xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 21-27 ก.ย.2551

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ และ ครม.ถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน ที่สนามบิน บน.6 กองทัพอากาศ ก่อนเดินทางไปเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ นับเป็น ครม.ชุดแรกที่ไม่ได้ถ่ายรูปร่วมกันที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล(25 ก.ย.)
คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. โปรดเกล้าฯ ครม.“สมชาย 1”แล้ว - “ในหลวง”ทรงย้ำ ให้ทำงานเพื่อชาติและประชาชน!

หลังพรรคร่วมรัฐบาลได้พร้อมใจกันโหวตให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนและน้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ ในการประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 17 ก.ย. และได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกฯ ในวันที่ 18 ก.ย. จากนั้นนายสมชายได้เร่งฟอร์มทีม ครม.เพื่อนำรายชื่อรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ ในวันที่ 22 ก.ย.นั้น ปรากฏว่า การนำรายชื่อรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ล่าช้ากว่าที่กำหนด เพราะการจัดโผ ครม.ไม่ลงตัว โดยเฉพาะภายในพรรคพลังประชาชนเองที่กลุ่มเพื่อนเนวินขอโควตารัฐมนตรีเพิ่มจาก 4 เป็น 6 ตำแหน่ง โดยอ้างว่าควรคิดโควตารัฐมนตรีตามจำนวน ส.ส. ขณะที่ในพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคเพื่อแผ่นดิน นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรค ก็ขอเก้าอี้รองนายกฯ และรัฐมนตรีอุตสาหกรรมคืน ซึ่งหลังจากพรรคเพื่อแผ่นดินส่งรายชื่อรัฐมนตรีในส่วนของพรรคให้นายสมชายแล้ว ปรากฏว่า นายสมชายได้ตีกลับรายชื่อดังกล่าว ถึง 2 ครั้ง 2 ครา โดยมีรายงานว่า ผู้ใหญ่ที่ลอนดอนไม่เอานายสุวิทย์ ไม่ต้องการให้นายสุวิทย์ร่วม ครม.เพราะเคยถอนตัวจากรัฐบาลนายสมัคร ส่งผลให้นายสุวิทย์ต้องยอมไม่รับตำแหน่ง และเปิดทางให้คนอื่นในพรรครับตำแหน่งแทน โดยพรรคพลังประชาชนยอมให้ตำแหน่งรัฐมนตรีอุตสาหกรรมแก่พรรคเพื่อแผ่นดิน แต่ไม่ให้ตำแหน่งรองนายกฯ ทั้งนี้ หลังจากโผ ครม.ลงตัวและนำรายชื่อรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ ในวันที่ 23 ก.ย. วันต่อมา(24 ก.ย.)พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีในรัฐบาลนายสมชายจำนวน 36 คน ประกอบด้วย 1.นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ ควบรัฐมนตรีกลาโหม 2.พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ เป็นรองนายกฯ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้สังคม เพราะไม่คิดว่า พล.อ.ชวลิต ซึ่งเคยแฉเกี่ยวกับ “ขบวนการล้มทุน ล้มปืน ล้มเจ้า”ช่วงที่นายจักรภพ เพ็ญแข ถูกดำเนินคดีฐานกล่าวปาฐกถาหมิ่นสถาบัน จะยอมมาร่วม ครม.นายสมชาย 3.นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เดิมเป็นรัฐมนตรียุติธรรม เปลี่ยนมาเป็นรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ 4.นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล เดิมเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข ถูกโยกไปเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ 5.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรัฐมนตรีมหาดไทย ได้กลับเข้ามาเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข 6.นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตรองประธานกรรมการบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น(ชินคอร์ป) เป็นรองนายกฯ 7.พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เป็นรองนายกฯ เหมือนเดิม 8.นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ มือกฎหมายพรรคพลังประชาชน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ แทนนายชูศักดิ์ ศิรินิล ที่หลุดจากตำแหน่ง 9.นายสุพล ฟองงาม ถูกโยกจากรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย มาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ 10.นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช เดิมเป็นรัฐมนตรีช่วยคลัง ได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรีคลัง พร้อมกับได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พรรคสำรองของพรรคพลังประชาชนด้วย 11.นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยคลังเหมือนเดิม 12.ร.ต.(หญิง)ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี ได้กลับเข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วยคลังอีกครั้ง 13.นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาเหมือนเดิม 14.นายอุดมเดช รัตนเสถียร ซึ่งใกล้ชิดคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีต กก.บห.พรรคไทยรักไทย ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 15.นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เหมือนเดิม 16.นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร เป็นรัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ เหมือนเดิม 17.นายธีระชัย แสนแก้ว เป็นรัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ เหมือนเดิม 18.นายสันติ พร้อมพัฒน์ ยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเหมือนเดิม 19.นายโสภณ ซารัมย์ ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยคมนาคมแทนนายทรงศักดิ์ ทองศรี แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวินที่หลุดจากตำแหน่ง 20.นายวราวุธ ศิลปอาชา ได้รับการผลักดันจากนายบรรหาร ให้เป็นรัฐมนตรีช่วยคมนาคมสมใจ นับเป็นรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดใน ครม.ชุดนี้(35 ปี) 21.นางอนงวรรค์ เทพสุทิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเหมือนเดิม 22.นายมั่น พัธโนทัย ยังคงเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที)เหมือนเดิม โดยอยู่ในตำแหน่งนี้มาตั้งแต่รัฐบาล “สมัคร 1” 23.นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน 24.นายไชยา สะสมทรัพย์ ยังคงเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทั้งที่เคยถูกศาลรัฐธรรมนูญให้พ้นจากตำแหน่งจากกรณีซุกหุ้นภรรยา 25.นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ซึ่งเคยเป็นหัวหอกในการล่าชื่อจี้นายสมัครให้ชี้แจงกรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ 26.พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์เหมือนเดิม 27.พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ แม้จะหลุดจากตำแหน่งรองนายกฯ แต่ยังคงเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเหมือนเดิม 28.นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส.กลุ่มอีสานพัฒนา ซึ่งเคยกล่าวหาว่านายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ทรยศแย่งเก้าอี้รัฐมนตรี ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยสมใจในคราวนี้ 29.นายประสงค์ โฆษิตานนท์ นายทุนใหญ่พรรคเพื่อแผ่นดิน ยังคงเป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ท่ามกลางความไม่พอใจของ ส.ส.บางกลุ่มในพรรค 30.นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ได้เลื่อนชั้นจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม 31.นางอุไรวรรณ เทียนทอง แม้จะเป็นจำเลยในคดีหวยบนดิน แต่ก็ยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเหมือนเดิม โดยบอกว่า ขณะนี้เลยจุดที่จะพูดถึงเรื่องจริยธรรมแล้ว 32.นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ซึ่งอยู่สายนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม 33.นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง น้องชายนายจาตุรนต์ อดีต กก.บห.พรรคไทยรักไทย ยังคงเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 34.นายศรีเมือง เจริญศิริ ซึ่งเป็นสายตรงคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งที่ไม่ได้มีประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญด้านนี้แต่อย่างใด 35.นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ยังคงเป็นรัฐมนตรีช่วยสาธารณสุขเหมือนเดิม 36.พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อแผ่นดิน ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมแบบส้มหล่น หลังนายสุวิทย์ คุณกิตติ ถูกขวางจาก ส.ส.พรรคพลังประชาชนและผู้ใหญ่ที่ลอนดอนไม่ให้ร่วม ครม.สมชาย ทั้งนี้ หลังได้รับโปรดเกล้าฯ นายสมชายได้นำ ครม.ชุดใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณเมื่อวันที่ 25 ก.ย. โอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทให้รัฐมนตรีปฏิบัติตามที่ได้ปฏิญาณว่าจะทำงานให้ประชาชน ให้ประเทศชาติ เพื่อให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ซึ่งไม่ใช่ง่าย เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังรายชื่อ ครม.ชุดใหม่ออกมา นอกจากจะเกิดเสียงยี้จากหลายภาคส่วนในสังคมแล้ว แม้แต่ในพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาล เช่น พรรคเพื่อแผ่นดิน ยังเกิดการประท้วงของกลุ่ม ส.ส.อกหักที่ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี เช่น กลุ่มเพื่อนเนวินของพรรคพลังประชาชน และกลุ่มบ้านริมน้ำของพรรคเพื่อแผ่นดิน โดย ส.ส.ดังกล่าวได้แสดงความไม่พอใจด้วยการไม่เข้าร่วมประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 24 และ 25 ก.ย. ทำให้สภาล่ม 2 วันซ้อน อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า นายสมชายได้กำชับกลางที่ประชุม ครม.นัดแรกเมื่อวานนี้(26 ก.ย.)ให้ทุกพรรคดูแลสมาชิกให้เข้าร่วมประชุม เพื่อไม่ให้สภาล่มอีก ทั้งนี้ นายสมชายได้ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุม ครม.โดยเผยว่า ตนจะตั้งนายชูศักดิ์ ศิรินิล (ที่หลุดจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ)ให้เป็นเลขาธิการนายกฯ (นายชูศักดิ์ได้ลาออกจาก ส.ส.สัดส่วน พรรค พปช.เพื่อรับตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ แล้ว) พร้อมกันนี้จะตั้ง น.ส.ณหทัย ทิวไผ่งาม (ซึ่งเคยตกเป็นข่าวว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ใหญ่ในพรรคไทยรักไทย) เป็นทีมงานโฆษกประจำสำนักนายกฯ ด้วย

“ในหลวง” ทรงเน้นย้ำ ครม.รักษาสัตย์เพื่อ ปชช.-บ้านเมือง
“สมชาย” ยังไม่หนำใจ! จับ “ชูศักดิ์” ชูคอนั่งเลขานายกฯ
สภาล่ม! แก๊งอกหักพลาดเก้าอี้ป่วนรัฐบาลกม.ฟอกเงิน.สะดุดซ้ำสอง
กลุ่มริมน้ำโวย “สุวิทย์” ยึดกลุ่มนายทุนจัดโควตา รมต.
“แก๊งเนวิน” กินดีหมี! ปัดสลายขั้ว ไม่หวั่นถูกเลื่อยขา
โปรดเกล้าฯ ครม.“สมชาย”ควบ กห.“จิ๋ว-โอฬาร” รองฯ “เหลิม” คุม สธ.

อธิการบดีมหาวิทยาลัย 24 แห่งทั่วประเทศ ออกแถลงการณ์เสนอให้มีการตั้ง คกก.อิสระเพื่อปฏิรูประบบการเมืองการปกครอง(26 ก.ย.)
2. “24 อธิการบดี”จี้ ตั้ง คกก.อิสระปฏิรูปการเมือง ด้าน “พันธมิตรฯ”หนุน แต่นายกฯ ไม่สน!

