1. “อภิสิทธิ์”คว้าชัย ได้เป็นนายกฯ คนใหม่ ลั่น “จะทำงานให้คนไทยทุกคน” ด้าน “ทักษิณ”ประกาศสู้ถึงที่สุด!
แม้พรรคเพื่อไทยหรือพรรคพลังประชาชนเดิม จะเดินเกมให้นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ล็อบบี้พรรคร่วมรัฐบาลเดิมเพื่อจัดตั้ง “รัฐบาลเพื่อชาติ”โดยชู พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินคนใหม่ เป็นนายกฯ แต่ก็ไปไม่ถึงฝัน เมื่อผลโหวตเลือกนายกฯ ในการประชุมสภาสมัยวิสามัญเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ปรากฏว่า เสียงสนับสนุนให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกฯ มากกว่า พล.ต.อ.ประชา โดยมีผู้หนุนนายอภิสิทธิ์ 235 เสียง ทิ้งห่าง พล.ต.อ.ประชาที่ได้เพียง 198 เสียง ถือว่านายอภิสิทธิ์ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.ทั้งหมดที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสภาขณะนี้ 437 คน จึงได้เป็นนายกฯ คนใหม่ ทั้งนี้ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลแทบทุกพรรคต่างมีเสียงแตก โดยส่วนใหญ่หนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ขณะที่บางส่วนหนุน พล.ต.อ.ประชา โดยในส่วนของพรรคชาติไทยพัฒนา(ชาติไทยเดิม) ซึ่งมี ส.ส. 15 คน ปรากฏว่า โหวตหนุนนายอภิสิทธิ์ 14 คน ส่วนอีก 1 คนคือ นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล ส.ส.ปทุมธานี โหวตให้ พล.ต.อ.ประชา ขณะที่พรรคเพื่อแผ่นดิน มี ส.ส.29 คน ปรากฏว่าหนุนนายอภิสิทธิ์ 17 คน อีก 12 คนหนุน พล.ต.อ.ประชา ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า พล.ต.อ.ประชา โหวตให้ตัวเองด้วย ขณะที่นายอภิสิทธิ์งดออกเสียง ด้านพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา มี ส.ส.9 คน ซึ่งแม้ว่าพรรคจะมีมติให้หนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ แต่เอาเข้าจริง ปรากฏว่า มี ส.ส.หนุนนายอภิสิทธิ์ 5 คน หนุน พล.ต.อ.ประชา 2 คน คือ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร หัวหน้าพรรคฯ และนางทัศนียา รัตนเศรษฐ ส.ส.นครราชสีมา ส่วนอีก 2 คนนั้น คนหนึ่งงดออกเสียง(นายสมชัย ฉัตรพัฒนศิริ ส.ส.นครราชสีมา) อีกคนไม่มาร่วมประชุม(นพ.ไกร ดาบธรรม ส.ส.เชียงใหม่) ส่วนพรรคภูมิใจไทย(พรรคมัชฌิมาธิปไตยเดิม)มี ส.ส.10 คน โหวตให้นายอภิสิทธิ์ 7 คน ส่วนอีก 3 คนโหวตให้ พล.ต.อ.ประชา ขณะที่พรรคประชาราช ซึ่งมี ส.ส. 5 คน โหวตให้ พล.ต.อ.ประชาทั้งหมด ส่วน ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน แม้จะโดนข่มขู่คุกคามจากคนเสื้อแดงไม่ให้แปรพักตร์ ที่สุดแล้วก็ยังหนักแน่น โดยโหวตให้นายอภิสิทธิ์ถึง 22 เสียง อย่างไรก็ตาม มี ส.ส.พรรคพลังประชาชนเดิมอีกบางส่วนที่ย้ายไปอยู่พรรคกิจสังคมและพรรคเพื่อแผ่นดินโหวตหนุนนายอภิสิทธิ์เช่นกันอีกประมาณ 10 เสียง ส่งผลให้แกนนำพรรคเพื่อไทย(นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่)ทนไม่ได้ จึงออกมาประณาม ส.ส.ดังกล่าวและกลุ่มเพื่อนเนวินรวม 32 คนว่าเป็นผู้ทรยศประชาชนและปล้นประชาธิปไตย เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังประชุมโหวตเลือกนายกฯ แล้วเสร็จ บรรดา ส.