมรัฐสภาตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์จลาจลของกลุ่มเสื้อแดงเมื่อวันที่ 12-13 เม.ย. โดยขอให้คณะกรรมการประสานพรรคพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล)-วิปฝ่ายค้าน และวิปวุฒิสภา ร่วมหารือด้วยเพื่อตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ ขณะที่นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล เผยว่า ได้นัดหารือวิปรัฐบาล-วิปฝ่ายค้าน-วิปวุฒิสภาในวันที่ 27 เม.ย.นี้ เพื่อวางกรอบการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ โดยยืนยัน คณะกรรมการต้องเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย การดำเนินการต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ส่วนการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ กทม.และปริมณฑลนั้น ล่าสุด นายอภิสิทธิ์ได้ประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว โดยมีผลตั้งแต่เวลา 12.00น.วันที่ 24 เม.ย. พร้อมให้เหตุผลที่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่า ต้องการส่งสัญญาณไปยังทั่วโลกว่า ขณะนี้สถานการณ์ในประเทศได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว และว่า ได้หารือกับฝ่ายความมั่นคงแล้ว ได้รับการยืนยันว่า แม้ไม่มีกฎหมายพิเศษ ก็สามารถใช้กฎหมายปกติในการรักษาความสงบในบ้านเมืองได้ ส่วนกรณีที่แกนนำคนเสื้อแดงถูกควบคุมตัวภายใต้อำนาจของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น นายอภิสิทธิ์ บอกว่า เมื่อยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็จำเป็นต้องปล่อยตัวแกนนำดังกล่าว เว้นแต่จะมีหมายจับหรือหมายเรียกในคดีอื่น พร้อมยืนยัน จะไม่มีการไล่ล่าคนเสื้อแดง โดยเฉพาะในต่างจังหวัด เพราะรัฐบาลมีนโยบายชัดเจนว่า จะไม่จับกุมผู้ชุมนุม แต่จะจับกุมแกนนำที่ปราศรัยให้กระทำผิดกฎหมายเท่านั้น ทั้งนี้ หลังนายกฯ ประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่งผลให้ตำรวจไม่สามารถควบคุมตัวนายวีระ มุสิกพงศ์-นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ-นพ.เหวง โตจิราการ (ผู้ต้องหาก่อความไม่สงบ) โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้อีกต่อไป จึงได้นำผู้ต้องหาทั้งสามไปขอศาลอาญาเพื่อฝากขังตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย.-5 พ.ค. ขณะที่ทนายของผู้ต้องหาได้ยื่นร้องคัดค้านการฝากขัง พร้อมยื่นขอประกันตัว โดยยืนยันว่า ผู้ต้องหาไม่ได้มีพฤติการณ์ที่จะหลบหนีหรือยุ่งกับพยานหลักฐาน ด้านศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยตีราคาประกันคนละ 5 แสนบาท แต่มีเงื่อนไข ห้ามผู้ต้องหาออกนอกราชอาณาจักร หรือกระทำการปลุกระดมหรือก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง และห้ามกระทำการใดใดที่มีผลกระทบต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน มิฉะนั้นจะถอนประกัน ด้านแกนนำเสื้อแดง รุ่น 2 นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข สบช่องที่รัฐบาลประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงได้นัดชุมนุมที่สนามหลวงทันทีในวันนี้(25 เม.