หลังได้ยลโฉม ครม.“สมชาย 1”แล้ว นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้แถลง(24 ก.ย.)ว่า ถือเป็นการฟื้นระบอบทักษิณ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้กำหนดโผ ครม. โดยพยายามกระชับบริวารให้กลับมาเหนียวแน่นเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นการตั้ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ,ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รวมทั้งมีการประสานกับกลุ่มนักการเมืองทุกมุ้ง ดังนั้น การเมืองหลังจากนี้จะเป็นการเปิดทางให้ระบอบทักษิณกลับมาอีกครั้ง จึงอยากให้จับตาดูกระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ ทหารและตำรวจ รวมทั้งคนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณที่คุมกระทรวงสำคัญเป็นพิเศษ ส่วนความเคลื่อนไหวประเด็นเรื่อง “การเมืองใหม่”ที่กลุ่มพันธมิตรฯ เสนอและต้องการให้สังคมช่วยกันคิดนั้น หลังจากกลุ่มพันธมิตรฯ ได้เปิดเวทีรับฟังความเห็นจากฝ่ายต่างๆ รอบแรกเมื่อวันที่ 21 ก.ย. แม้จะยังไม่มีข้อสรุป แต่มีการพูดคุยกันว่า ความล้มเหลวของการเมืองเก่ามาจาก 4 ประการ 1.การได้มาซึ่งอำนาจเป็นการได้มาอย่างผิดจริยธรรม ผิดกฎหมายการเลือกตั้ง 2.ระบบพรรคการเมืองล้มเหลว นายทุนสามารถซื้อนักการเมืองและอำนาจได้ 3.ประชาชนขาดการมีส่วนร่วม และ 4.สื่อมวลชนทำหน้าที่ได้อย่างจำกัด ดังนั้นที่ประชุมจึงเสนอความเห็นว่า นิยามความหมายของการเมืองใหม่ ก็คือ การปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีบทบาทในการสร้างความชอบธรรม โดยจำเป็นต้องปฏิรูประบบการเมืองเพื่อนำไปสู่วิถีทางในการเกิดการเมืองใหม่อย่างแท้จริง ซึ่ง ส.ส.ควรมาจากการเลือกตั้ง 100% โดยต้องมาจากการเลือกตั้งผ่านเขตพื้นที่ 50% และผ่านสาขาอาชีพตามสัดส่วนระบอบประชาธิปไตยอีก 50% พร้อมกันนี้ ที่ประชุมเห็นว่า นักการเมืองต้องลงนามให้สัตยาบันว่าจะต้องพ้นจากตำแหน่งทันทีเมื่อละเมิดหรือทำผิดต่อประมวลจริยธรรม รวมทั้งต้องเพิ่มอำนาจให้ประชาชนในการถอดถอนรัฐมนตรีได้ง่ายขึ้น โดยสามารถยื่นเรื่องต่อศาลได้โดยตรง และให้คดีทุจริตต่อหน้าที่ไม่มีอายุความ ฯลฯ ทั้งนี้ ก่อนที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะเปิดเวทีให้ฝ่ายต่างๆ ในสังคมร่วมเสนอแนวคิดและรูปแบบการเมืองใหม่ที่เหมาะสมกับประเทศไทยเป็นรอบที่สองในวันนี้(27 ก.ย.) ได้มีหลายภาคส่วนในสังคมออกมาขานรับแนวคิดการเมืองใหม่มากขึ้นๆ เช่น นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ได้เขียนบทความเกี่ยวกับการเมืองใหม่เมื่อวานนี้(26 ก.ย.)โดยชี้ว่า การเมืองเก่าเป็นองค์กรอัปลักษณ์ที่เน่าหนอนชอนไช ประกอบด้วยเสือสิงห์กระทิงแรด อันธพาล คนขี้คุกขี้ตะราง ขาดความรู้ ขาดความสุจริตและอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง เพราะถูกบงการโดยคนคนเดียวหรือกลุ่มเล็กๆ เป็นคณาธิปไตย หาใช่ประชาธิปไตยไม่ และว่า การเมืองเก่าจะขัดขวางการมีส่วนร่วมของประชาชน แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ไม่โปร่งใส ปิดบังการตรวจสอบ พัฒนาผิดๆ หรือมิจฉาพัฒนา ซึ่งตรงข้ามกับการเมืองใหม่โดยสิ้นเชิง  นพ.ประเวศ ยังชี้ด้วยว่า ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกภาคส่วน ทุกองค์กร ต้องเคลื่อนไหวระดมความคิดกันอย่างกว้างขวางว่า การเมืองใหม่อารยะประชาธิปไตยนั้นคืออย่างไร และต้องลุกขึ้นมาจับมือกันสร้างความเป็นอารยะประชาธิปไตย เพื่อยุติความชั่วร้ายทั้งปวง  ขณะที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสภาพัฒนาการเมือง ชี้ว่า การเมืองใหม่มีความหมาย โดยต้องเอาชุมชนเป็นหลัก ไม่ใช่เอาผู้แทนราษฎรเป็นหลักอย่างในอดีต ด้านอธิการบดีมหาวิทยาลัย 24 แห่งทั่วประเทศ(เช่น ศ.ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ ,ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดี ม.รังสิต ฯลฯ) ได้เปิดแถลงพร้อมออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้(26 ก.