ส.ของแต่ละพรรคได้ขับรถออกจากรัฐสภา แต่ได้ถูกม็อบเสื้อแดงของ นปช.ที่มาชุมนุมหน้ารัฐสภาประมาณ 300 คน งัดอิฐตัวหนอนที่ปูพื้นถนนขึ้นมาทุ่มใส่รถของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาล หลังไม่พอใจที่นายอภิสิทธิ์ชนะโหวตได้เป็นนายกฯ ขณะที่ผู้ชุมนุมบางคนพกอาวุธมาก่อเหตุด้วย เช่น มีด-น้ำกรด และน้ำมันก๊าด-น้ำมันเบนซิน โดยมีการขว้างขวดน้ำมันเข้าไปในรถ ส.ส.กะจะเผาให้ตายหมู่กันเลยทีเดียว โชคดี ส.ส.รีบบึ่งรถหนีก่อน อย่างไรก็ตามผลจากการถูกม็อบเสื้อแดงขว้างอิฐเข้าใส่ ไม่เพียงทำให้รถ ส.ส.เสียหายกว่า 30 คัน แต่ยังทำให้ ส.ส.หลายคนได้รับบาดเจ็บด้วย จึงได้เข้าแจ้งความที่ สน.ดุสิต ซึ่งตำรวจสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้แล้ว 1 ราย(นายโชคชัย คำลือ) และขอศาลฝากขังแล้ว ขณะที่ม็อบเสื้อแดงบางส่วนไม่พอใจ จึงได้ไปปิดล้อม สน.ดุสิต และเมื่อทราบว่าฝากขังที่ศาลแล้ว จึงพยายามไปกดดันศาลให้อนุญาตให้ประกันตัว ขณะที่ศาลยังไม่สามารถพิจารณาให้ประกันตัวได้ เพราะเลยเวลาทำการแล้ว ต้องรอวันจันทร์(22 ธ.ค.) ด้านแกนนำพรรคเพื่อไทย หลังรู้ผลว่านายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯ และพรรคประชาธิปัตย์จะได้จัดตั้งรัฐบาล ก็รีบเรียกประชุม ส.ส.ทันที(15 ธ.ค.) โดยมีนางเยาวภา และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รวมทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้าร่วมด้วย ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้โฟนอินผ่านโทรศัพท์มาขอบคุณ ส.ส.ของพรรคว่า “ขอขอบคุณทุกคนที่ยังอยู่ในนี้ ถือว่าเป็นมิตรแท้แน่นอน และเสียสละเพื่อผม บุญคุณครั้งนี้จะไม่ลืมเด็ดขาด ทำให้เห็นว่าเงินซื้อไม่ได้ทุกอย่าง ส่วนพวกที่ไปไม่ใช่เนื้อแท้ของเรา สมัยก่อนผมไว้ใจเขามากเกินไป ซึ่งผมเองก็จะถือเป็นบทเรียน และจะไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีก วันนี้เราแพ้ เป็นการแพ้เพื่อชนะในวันข้างหน้า ผมจะสู้ไม่หยุดอย่างเด็ดขาดและจะสู้ให้ถึงที่สุด...” ด้านนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้กล่าวกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทยในงานเลี้ยงสังสรรค์ในช่วงค่ำวันเดียวกันทำนองว่า ถ้ารู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะได้จัดตั้งรัฐบาล ตนคงชิงยุบสภาไปก่อนแล้ว โดยบอกว่า “ที่ผ่านมา ผมยืนยันกับ ส.ส.มาตลอดว่าจะไม่ยุบสภา แต่ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้ ผมยุบก็ได้ ไม่ปล่อยให้เจ็บใจอย่างนี้หรอก” ทั้งนี้ ผลจากการที่ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ไม่ทำตามมติพรรค โดยหันไปโหวตหนุน พล.ต.อ.ประชาเป็นนายกฯ ทำให้ ส.ส.ของพรรคหลายคนไม่พอใจ ออกมาเรียกร้องให้ พล.อ.เชษฐาแสดงความรับผิดชอบต่อการทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคเสียหาย ซึ่งในที่สุด พล.อ.เชษฐาได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคและ ส.ส.สัดส่วนของพรรค(15 ธ.ค.) พร้อมยืนยันว่า ที่ตนโหวตเลือก พล.ต.อ.