ย.) โดยก่อนหน้านี้ต้องการชุมนุมที่ จ.สมุทรสาคร แต่ทางจังหวัดไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่หน้าศาลากลางจัดชุมนุม ขณะที่ประชาชนในพื้นที่ก็ไม่ต้อนรับ ทั้งนี้ นายสมยศ บอกว่า จะชุมนุมที่สนามหลวงแค่วันเดียว และสัปดาห์หน้าจะเดินสายชุมนุมในจังหวัดใหญ่ๆ เช่น อุดรธานี ,เชียงใหม่ ,พัทลุง ,จันทบุรี ,พระนครศรีอยุธยา นายสมยศ ยังบอกด้วยว่า ข้อเรียกร้องของ นปช.ครั้งนี้ ก็คือ 1.ยุติการคุกคามแกนนำเสื้อแดง ยุติการออกหมายจับ อย่าใช้กฎหมายคุกคามแกนนำ 2.ขอให้คืนทรัพย์สินอุปกรณ์ที่ยึดไปทั้งหมด ให้ดีสเตชั่นออกอากาศได้ตามปกติ รวมถึงวิทยุชุมชนที่ถูกดำเนินคดี และเว็บไซต์ที่ถูกปิด รวมทั้งหวังว่ารัฐบาลจะนำ รธน.2540 กลับมาใช้ ทั้งนี้ นอกจากความเคลื่อนไหวของแกนนำ นปช.รุ่น 2 แล้ว ในส่วนของแกนนำ นปช.รุ่น 1 อย่างนายจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งถูกออกหมายจับฐานก่อความไม่สงบใน กทม.เช่นกัน แต่ได้ชิงหลบหนีออกนอกประเทศหลังกลุ่มเสื้อแดงยอมสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 14 เม.ย. ก็ได้ประกาศผ่านสื่อต่างประเทศอย่างสำนักข่าวบลูมเบิร์ก(20 เม.ย.)ว่า การต่อสู้ของกลุ่มเสื้อแดงยังไม่ยุติ และเตรียมแผนที่จะปฏิบัติการอีกในเร็วๆ นี้ “เราวางแผนที่จะหลบอยู่ใต้ดินนานเท่าที่จำเป็น การต่อสู้ในไทยมันไปไกลเกินกว่าจุดที่จะยอมยกเลิกไปเฉยๆ แล้ว...” วันต่อมา(21 เม.ย.) นายจักรภพ ได้ให้สัมภาษณ์บีบีซี โดยพูดถึงแนวทางการต่อสู้ของกลุ่มเสื้อแดงเพื่อต่อต้านรัฐบาลนายอภิสิทธิ์อีกว่า จะใช้ยุทธวิธีที่ต่างออกไปในการเผชิญหน้ากับรัฐบาล โดยในจำนวนนั้นรวมไปถึงการโจมตีด้วยอาวุธด้วย ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ชี้ คำพูดของนายจักรภพสะท้อนว่าเข้าข่ายผู้ก่อการร้ายแล้ว “ถ้าเขาประกาศอย่างนั้น ก็เท่ากับเป็นผู้ก่อการร้าย ต้องติดตาม และเอาตัวมาลงโทษ” ขณะที่ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า พรรคเห็นว่า ควรยกระดับการติดตามตัวนายจักรภพ เพราะการให้สัมภาษณ์ว่าจะใช้อาวุธเพื่อล้มล้างรัฐบาล ทำให้นายจักรภพเป็นผู้พยายามก่อการกบฏในราชอาณาจักร แม้ศักยภาพส่วนตัวนายจักรภพจะไม่สามารถทำได้ แต่การเป็นกระบอกเสียงให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มแดงโลก หรือแดงสยาม ทำให้เราไม่อาจประมาทได้ จึงเสนอให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องยกระดับการติดตามตัวมาดำเนินคดี โดยเสนอให้แจ้งตำรวจสากลและมิตรประเทศที่คิดว่านายจักรภพไปหลบซ่อนอยู่ให้ทราบโดยเร็ว

3. “ทักษิณ”จาบจ้วงสถาบันไม่เลิก ด้าน “ป๋าเปรม”ขอพระสยามเทวาธิราช ให้คนคิดร้ายต่อชาติมีอันเป็นไป!
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จับมือนายริชาร์ด โทลเบิร์ต ประธานคณะกรรมาธิการการลงทุนแห่งชาติไลบีเรีย(21 เม.ย.)
หลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี ถูกออกหมายจับฐานปลุกระดมให้คนเสื้อแดงก่อความวุ่นวายใน กทม. ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้เพิกถอนพาสปอร์ตของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว พร้อมแจ้งให้ทุกประเทศทราบถึงหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณฉบับล่าสุดในคดีล้มล้างรัฐบาล โดยได้ประสานตำรวจสากลเพื่อให้จับกุม พ.ต.ท.ทักษิณมาดำเนินคดีตามกฎหมายไทยด้วย ซึ่งทางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้รับทราบและยินดีจะให้ความร่วมมือกับประเทศไทยแล้ว ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 19 เม.ย. สำนักข่าวดีพีเอของเยอรมนี รายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งใช้เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นที่พักพิงตลอดระยะ 1 เดือนที่ผ่านมา ได้เดินทางออกจากเมืองดูไบแล้วด้วยเครื่องบินส่วนตัว โดยมุ่งหน้าไปยังประเทศนิการากัว ประเทศเล็กๆ ในแถบแคริบเบียน ที่ได้มอบหนังสือเดินทางทางการทูตให้ พ.ต.ท.ทักษิณเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ในฐานะทูตพิเศษเพื่อดึงการลงทุนจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางไปยังนิการากัวหรือไม่ เพราะเว็บไซต์สตาร์ เรดิโอของไลบีเรีย รายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางเข้าไปยังไลบีเรียเมื่อวันที่ 21 เม.ย. ก่อนจะเดินทางต่อไปยังไอวอรีโคสต์ และประเทศแอฟริกาอื่นๆ เมื่อวันที่ 22 เม.ย. โดยระหว่างอยู่ที่ไลบีเรีย พ.ต.ท.ทักษิณได้เข้าพบรองประธานาธิบดีโจเซฟ โบไค ของไลบีเรีย พร้อมบอกว่า เขามีความสนใจที่จะสำรวจน้ำมันและเหมืองแร่ รวมถึงเรื่องการเกษตร โทรคมนาคมการสื่อสาร และสลากกินแบ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ยังบอกกับรองประธานาธิบดีไลบีเรียด้วยว่า ประเทศไทยปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสร้างสัมพันธ์อันดีกับประเทศในแอฟริกา และประเทศไทยอยากร่วมแบ่งปันความสำเร็จและความล้มเหลวในเรื่องการเกษตรและขจัดปัญหาความยากจนด้วย ด้านหนังสือพิมพ์ ดิ เอจ ของออสเตรเลีย รายงานความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า ดูเหมือนเขาจะมีที่พักพิงและหลบซ่อนน้อยลงทุกที เพราะก่อนหน้าที่จะมีหมายจับล่าสุดออกมา ทางการไทยก็ร้องขอให้ตำรวจสากลออก “หมายแดง” หรือ “เรด โนติส” เพื่อให้ทุกประเทศช่วยเหลือจับกุม พ.ต.ท.ทักษิณอีกทางหนึ่ง จึงคาดว่า ในที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณคงต้องถูกส่งตัวกลับมายังประเทศไทยแน่นอน ด้านหนังสือพิมพ์บอสตัน โกลบ ของสหรัฐฯ ได้นำเสนอผ่านบทบรรณาธิการ(19 เม.ย.) โดยเลือกที่จะหนุนรัฐบาลไทยมากกว่าหนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการเรียกร้องให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แสดงท่าทีสนับสนุนการปกครองด้วยกฎหมายและความเป็นนิติรัฐของไทย และควรเลือกยืนอยู่ข้างเดียวกับผู้ที่ดำเนินการแก้ไขปัญหาขัดแย้งด้วยสันติวิธี เพราะเสถียรภาพของไทยคือผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ซึ่งยึดถือรัฐบาลไทยเป็นพันธมิตรสำคัญในภูมิภาคนี้ ขณะที่ เอเชีย ไทม์ส ออนไลน์(เอทีโอแอล) นิตยสารวิเคราะห์ข่าวในเอเชียบนอินเตอร์เน็ต ได้นำเสนอบทวิเคราะห์ของ ชอว์น คริสพิน(17 เม.ย.) ที่แฉว่า การให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นและบีบีซีของ พ.ต.ท.ทักษิณที่อ้างว่า มีผู้เสียชีวิตระหว่างการสลายชุมนุมในกรุงเทพฯ นั้น เป็นเพียง “คำกล่าวอ้างจอมปลอม” โดยเป็นผลงานจากความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงที่เกิดจากทีมงานระดับอินเตอร์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นคือ นายแซมมวล มูน ที่ปรึกษาด้านสื่อมวลชนของ พ.ต.ท.