ย.) โดยเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองด้วยการตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อปฏิรูประบบการเมืองการปกครอง เพื่อศึกษาหาแนวทางและข้อเสนอแนะในการปฏิรูปฯ ภายในเวลาไม่เกิน 120 วัน โดยยึดหลักเพิ่มบทบาทของการเมืองภาคประชาชน จัดระบบการเข้าสู่อำนาจทางการเมืองที่เหมาะสมเป็นธรรม จัดระบบตรวจสอบการใช้อำนาจทางการเมือง ฯลฯ และขอให้นายกฯ ประกาศว่า เมื่อได้รับข้อเสนอแล้ว จะนำข้อเสนอไปสู่กระบวนการลงประชามติ หากประชาชนเห็นชอบแล้ว ครม.จะได้นำเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติม รธน.ตามแนวทางดังกล่าวขอความเห็นชอบจากรัฐสภาต่อไป ทั้งนี้ ศ.ดร.สุรพล ชี้ว่า นพ.ประเวศ วะสี เป็นตัวอย่างหนึ่งที่สามารถทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการอิสระดังกล่าวได้ ด้านแกนนำพันธมิตรฯ ขานรับแนวคิดของ 24 อธิการบดีที่เสนอให้ตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อปฏิรูปการเมืองการปกครองเช่นกัน แต่ยังห่วงว่าคณะกรรมการดังกล่าวอาจถูกรัฐบาลพรรคพลังประชาชนใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ รธน. ดังนั้น พันธมิตรฯ เห็นว่า ต้องขับไล่รัฐบาลนอมินีออกไปให้หมดก่อน จากนั้นค่อยเริ่มสร้างกระบวนการการเมืองใหม่ โดยการสร้างการเมืองใหม่ต้องไม่ใช่รัฐบาลเป็นเจ้าภาพ แต่ต้องให้ทุกภาคส่วนของสังคมร่วมเป็นเจ้าภาพในการคิดค้นรูปแบบและกลไกของการเมืองใหม่ เพื่อป้องกันการแทรกแซงของ ส.ส.และพรรคการเมือง ส่วนท่าทีของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีต่อแนวคิดของ 24 อธิการบดีนั้น นายสมชายพยายามบ่ายเบี่ยงเมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามในวันนี้(27 ก.ย.) โดยบอกว่า ไม่อยากพูดเรื่องการเมือง เพราะจะไม่มีเวลาทำงาน ส่วนการตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อปฏิรูปการเมืองการปกครองมีความเป็นไปได้หรือไม่นั้น นายสมชาย บอกว่า ต้องพิจารณาก่อน

"สมชาย"โบ้ยข้อเสนอ 24 อธิการแค่ความเห็น
พันธมิตรฯ สน กก.อิสระปฏิรูปการเมืองแต่หวั่นโดนแทรกแซง-ย้ำโค่นนอมินีก่อน
“บวรศักดิ์” ระบุไอเดียการเมืองใหม่พันธมิตรฯ เป็นเรื่องดี ชี้เกิดได้แต่ต้องใช้เวลา
“พันธมิตร” เป่านกหวีด! การเมืองใหม่ ก่อนตกผลึกร่วมลงมติ
"ประเวศ"จวก ครม.หน้าเงิน ปชป.แฉนโยบายช่วย"แม้ว"
“การเมืองเก่าเน่าหนอนชอนไชการเมืองใหม่อารยะประชาธิปไตย” / ประเวศ วะสี
24 อธิการบดี จี้ “สมชาย” แก้วิกฤต เสนอตั้ง คกก.รื้อระบบการเมือง

สมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ เดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษาด้วยสีหน้าบึ้งตึง พร้อมปฏิเสธให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว(25 ก.ย.)
3. “ศาลอุทธรณ์”พิพากษายืน จำคุก “สมัคร-ดุสิต”2 ปี คดีหมิ่นอดีตรองผู้ว่าฯ กทม.!

เมื่อวันที่ 25 ก.ย. ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ และนายดุสิต ศิริวรรณ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เป็นจำเลยฐานหมิ่นประมาท จากกรณีที่นายสมัครและนายดุสิตได้พูดกล่าวหานายสามารถผ่านรายการ “สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน” ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี และรายการ “เช้าวันนี้ที่ช่อง 5”ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ระหว่างวันที่ 12-19 ม.ค.2549 โดยกล่าวว่า มีผู้บริหาร กทม.ได้รับเงินจากผู้รับเหมาโครงการประมูลก่อสร้างสะพานและอุโมงค์ของกรุงเทพมหานคร 10 โครงการ และนำมาซื้อรถยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7 สีบรอนซ์เงิน โดยคดีนี้ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาเมื่อวันที่ 12 เม.