ประชา เพราะอยากเห็นรัฐบาลแห่งชาติ เนื่องจากเชื่อว่าเป็นแนวทางที่จะแก้ปัญหาในขณะนี้ได้ ส่วนทางด้านพรรคเพื่อแผ่นดิน แม้ ส.ส.จะไม่ได้ออกมาเรียกร้องให้ พล.ต.อ.ประชาแสดงความรับผิดชอบต่อการเป็นคู่ชิงนายกฯ กับนายอภิสิทธิ์ เพราะ พล.ต.อ.ประชาเคยประกาศว่าจะไม่เป็นนายกฯ แต่ก็เริ่มมี ส.ส.กลุ่มวังพญานาค(เช่น นพ.อลงกต มณีกาศ ส.ส.นครพนม) ออกมาส่งสัญญาณแล้วว่า การได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคของ พล.ต.อ.ประชาเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.อาจเป็นโมฆะ เพราะประชาชนที่มาร่วมโหวตบางส่วนไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ คนใหม่ ได้ให้คำมั่นหลังได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกฯ คนที่ 27 เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.โดยยืนยันว่า “รัฐบาลที่ตนเป็นผู้นำ จะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง” และว่า เมื่ออาสาสมัครมาทำงานแล้วจะไม่หนีปัญหาหรือปฏิเสธความรับผิดชอบ พร้อมชี้ว่า หน้าที่เบื้องต้นขณะนี้คือ การยุติการเมืองที่ล้มเหลวที่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง ส่งผลให้มีการแบ่งฝ่าย แบ่งสี โดยต้องนำความสามัคคีคืนมา อาศัยความยุติธรรม บังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค พร้อมยืนยันว่า จะทำงานให้คนไทยทุกคน ไม่ว่าเลือกหรือไม่เลือกตน หากท่านไม่คิดร้ายต่อบ้านเมือง ก็ไม่ถือเป็นศัตรู งานใดที่เป็นประโยชน์ แม้เป็นของรัฐบาลก่อนก็จะสานต่อ ไม่ว่าโครงการรักษาฟรี กองทุนในชุมชนต่างๆ นายอภิสิทธิ์ ยังพูดถึงประชาชนในทุกๆ ภาคเพื่อยืนยันว่าตนให้ความสำคัญ โดยบอกว่า “ผมไม่ลืมพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ลืมว่าความใฝ่ฝันของพี่น้องคือความสันติสุข ความสงบสุขที่รอคอย ผมไม่ลืมพี่น้องชาวเหนือที่มีโอกาสไปเยี่ยมเยือนหลายครั้งในยามทุกข์ ที่ประสบภัยพิบัติหลายครั้ง ...ส่วนพี่น้องชาวอีสาน ผมไม่ลืมวันที่ปั้นข้าวเหนียวที่ไร่มันสำปะหลัง และอดที่จะเอ่ยถึงคุณยายเนียม ที่ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี ที่ได้มอบแหวนวงนี้ให้ผม และได้หมั้นผมกับคนอีสานไว้แล้ว วันนี้ผมได้ทำงานให้คนอีสานของท่านและจะทำงานร่วมกับท่านด้วยความซื่อสัตย์” ทั้งนี้ นอกจากแถลงให้คำมั่นต่อคนไทยแล้ว นายอภิสิทธิ์ยังได้กล่าวเป็นภาษาอังกฤษเพื่อสื่อสารไปยังนานาประเทศทั่วโลกด้วยว่า จะพยายามฟื้นฟูภาพประเทศไทยที่มิตรทั่วโลกเคยรู้จักมักคุ้นกลับคืนมาอีกครั้ง และไม่เพียงจะต้องยุติการประท้วงและการปะทะซึ่งกันและกัน แต่ยังจะนำประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจด้วย ด้าน ผศ.ดร.พิมพ์เพ็ญ (ศกุนตาภัย)เวชชาชีวะ ภริยานายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวกรณีที่นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯ คนใหม่ว่า รู้สึกดีใจ ภูมิใจ แต่ก็หนักใจ เพราะรู้ว่าประเทศกำลังมีปัญหาลำบาก ซึ่งก็ได้ให้กำลังใจนายอภิสิทธิ์ โดยบอกให้ทำทุกอย่างให้เต็มที่
2. โปรดเกล้า ครม.”อภิสิทธิ์ 1”แล้ว -“ส.ส.ปชป.”ไม่พอใจ ถูก “นายทุน”แย่งเก้าอี้ ขณะที่ “นปช.”เตรียมชุมนุมใหญ่ 28 ธ.ค.นี้!