ทักษิณที่มีสำนักงานอยู่ในฮ่องกง และเป็นผู้บริหารจัดการเว็บไซต์มูลนิธิ บิลดิ้ง อะ เบทเทอร์ ฟิวเจอร์ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เอเชีย ไทม์ส ออนไลน์ ยังเผยด้วยว่า นายแซมมวล มูน เคยทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวให้กับสื่อมวลชนระดับอินเตอร์หลายฉบับ รวมทั้งดิ อีโคโนมิสต์ ,ดาวโจนส์ และบิซิเนส วีค ทำให้สื่อเหล่านี้วิพากษ์วิจารณ์ในเชิงเข้าข้างเห็นอกเห็นใจ พ.ต.ท.ทักษิณมาโดยตลอด นอกจากนี้ เอเชีย ไทม์ส ออนไลน์ ยังรายงานด้วยว่า ได้รับการเปิดเผยจากคนวงในกลุ่ม นปช.เองว่า นายแซมมวล มูน เป็นผู้เขียนบทความโจมตีสถาบันของไทยขึ้นปก ดิ อีโคโนมิสต์เมื่อไม่นานมานี้ จนเป็นเหตุให้มีการแบนนิตยสารดังกล่าวในประเทศไทย ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณยังคงให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศพาดพิงสถาบันเบื้องสูงของไทยให้เสียหายไม่เลิก โดยเมื่อวันที่ 20 เม.ย. ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์ส ของอังกฤษ โดยกล่าวหาว่าสถาบันเบื้องสูงรับทราบการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลตนเมื่อเดือน ก.ย.2549 ล่วงหน้า เนื่องจากมีบรรดานายทหาร รวมถึงบุคคลระดับสูงหลายคนเข้ารายงานก่อนเกิดเหตุการณ์ วันต่อมา(21 เม.ย.) พ.ต.ท.ทักษิณก็พาดพิงสถาบันผ่านสื่อต่างประเทศอีก คราวนี้ให้สัมภาษณ์นิตยสาร แดร์ สปีเกล ของเยอรมนี โดยนอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณจะกล่าวหาว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์โกหกเรื่องผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงแล้ว ยังกล่าวหาว่ารัฐบาลที่มีทหารเป็นผู้สนับสนุน นำคนเข้าไปแฝงตัวในกลุ่มเสื้อแดง แล้วฆ่าคนและสร้างเหตุจลาจลขึ้น นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังบอกว่า “ถึงเวลาที่จะปรองดองด้วยการให้อภัยซึ่งกันและกัน ลืมอดีต และมองไปข้างหน้า และว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงลงมาช่วยเหลือ พระองค์ต้องทรงดำเนินการให้มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย และจากนั้นเราจำเป็นต้องมีการเลือกตั้งใหม่ขึ้น” พ.ต.ท.ทักษิณ ยังโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีซึ่งเป็นนายกฯ หลังตนถูกยึดอำนาจว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย แต่กลับเป็นที่จงเกลียดจงชังเพราะประธานองคมนตรีและอดีตนายกฯ ของรัฐบาลทหารที่พยายามโค่นตนจากอำนาจ ไม่เท่านั้น พ.ต.ท.ทักษิณยังเปรียบเปรยการถูกกระทำของตนด้วยว่า ตนเหมือนหนูในบ้านหลังหนึ่ง โดยที่มีผู้พยายามจับหนูตัวนี้ให้ได้โดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด จนถึงกับลงทุนเผาบ้านทั้งหลัง ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณหยุดจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง และยุติกล่าวหาว่าการสลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงมีผู้เสียชีวิต นายเทพไท ยังสวนกลับกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่ามีการไล่จับตนเหมือนกับเผาบ้านเพื่อไล่หนูตัวเดียวว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ใช่หนู แต่เป็นคนที่เดินออกจากบ้านไป แล้วหันกลับมาเผาบ้านตัวเอง จนทำให้คนที่หวังจะอยู่ในบ้านอย่างสงบสุขต้องเดือดร้อน ด้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดโครงการ “สานใจไทยสู่ใจใต้”รุ่นที่ 12 ที่สโมสรทหารบก(23 เม.ย.) ตอนหนึ่งว่า การเป็นคนไทยที่ดี ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต จงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง และสถาบันพระมหากษัตริย์ โอกาสนี้ พล.อ.เปรมได้สอนให้เด็กๆ รู้จักพระสยามเทวาธิราชด้วยว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศอยู่ในพระบรมมหาราชวัง พร้อมกันนี้ พล.อ.เปรมได้บนบานศาลกล่าวให้พระสยามเทวาธิราชคุ้มครองเด็กๆ ที่มาจากภาคใต้ คุ้มครองชาติบ้านเมืองให้มีความสงบร่มเย็น และให้คนที่ไม่หวังดีต่อประเทศมีอันเป็นไป

4. “อภิสิทธิ์”เปิดทางแก้ รธน.-นิรโทษฯ 220 นักการเมือง ด้าน “พันธมิตรฯ” ฮึ่ม พร้อมต้าน!