ย.2550 ว่า นายสมัครและนายดุสิตมีความผิดตามมาตรา 328 ประกอบมาตรา 83 ให้จำคุกจำเลยทั้งสอง 4 กระทง กระทงละ 6 เดือน รวม 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา จากนั้นจำเลยทั้งสองได้อุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ซึ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยทั้งสองจะกล่าวหาโดยไม่ระบุชื่อนายสามารถ แต่การใช้ถ้อยคำว่า “ผู้บริหาร กทม.ได้รับเงินจากผู้รับเหมาโครงการประมูลก่อสร้างสะพานและอุโมงค์ของ กทม.10 โครงการ...” ก็เห็นเจตนาเด่นชัดว่า บุคคลที่กล่าวถึงคือโจทก์(นายสามารถ) เพราะโจทก์เป็นรองผู้ว่าฯ กทม.และได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการก่อสร้างของ กทม.ทั้ง 10 โครงการแต่เพียงผู้เดียว นอกจากนี้ประเด็นที่จำเลยทั้งสองกล่าวหาว่า ภรรยาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใน กทม.ซื้อรถบีเอ็มดับเบิลยูป้ายแดง โดยผู้รับเหมาบางรายซื้อให้นั้น ก็เป็นเท็จ เนื่องจากข้อเท็จจริงพบว่า นายสามารถและภรรยาได้ร่วมกันซื้อรถดังกล่าวตั้งแต่เมื่อวันที่ 14 ก.ค.2548 ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีการประมูลโครงการทั้ง 10 โครงการแต่อย่างใด โดยนำเงินจากการขายหน่วยลงทุนบางส่วนในกองทุนเปิดทหารไทยธนบดีที่ลงทุนไว้ตั้งแต่ปี 2544 มาซื้อรถดังกล่าว ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นายสมัครและนายดุสิตได้กล่าวหานายสามารถหลายกรรมหลายวาระระหว่างวันที่ 12-19 ม.ค.2549 โดยใช้คำว่า ผู้บริหาร กทม.อำพรางไว้ ส่วนที่นายสมัคร)อ้างว่า ข้อความที่กล่าว ไม่ได้พาดพิงถึงโจทก์ แต่เป็นการกล่าวข้อเท็จจริงที่ข้าราชการ กทม.และบุคคลอื่นแจ้งให้ทราบ ตนจึงกล่าวไปตามนั้น ไม่มีเจตนาใส่ความนายสามารถ ขณะที่นายดุสิตก็อ้างว่า ได้รับข้อมูลจากผู้ชมรายการทางช่อง 5 และช่อง 9 ส่งมาให้ ซึ่งไม่มีโอกาสตรวจสอบข้อเท็จจริง ตนจึงเพียงแค่ถ่ายทอดเรื่องราวที่รับแจ้งให้ประชาชนทราบเพื่อร่วมกันตรวจสอบ ไม่มีเจตนาใส่ความนายสามารถนั้น ศาลเห็นว่า เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ และผิดวิสัยสื่อมวลชนที่ดีที่ปราศจากการตรวจสอบข้อมูลที่รับแจ้ง ส่วนกรณีที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ โดยนายสมัครอ้างว่า ไม่เคยได้รับโทษจำคุกในคดีใดใดมาก่อน และได้ประกอบคุณงามความดี ทำงานเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมาตลอดจนอายุถึง 72 ปี และเคยดำรงตำแหน่งการเมืองสำคัญ ได้แก่ รองนายกฯ ,รัฐมนตรี ,ส.ส. ,ส.ว.ที่ได้เสียงจากประชาชนเกิน 1 ล้านเสียง และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูง ชั้นทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ซึ่งเหลืออีกเพียงชั้นเดียวก็จะถึงชั้นสูงสุดนั้น ศาลเห็นว่า จำเลยทั้งสองมีวุฒิภาวะสูง เคยดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง ย่อมรู้ว่าการแสดงความคิดเห็นของตนมีน้ำหนักอาจก่อให้สาธารณชนคล้อยตามได้ง่าย อีกทั้งการแสดงความเห็นผ่านโทรทัศน์ ย่อมเข้าถึงสาธารณชนอย่างกว้างไกลครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ และจำเลยกระทำผิดหลายครั้งหลายรายการต่างเวลากัน ทำให้เกิดความเสียหายแก่เกียรติยศชื่อเสียงของโจทก์อย่างกว้างขวาง และแม้ว่าศาลจะเคยให้โอกาสจำเลยที่ 1(นายสมัคร) ซึ่งกระทำผิดทำนองนี้มาแล้วถึง 3 ครั้ง ได้กลับตัว โดยรอการลงโทษจำคุกให้ แต่จำเลยก็ไม่ได้หลาบจำ กลับกระทำความผิดซ้ำอีกในคดีนี้ และหลังจากกระทำ จำเลยทั้งสองก็ไม่เคยแสดงความสำนึก เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์ความผิดที่จำเลยทั้งสองมุ่งใส่ความโจทก์ในคดีนี้ถึง 4 ครั้ง เป็นความผิด 4 กระทง แสดงว่าจำเลยจงใจก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จึงไม่มีเหตุปรานีให้รอการลงโทษ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา ทั้งนี้ หลังฟังคำพิพากษา