แม้พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จะสามารถตกลงเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีกับพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 4 พรรคและกลุ่มเพื่อนเนวินได้ลงตัว แต่ภาพที่ออกมาก็ถูกมองว่า ถูกกลุ่มเพื่อนเนวินครอบงำ เพราะคว้ากระทรวงที่สำคัญไปคุมหลายกระทรวง ส่วนในแง่รายชื่อรัฐมนตรีแม้โดยรวมจะไม่มีปัญหา แต่ก็ส่อไม่ได้รับการยอมรับในบางกระทรวง สำหรับรายชื่อ ครม.อภิสิทธิ์ 1 ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แล้วในวันนี้(20 ธ.ค.)จำนวน 35 คน ล้วนเป็นไปตามโผที่คาดการณ์กันก่อนหน้านี้ ประกอบด้วย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ,นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ ,พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ ,นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ,นายวีระชัย วีระเมธีกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ,พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม ,นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีคลัง ,นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยคลัง ,นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยคลัง ,นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ,นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและการกีฬา ,นายวิฑูรย์ นามบุตร รัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ,นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ,นายชาติชาย พุคยาภรณ์ รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ ,นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ,นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ รัฐมนตรีช่วยคมนาคม ,นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร รัฐมนตรีช่วยคมนาคม ,นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ,ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) ,นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ,นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ,นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ ,นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ,นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ,นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ,นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ,นายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ,นายธีระ สลักเพชร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ,คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ,นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ,นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยศึกษาธิการ ,น.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รัฐมนตรีช่วยศึกษาธิการ ,นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ,นายมานิตย์ นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข ,นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นที่น่าสังเกตว่า รายชื่อ ครม.ที่ออกมา มีการเปลี่ยนแปลงไปจากโผก่อนหน้านี้เล็กน้อย โดยเดิมพรรคเพื่อแผ่นดินวางตัวให้ ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี เป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรม แต่เมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์จากภาคเอกชนว่า เป็นมือใหม่หัดขับ ทางพรรคฯ จึงมีการสลับตำแหน่ง ให้ ร.ต.หญิงระนองรักษ์ไปนั่งรัฐมนตรีกระทรวงไอซีที แล้วให้นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง มานั่งรัฐมนตรีอุตสาหกรรมแทน ส่วนอีกตำแหน่งที่ถูกภาคเอกชนมองว่า ไม่เหมาะสมเพราะเป็นมือใหม่หัดขับเช่นกันก็คือ นางพรทิวา นาคาศัย แห่งพรรคภูมิใจไทย(มัชฌิมาธิปไตยเดิม) ที่เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ แต่เจ้าตัวก็ยังยืนยันไม่หวั่นไหวต่อเสียงวิจารณ์ โดยบอกว่า “จะเอาจุดอ่อนผลักดันการทำงาน และมั่นใจว่าทีมเศรษฐกิจจะเป็นบุคคลที่เป็นที่ยอมรับ” ทั้งนี้ ไม่เพียงเสียงวิจารณ์จากภายนอกถึงรัฐมนตรีพาณิชย์และอุตสาหกรรมของพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น แม้แต่ในพรรคประชาธิปัตย์เอง ก็มี ส.ส.อกหักบางคนออกมาโวยวายเช่นกัน เพราะรับไม่ได้ที่พรรคฯ นำนายทุนมาเป็นรัฐมนตรีแทนตน เหตุเกิดเนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนโผ ครม.ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ในนาทีสุดท้าย โดยนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง ซึ่งตอนแรกมีรายชื่อเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ แต่ภายหลังถูกปรับออก แล้วนำนายวีระชัย วีระเมธีกุล อดีตลูกเขยผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี) กลุ่มทุนที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาแทน ส่งผลให้นายนิพิฏฐ์ไม่พอใจ ออกมาตั้งคำถามว่า นายวีระชัยมีความเหมาะสมอย่างไรที่พรรคจะให้เป็นรัฐมนตรี พร้อมถามถึงอุดมการณ์ของนายวีระชัยว่าเป็นอย่างไรกันแน่ เพราะที่ผ่านมานายวีระชัยเคยทำงานให้กับทุกรัฐบาล ตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสุรยุทธ์ และมารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์อีก หากนายวีระชัยศรัทธาแนวทางของพรรคประชาธิปัตย์จริง ก็ต้องสมัครเป็นสมาชิกพรรค แล้วประกาศว่าเป็นผู้บริหารของบริษัทใดบ้าง แล้วบอกให้ชัดเจนเลยว่า บริษัทนี้เป็นผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ต้องเป็นอีแอบทางการเมือง เพราะไม่สง่างาม นายนิพิฏฐ์ ยังประชดด้วยการโชว์ตั๋วแลกเงินเพื่อผ่อนชำระหนี้นายวีระชัยเดือนละ 500 บาทด้วย โดยบอกว่า อยากให้พรรคประชาธิปัตย์ดำรงอยู่อย่างอิสระ ปราศจากการครอบงำจากธุรกิจการเมือง ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ยืนยันว่า ไม่มีกลุ่มทุนครอบงำพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกล่าวถึงกรณีนายนิพิฏฐ์ว่า จริงๆ แล้วนายนิพิฏฐ์เป็นรัฐมนตรีได้สบายๆ เพียงแต่การตัดสินใจเรื่อง ครม.เป็นการประชุมของ กก.บห.พรรค ซึ่งมีหลายปัจจัย และว่า เชื่อว่านายนิพิฏฐ์มีอุดมการณ์ มีความหนักแน่น เข้มแข็ง และตั้งใจจะให้นายนิพิฏฐ์เป็นกำลังสำคัญช่วยงานต่อไป ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า ได้ขอโทษเพื่อนร่วมพรรคทุกคนแล้วว่า เสียใจจริงๆ หากการเจรจาตั้งรัฐบาลคราวนี้ ทำให้เพื่อนๆ ผิดหวัง เพราะตำแหน่งได้มาน้อยจริงๆ แต่เป้าหมายคือ ตั้งรัฐบาลให้ได้ เปลี่ยนขั้วทางการเมืองให้ได้ เพื่อนำประเทศไปสู่แสงสว่าง... ส่วนความเคลื่อนไหวของแกนนำ นปช.อย่างนายวีระ มุสิกพงศ์ ,นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายจักรภพ เพ็ญแข นั้น ได้เปิดแถลงเมื่อวานนี้(19 ธ.ค.)โดยโจมตีนายอภิสิทธิ์และ ครม.ทั้งคณะว่า ไม่สามารถยอมรับได้ เพราะไม่มีความชอบธรรม โดยเฉพาะการให้นายกษิต ภิรมย์ (อดีตเอกอัครราชทูตไทยหลายประเทศ)ที่เคยร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรฯ มาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ แกนนำ นปช.ได้นัดชุมนุมใหญ่ที่สนามหลวงในวันที่ 28 ธ.ค.นี้ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาทันทีที่แถลงนโยบายต่อสภาเสร็จสิ้น ด้านนายกษิต ภิรมย์ กล่าวถึงกรณีที่เคยขึ้นเวทีพันธมิตรฯ จะกระทบต่อภาพลักษณ์การเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศหรือไม่ว่า พันธมิตรฯ ทำผิดอะไร ไม่ได้เป็นองค์กรโจรหรือขบวนการก่อการร้าย การไปข้องแวะกับพันธมิตรฯ ไม่ใช่เรื่องบาป ไม่ได้ไปทำอะไรชั่วร้าย สิ่งที่ตนพูดบนเวทีพันธมิตรฯ ก็เป็นเนื้อหาวิชาการ ให้ข้อมูลความรู้ พร้อมยืนยันว่า ตนเป็นข้าราชการมา 37 ปี ไม่มีความด่างพร้อย นายกษิต ยังชี้แจงกรณีที่มีผู้กล่าวหาว่าตนได้ตำแหน่งรัฐมนตรีเพราะนายสนธิ ลิ้มทองกุล 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ ด้วยว่า “สนธิไม่ใช่พ่อผม แล้วก็ไม่ใช่พ่อพรรคประชาธิปัตย์ ผมคิดว่าเรามีความเคารพซึ่งกันและกัน ที่พูดกันก็รู้ว่าใครเป็นใครอย่างไร อุดมการณ์และจุดยืนอยู่ที่ไหน ผมเปิดเผย ไม่ได้แอบซ่อน ฉวยโอกาส หรือรอให้ราชรถมาเกย ผมสู้อย่างเปิดเผยในหลักการของผม” ขณะที่นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ กล่าวถึงกรณีที่นายกษิต ภิรมย์ ซึ่งเคยขึ้นเวทีพันธมิตรฯ จะได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ว่า นายกษิตเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ พร้อมยืนยัน แกนนำพันธมิตรฯ ไม่เคยยื่นเงื่อนไขต่อรองตำแหน่งใดใดในรัฐบาลแม้แต่ตำแหน่งเดียว โบนัสที่พันธมิตรฯ ได้รับไม่ใช่เก้าอี้ใน ครม.แต่เป็นคดีความ และว่า พันธมิตรฯ พร้อมตรวจสอบการทำงานของนายกษิตอย่างเต็มที่และมากกว่าคนอื่น ว่านายกษิตได้ทำตามที่ประกาศไว้บนเวทีพันธมิตรฯ หรือไม่ ทั้งกรณีปราสาทพระวิหาร และการดำเนินการกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กำลังใช้ยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศ ใช้ล็อบบี้ยิสต์ต่างชาติโจมตีประเทศไทยอยู่ในขณะนี้ เพื่อพิสูจน์ว่า พันธมิตรฯ ไม่ใช่บันไดเพื่อให้ใครคนใดคนหนึ่งไต่ขึ้นสู่อำนาจทางการเมือง
3. “กสม.”ส่งผลผลสอบ 7 ต.ค.เลือด ให้ “ป.ป.ช.”เชือด “สมชาย-ครม.-ตร.”ฐาน “ฆ่า-พยายามฆ่าผู้อื่น!
เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.นายสุรสีห์ โกศลนาวิน ประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชน เผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ได้สรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)พิจารณาความผิดของผู้เกี่ยวข้องแล้ว โดยมีจำนวน 117 หน้า มีผู้เข้าให้ถ้อยคำ 91 คน จาก 7 กลุ่ม ประกอบด้วย ฝ่ายการเมือง ,สื่อมวลชน ,ผู้ชุมนุมและประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บ ,แกนนำและการ์ดพันธมิตรฯ ,เจ้าหน้าที่ตำรวจ ,เจ้าหน้าที่การแพทย์ ,ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชและนิติวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้ ผลสรุป ชี้ว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ และ ครม.ที่ร่วมประชุมเมื่อคืนวันที่ 6 ต.ค.รวมทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและตำรวจอีกกว่า 20 นายมีความผิดฐานฆ่า และพยายามฆ่าผู้อื่น โดยในส่วนของนายสมชายนั้น ผลสอบระบุว่า มีความผิดในฐานะผู้สั่งการให้มีการสลายการชุมนุมในวันที่ 7 ต.ค. ขณะที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯ มีความผิดในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากนายสมชายให้รับผิดชอบในการสลายการชุมนุมและสั่งสลายการชุมนุม โดยผลสอบระบุตอนหนึ่งว่า นอกจากนายสมชายจะสั่งการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติโดยตรงแล้ว เมื่อ พล.อ.ชวลิตไปเป็นประธานประชุมที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.อ.ชวลิตก็ได้สั่งการและแจ้งที่ประชุมด้วยว่า ครม.มีมติว่า พรุ่งนี้(7 ต.ค.)จะต้องไปประชุมเพื่อแถลงนโยบายที่รัฐสภาให้ได้ และสั่งการให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 05.00น.จึงเชื่อว่า นายกฯ ได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับผิดชอบดำเนินการผลักดันประชาชนผู้ร่วมชุมนุมที่ปิดล้อมรัฐสภาออกไป เพื่อให้ประชุมแถลงนโยบายได้ แต่เมื่อมีการสลายการชุมนุมโดยใช้ระเบิดแก๊สน้ำตาจากประเทศจีน จนเป็นเหตุให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัสจำนวนมากในช่วงเช้าแล้ว นายสมชายในฐานะหัวหน้ารัฐบาลก็หาได้สั่งห้ามใช้ระเบิดแก๊สน้ำตาสลายฝูงชนไม่ ยังคงปล่อยให้มีการยิงแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมอีกเพื่อเปิดทางให้ ส.ส.-ส.ว.ออกจากรัฐสภา นอกจากนั้นยังปล่อยให้ตำรวจยิงและขว้างแก๊สน้ำตาใส่ประชาชนที่กำลังจะเดินทางเข้าไปช่วยประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตที่หน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลและลานพระบรมรูปทรงม้าด้วย สำหรับรัฐมนตรีที่ร่วมประชุม ครม.เมื่อคืนวันที่ 6 ต.ค.(เช่น พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ,พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ฯลฯ) ก็ถือว่ามีความผิดที่มิได้คัดค้านการใช้กำลังและระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุม จึงต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นในการสลายการชุมนุม ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและละเมิดต่อกฎหมาย จนประชาชนได้รับบาดเจ็บ บาดเจ็บสาหัส และมีผู้เสียชีวิต ถือว่าเข้าข่ายความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้บุคคลอื่นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ,ฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ,295 ,297 ,288 ,289 ,84 สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าข่ายผิดฐานสลายการชุมนุมเมื่อ 7 ต.ค.นั้น ครอบคลุมตั้งแต่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) และนายตำรวจอีกกว่า 20 นาย เช่น พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัตร รอง ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) ,พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ รอง ผบช.น. ,พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล รอง ผบช.น. ,พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รอง ผบช.น. ,พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบช.น. ,พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ , พ.ต.อ.ลือชัย สุดยอด รองผู้บังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ(นอกจากได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยผู้กำกับดูแลสถานการณ์แล้ว ยังเป็นผู้ขว้างระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าใส่ประชาชนเป็นจำนวนมาก) , พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.(ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในลักษณะบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยอ้างว่า ผู้ชุมนุมที่ขาขาด เกิดจากระเบิดปิงปองของตัวเอง แถมยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ไม่มีอาวุธ มีแค่โล่และกระบองเท่านั้น) และตำรวจที่เกี่ยวข้องอีกหลายนาย โดยตำรวจเหล่านี้ ผลสรุปของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ชี้ว่า อาจเข้าข่ายความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ,295 ,288 ,289 ,83 สำหรับความผิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจนี้ ผลสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ระบุตอนหนึ่งว่า ทั้งๆ ที่เป็นที่ประจักษ์ว่า ระเบิดแก๊สน้ำตามีอานุภาพรุนแรงเพียงใดจากการสลายการชุมนุมในช่วงเช้า แต่ปรากฏว่ายังมีการยิงและขว้างระเบิดแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมอีกในหลายช่วงเวลา โดยเฉพาะช่วงเย็นและพลบค่ำเป็นต้นไปทั้งที่บริเวณรัฐสภา ลานพระบรมรูปทรงม้า และหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล จนเป็นเหตุให้มีประชาชนได้รับบาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัส 471 ราย และเสียชีวิต 2 ราย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ชี้ด้วยว่า ตำรวจไม่เพียงระดมยิงและขว้างระเบิดแก๊สน้ำตาที่มีอานุภาพร้ายแรงใส่ประชาชนที่ปราศจากอาวุธร้ายแรงโดยตรง แต่ยังยิงและขว้างในระยะใกล้โดยไม่ปฏิบัติตามหลักสากล นอกจากนี้ตำรวจใน บช.น.ยังลอบยิงระเบิดแก๊สน้ำตาออกมาใส่ผู้ชุมนุมที่เดินผ่านถนนศรีอยุธยาหน้า บช.น. และลานพระบรมรูปทรงม้าจนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมากและเสียชีวิต ไม่เท่านั้น ตำรวจยังได้ระดมยิงรถพยาบาลและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บด้วย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ เห็นว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นการปฏิบัติการที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เป็นการใช้ความรุนแรงต่อเพื่อนมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ ซึ่งต้องได้รับความคุ้มครองตาม รธน.และขัดต่อหลักการประพฤติปฏิบัติสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ จึงส่งผลสอบให้ ป.ป.ช.เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
4. “ตร.”สั่งไม่ฟ้อง “3 ทนายแม้ว”คดีสินบน 2 ล้าน – อ้างเฉย “ไม่มีเหตุจูงใจ”!
ตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาจำคุก 6 เดือนทีมทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 3 คนคือ นายพิชิฏ ชื่นบาน ,น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์ และนายธนา ตันศิริ ฐานหิ้วถุงใส่เงิน 2 ล้านไปมอบให้เจ้าหน้าที่ศาลเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.2551 ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเข้ารายงานตัวต่อศาลในคดีซื้อที่รัชดาฯ ในวันดังกล่าว ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่ละเมิดอำนาจศาล ขณะเดียวกันศาลได้ให้เจ้าหน้าที่เข้าแจ้งความต่อตำรวจสน.ชนะสงครามเพื่อดำเนินคดีทนายทั้งสามฐานติดสินบนเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา 144 ด้วยนั้น ปรากฏว่า ในวันที่ 22 ธ.ค.นี้ ทนายทั้งสามก็จะพ้นโทษจำคุก 6 เดือนฐานละเมิดศาลแล้ว ส่วนความคืบหน้าของคดีติดสินบนเจ้าพนักงานนั้น พ.ต.ท.สุเมธ จิตต์พานิชย์ รองผู้กำกับการ สน.ชนะสงคราม เผย(17 ธ.ค.)