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
หลังการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงคลี่คลายลงแล้ว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้ออกมาส่งสัญญาณเปิดทางให้มีการแก้รัฐธรรมนูญและนิรโทษกรรมความผิดทางการเมืองแก่ผู้ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีจากคดียุบพรรค(111 อดีต กก.บห.พรรคไทยรักไทยและ 109 อดีต กก.บห.พรรคพลังประชาชน-ชาติไทย-มัชฌิมาธิปไตย) หากการทำเช่นนั้นช่วยให้บ้านเมืองสงบสุข โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวผ่านรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์”เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ว่า รัฐบาลจะให้ทุกพรรคการเมืองไปสรุปปัญหาว่ามีประเด็นใดในรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นกลางและไม่เป็นประชาธิปไตย โดยให้เวลารวบรวม 2 สัปดาห์ ก่อนนำมาพิจารณาเพื่อขอฉันทามติจากสังคมถึงวิธีแก้ไขต่อไป เชื่อว่าไม่ใช้เวลามากเกินไป ส่วนเรื่องนิรโทษกรรมความผิดทางการเมืองนั้น นายอภิสิทธิ์ บอกว่า พร้อมรับฟัง แต่ต้องไม่รวมความผิดทางอาญา เช่น การก่อจลาจล ,การยุยงปลุกปั่นที่อยู่นอกเหนือจุดมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ ,การทุจริตคอร์รัปชั่น การใช้อำนาจในทางที่ไม่ถูกต้อง ฯลฯ เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังนายอภิสิทธิ์ส่งสัญญาณดังกล่าว ทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยต่างออกมาหนุนให้แก้ รธน.และคืนสิทธิทางการเมืองอย่างคึกคัก โดยนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีอุตสาหกรรม และหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินคนใหม่ รีบชี้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากรัฐธรรมนูญที่ไม่ได้ฟังเสียงพรรคการเมือง “ผมอยู่ในการเมืองมากว่า 30 ปี พบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้มาจาก รธน.เพราะมีการมองกันว่า รธน.ถูกเขียนโดยคนอื่น ไม่ใช่พรรคการเมือง วันนี้จึงต้องฟังว่าพรรคการเมืองมีความเห็นอย่างไร” ขณะที่นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีมหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็บอกว่า เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีอาญา เพราะนักการเมืองและพรรคการเมืองไม่ได้กระทำผิด พร้อมเชื่อ การนิรโทษกรรมทางการเมืองจะช่วยลดความขัดแย้งและสร้างความสมานฉันท์ให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติและเดินหน้าต่อไป ด้านนายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร และประธานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย นอกจากจะสนับสนุนการแก้ รธน.และการคืนสิทธิทางการเมืองจากคดียุบพรรคแล้ว ยังส่งสัญญาณด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ควรพ้นผิดจากคดีต่างๆ ด้วยเช่นกัน “อยากให้แยกแยะว่า ความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นเป็นความผิดในคดีอาญาหรือเป็นความผิดทางการเมืองกันแน่ เพราะความผิดที่เกิดขึ้นหลังรัฐประหาร 19 ก.ย. เกิดจากการยึดอำนาจและตั้งคนที่เป็นศัตรูกับ พ.ต.ท.