นายสมัครและนายดุสิตได้ใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสดขอประกันตัวคนละ 2 แสนบาท ซึ่งศาลอนุญาต ด้านนายประชุม ทองมี ทนายความของนายสมัครและนายดุสิต บอกว่า จะหารือกับทั้งสองเพื่อหาข้อสรุปเรื่องยื่นฎีกาอีกครั้ง โดยต้องทำให้ทันใน 30 วัน อย่างไรก็ตาม มีข้อน่าสังเกตเกี่ยวกับการต่อสู้ในชั้นฎีกาของคดีนี้ เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ระบุว่า คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี และถ้าศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยตามนั้น ห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง หากจะยื่นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ต้องให้ผู้พิพากษาหรืออัยการสูงสุดลงนามรับรองเพื่อขออนุญาตฎีกา แต่คดีนี้เป็นการฟ้องส่วนตัว อัยการสูงสุดคงไม่สามารถลงนามรับรองให้นายสมัครและนายดุสิตได้ จึงขึ้นอยู่ว่าจะมีผู้พิพากษาลงนามรับรองให้นายสมัครและนายดุสิตหรือไม่ และในที่สุดแล้ว ศาลฎีกาจะอนุญาตให้ฎีกาหรือไม่ ด้านนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.ในฐานะโจทก์ในคดีนี้ ได้กล่าวขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรม และขอบคุณสื่อที่เสนอข้อเท็จจริงมาโดยตลอด พร้อมยืนยันว่า จะไม่มีการเจรจาประนีประนอมกับจำเลยแน่นอน เพราะต้องการพิสูจน์ความจริง นายสามารถ ยังเผยด้วยว่า ในขณะที่นายสมัครดำรงตำแหน่งนายกฯ มีคนโทรศัพท์มาหาตนเพื่อให้ถอนฟ้องคดีนี้ โดยเสนอเงินให้ตนถึง 300 ล้านบาท แต่ตนยืนยันไม่ถอน

“หมัก” โทษฐานไม่สำนึก! อุทธรณ์ยืนจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา

บรรดาอดีตรัฐมนตรีใน ครม.ทักษิณที่ตกเป็นจำเลยในคดีหวยบนดิน เดินทางมาขึ้นศาลฏีกาฯ อย่างพร้อมเพรียงในการพิจารณาคดีนัดแรก ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงหนีคดี จึงถูกศาลออกหมายจับอีก(26 ก.ย.)
4. “ศาลฎีกาฯ”เดินหน้าคดี “ทุจริตกล้ายาง-หวยบนดิน”แล้ว พร้อมออกหมายจับ “แม้ว”ใบที่ 5 !

เมื่อวานนี้(26 ก.ย.) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดพิจารณาคดีนัดแรกคดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษเลขท้าย 2 ตัว และ 3 ตัว(หวยบนดิน) ที่ ป.ป.ช.เป็นโจทก์แทน คตส.ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และ ครม. รวมทั้งผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลรวม 47 คน เป็นจำเลย ฐานกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 ,152 ,153 ,154 และ 157 ประกอบมาตรา 83 ,84 ,86 ,90 และ 91 และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 3 ,4 ,8 ,9 ,10 และ 11 จากกรณีที่จำเลยได้ร่วมกันมีมติ ครม.เมื่อวันที่ 8 ก.ค.2546 ให้ดำเนินโครงการหวยบนดินที่ออกสลากตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2546-26 พ.ย.2549 โดยได้ยกเว้นและลดหย่อนภาษีตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ.2478 และภาษีตามประมวลรัษฎากร โดยถือว่าเป็นสลากการกุศลนั้น มติดังกล่าวถือว่าขัดต่อกฎหมาย เพราะเป็นมติที่ฝ่าฝืนต่อ พ.ร.ฎ.ที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร โดยโจทก์ขอให้ศาลสั่งให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันคืนทรัพย์ที่ร่วมกันมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินซึ่งเป็นรายได้จากการออกสลากของสำนักงานสลากฯ ที่เป็นผู้เสียหายด้วยจำนวนกว่า 1.48 หมื่นล้านบาท พร้อมขอให้นับโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อจากคดีทุจริตซื้อ-ขายที่รัชดาฯ ด้วย ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนดนัด ปรากฏว่า มีจำเลย 3 คนไม่มาศาล คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ,นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานบอร์ดสำนักงานสลากฯ และนางสตรี ประทีปปะเสน ผู้แทนสำนักงบประมาณ โดยนายสมใจนึกและนางสตรีแจ้งเหตุให้ศาลทราบแล้ว ศาลจึงอนุญาตให้จำเลยทั้งสองมาศาลเพื่อสอบคำให้การในวันที่ศาลนัดตรวจสอบพยานหลักฐาน คือ 22-24 ธ.