ว่า พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนสั่งไม่ฟ้องทนายทั้งสามไปยังอัยการแล้วเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากไม่มีมูลเหตุจูงใจว่าทนายทั้งสามติดสินบนเจ้าพนักงาน เพราะผู้ต้องหาปฏิเสธ และยืนยันว่า หยิบถุงผิดให้เจ้าหน้าที่ศาล โดยตั้งใจหยิบถุงขนมให้ แต่กลับหยิบถุงเงิน 2 ล้านให้ ประกอบกับตอนที่หยิบถุงเงินให้เจ้าหน้าที่ศาล ก็ไม่ได้บอกให้เจ้าหน้าที่ศาลทำอะไร เพียงแต่บอกว่า “ซื้อขนมมาฝาก เพราะเห็นติดต่อประสานงานกันได้ราบรื่น” เป็นที่น่าสังเกตว่า คำพูดของ พ.ต.ท.สุเมธ ชัดเจนว่า ทนายดังกล่าวซื้อขนมมาฝากเจ้าหน้าที่ศาล ซึ่งแย้งกับข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาฯ ได้จากการไต่สวนและระบุในคำพิพากษาว่า นายธนา ทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณได้ยื่นถุงกระดาษที่ปิดผนึกมิดชิดให้เจ้าหน้าที่ศาล พร้อมกับบอกว่า “ระยะนี้ต้องมาติดต่อบ่อย เห็นใจเจ้าหน้าที่ เลยเอาของมาฝาก ให้ไปแบ่งกัน” จะเห็นได้ว่า นอกจากข้อความจะไม่เหมือนกันแล้ว ถ้อยคำบางคำที่สำคัญยังแตกต่างกันด้วย เช่น พ.ต.ท.สุเมธ ใช้คำว่า “ขนม” แต่ข้อเท็จจริงจากศาล ใช้คำว่า “ของ” ทั้งนี้ สังคมค่อนข้างเคลือบแคลงว่า ตำรวจเชื่อคำอ้างของผู้ต้องหาง่ายเกินไปหรือไม่ที่อ้างว่าหยิบถุงผิดให้เจ้าหน้าที่ศาล เพราะหากพิจารณาจากคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ก่อนหน้านี้แล้ว จะพบว่า คำอ้างของทนายทั้งสามฟังไม่ขึ้น โดยศาล ชี้ว่า หากนายธนาหยิบถุงผิดจริง ทำไมจึงไม่เอะใจตอนที่เจ้าหน้าที่ศาลนำถุงเงินดังกล่าวมาคืน เพราะเจ้าหน้าที่ได้ถามนายธนาว่า “รู้หรือไม่ว่าข้างในมีอะไร” ซึ่งนายธนาก็ตอบว่ารู้ และเดินกลับไป ไม่ได้มีการตรวจสอบถุงดังกล่าวแต่อย่างใด พร้อมกันนี้ ศาลยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า หากมีของ 2 สิ่งลักษณะห่อเหมือนกัน นายธนาย่อมต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่าปกติเพื่อไม่ให้มีการหยิบผิด อีกทั้งหากนายธนาต้องการมอบช็อคโกแลตให้เจ้าหน้าที่จริง ก็ควรนำไปให้ที่เคาน์เตอร์อย่างเปิดเผยเพื่อความบริสุทธิ์ใจ นอกจากนี้ ศาลยังเห็นว่า การกระทำของทนายทั้งสาม ถือเป็นเหตุจูงใจให้เจ้าหน้าที่ของศาลฎีกาฯ กระทำการอันมิชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งอาจเชื่อมโยงเป็นประโยชน์ต่อคดีทุจริตซื้อที่รัชดาฯ และว่า การกระทำดังกล่าวนอกจากจะเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและพานิชย์ มาตรา 31(1) ,33 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 แล้ว ยังน่าจะมีมูลความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงานด้วย แต่ในที่สุด พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ก็สรุปสำนวนสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสามต่ออัยการ ด้านนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา เผยว่า หลังได้รับสำนวนจากพนักงานสอบสวน ตนได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานอัยการเพื่อพิจารณาสำนวนคดีนี้ แต่ยังไม่ได้กำหนดว่าจะนัดฟังคำสั่งเมื่อใด และว่า ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่ปรากฏ โดยอัยการอาจมีความเห็นต่างจากพนักงานสอบสวนก็ได้ โดยอาจสั่งฟ้องทั้งหมดหรือสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาบางคนก็ได้ แต่ถ้าอัยการสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาบางคน ก็ต้องส่งความเห็นให้ ผบ.ตร.พิจารณาว่าจะเห็นแย้งหรือไม่ หาก ผบ.ตร.เห็นตามพนักงานสอบสวนที่สั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด ก็ต้องให้นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด เป็นผู้ชี้ขาดอีกครั้ง ซึ่งความเห็นของอัยการสูงสุดจะถือเป็นที่สุด ทั้งนี้ นอกจากนายพิชิฏ-นายธนา และ น.ส.ศุภศรี 3 ทนายของ พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องลุ้นว่า อัยการจะสั่งฟ้องคดีติดสินบนเจ้าพนักงานหรือไม่แล้ว ยังต้องลุ้นด้วยว่า ทางสภาทนายความจะลบชื่อของทั้งสามออกจากทะเบียนทนายความหรือไม่ด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอให้ทนายทั้งสามเข้าชี้แจงด้วยวาจาอีกครั้งกรณีนำเงิน 2 ล้านให้เจ้าหน้าที่ศาล จากนั้นสภาทนายความจะนำคำชี้แจงที่ได้รับไปพิจารณาประกอบคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ก่อนหน้านี้ แล้วค่อยตัดสินว่าจะลบชื่อบุคคลทั้งสามออกจากการเป็นทนายความหรือไม่.