ทักษิณมาตรวจสอบ ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ” ขณะที่นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช เสนอไอเดียที่เข้าทาง พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเสนอให้ยุติการใช้ รธน.2550 แล้วหันมาใช้ รธน.2540 แทน โดยให้ตัดบทเฉพาะกาลทิ้งทั้งหมด และเพิ่มบทเฉพาะกาล 2552 เข้าไปแทน โดยให้มีการนิรโทษกรรมให้หมด ทั้งคณะปฏิวัติ และองค์กรอิสระที่ถูกตั้งขึ้น รวมถึงคดีอาญาที่ไม่เป็นธรรมที่เกิดจากการตัดสินของศาลเพียงศาลเดียว เพราะถือว่าไม่ชอบธรรม ควรจะให้มีการอุทธรณ์ ฎีกา (นั่นหมายถึง พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่ต้องได้รับโทษจำคุก 2 ปีในคดีซื้อที่รัชดาฯ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างมาตลอดว่า ตนถูกตัดสินโดยศาลเดียว คือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง) ด้านนายสมศักดิ์ โกศัยสุข 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ ประกาศ พันธมิตรฯ ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลเสนอแนวคิดนิรโทษกรรมคดีการเมือง เพราะพันธมิตรฯ ต้องการให้คดีความต่างๆ เสร็จสิ้นไปก่อน อีกทั้ง รธน.ก็ได้รับฉันทามติจากประชาชนส่วนใหญ่ หากจะมีการแก้ไข ต้องทำประชามติก่อน นายสมศักดิ์ ยังเตือนด้วยว่า หากรัฐบาลยังผลักดันแนวคิดนี้ พันธมิตรฯ คงต้องต่อต้านกันต่อไป ส่วนจะเคลื่อนไหวอย่างไรต้องหารือในที่ประชุมแกนนำก่อน ขณะที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ก็ไม่เห็นด้วยกับการแก้ รธน.เช่นกัน โดยชี้ว่า รธน.เป็นกติกาสูงสุดของประเทศ การจะแก้ไข ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่แก้เพื่อปลดโซ่ตรวนให้นักการเมืองเพียงหยิบมือเดียวที่สุมหัวสมคบจะแก้ไขอยู่ในเวลานี้ น.ต.ประสงค์ ยังเตือนด้วยว่า หากรัฐบาลดึงดันจะแก้ รธน.จะเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ นายอภิสิทธิ์จะกลายเป็นคนที่ได้ทำลายกระบวนการยุติธรรมอย่างน่าละอายที่สุด ไม่เคารพเหตุผล คำตัดสินของตุลาการ เป็นการสร้างตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับการเมืองไทย ต่อไปนักการเมืองที่ทำผิดกฎหมาย ก็รวมหัวกันออกกฎหมายยกโทษความผิดให้ตัวเอง... นายอภิสิทธิ์อย่าพาสังคมเดินเข้าสู่จุดนั้น อาจเกิดกลียุคหรือมิคสัญญี หรือเกิดการปฏิวัติรัฐประหารได้ ซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิด ด้าน พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) ค้านการแก้ รธน.และการนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณเช่นกัน “การนิรโทษกรรมต้องดูว่านิรโทษกรรมใคร หากนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ มันเลยขีดนั้นมาแล้ว นอกจากไม่สำนึกผิดแล้ว ยังสร้างความเสียหายให้ประเทศ ดังนั้น ผมไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ” ทั้งนี้ มีข่าวว่า ในพรรคประชาธิปัตย์ ได้เกิดเสียงแตก โดยมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ รธน.และการนิรโทษกรรมผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง คือ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคฯ และนายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคฯ อย่างไรก็ตาม นายชวนได้ออกมาปฏิเสธว่า ตนยังไม่มีความเห็นในเรื่องดังกล่าว ต้องรอดูว่ามติพรรคเป็นอย่างไร ก็ปฏิบัติตามนั้น ขณะที่นายบัญญัติ ก็ยืนยันว่า ในพรรคไม่มีความขัดแย้ง และหากพรรคตัดสินอย่างไร ตนคงไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น อย่างไรก็ตาม นายบัญญัติ ชี้ว่า การแก้ รธน.เป็นดาบสองคม หากไม่สามารถให้คำตอบกับสังคมได้ ก็จะสร้างปมปัญหาใหม่ของความขัดแย้งขึ้นมาอีกครั้ง ดังนั้นต้องระมัดระวัง.
กำลังโหลดความคิดเห็น