ค.(10.00น.) ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล ถือว่าพฤติการณ์มีเหตุควรน่าสงสัยว่าจะหลบหนี ศาลจึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับ และให้จำหน่ายคดีเฉพาะส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกจากสารบบความชั่วคราว จนกว่าจะได้ตัวจำเลยมาพิจารณาคดี สำหรับหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณดังกล่าว นับเป็นหมายจับใบที่ 5 แล้ว หลังตกเป็นจำเลยในคดีต่างๆ สำหรับจำเลยอีก 44 คนที่เดินทางมาศาลนั้น หลังจากศาลได้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้ทราบแล้ว จำเลยทั้งหมดได้ให้การปฏิเสธ ส่วนกรณีที่จำเลยสงสัยว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจศาลฎีกาฯ หรือศาลปกครองกันแน่นั้น ศาล ยืนยันว่า คดีนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลฎีกาฯ พร้อมกันนี้ศาลได้อนุญาตให้มีการพิจารณาและไต่สวนพยานหลักฐานลับหลังตามที่จำเลยร้องขอ สำหรับจำเลยในคดีนี้ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เพื่อขอประกันตัวล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนถึงวัดนัดพิจารณาคดีครั้งแรกแล้ว โดยจำเลยที่ทำผิดขณะเป็นรัฐมนตรี ยื่นหลักทรัพย์มูลค่า 2 ล้านบาท ส่วนจำเลยที่เป็นข้าราชการ ยื่นหลักทรัพย์มูลค่า 2 แสนบาท เป็นที่น่าสังเกตว่า มีจำเลย 3 คนที่ขณะนี้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล “สมชาย 1” คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯ ,นางอุไรวรรณ เทียนทอง รัฐมนตรีแรงงาน และ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีอุตสาหกรรม ทั้งนี้ นอกจากคดีหวยบนดินแล้ว เมื่อวันที่ 23 ก.ย.ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ได้นัดพิจารณาคดีครั้งแรกในคดีทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพารา 90 ล้านต้น มูลค่า 1,440 ล้านบาท ที่ ป.ป.ช.เป็นโจทก์แทน คตส.ยื่นฟ้องรัฐมนตรีบางคนในสมัยรัฐบาลทักษิณ คือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร(คชก.) ,นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีช่วยคลัง ในฐานะ คชก. ,นายเนวิน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ ในฐานะผู้ริเริ่มโครงการ ,นายสรอรรถ กลิ่นประทุม อดีตรัฐมนตรีเกษตรฯ ,นายอดิศัย โพธารามิก อดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ ในฐานะ คชก.กับพวกรวม 44 คน เป็นจำเลย ฐานทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 ,157 และ 341 ประกอบมาตรา 83 ,84 86 ,90 และ 91 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ(ฮั้วประมูล) พ.ศ.2542 มาตรา 4 และ 9-13 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 สำหรับคดีนี้ โจทก์ได้ขอให้ศาลสั่งให้จำเลยทั้ง 44 คน ร่วมกันคืนเงินกว่า 1,168 ล้านบาทแก่รัฐที่ได้รับความเสียหายด้วย อย่างไรก็ตาม จำเลยทั้ง 44 คนให้การปฏิเสธต่อศาล นอกจากนี้ ศาลเห็นว่าคดีนี้มีความซับซ้อนและมีเอกสารมากกว่า 1 หมื่นแผ่น ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาและให้ทุกคนได้รับความเป็นธรรมในการต่อสู้คดี ศาลจึงให้เวลาจำเลยทั้ง 44 คนเป็นเวลา 2 เดือนในการตรวจสอบพยานหลักฐานเอกสารของโจทก์ โดยนัดตรวจสอบพยานหลักฐานในวันที่ 16-18 ธ.ค.เวลา 10.00น. พร้อมกันนี้ ศาลได้อนุญาตให้มีการพิจารณาคดีลับหลังได้ตามที่จำเลยร้องขอ

ออกหมายจับใบที่ 4 “ทักษิณ” หนีคดีหวย!!
44 จำเลยกล้ายางปฏิเสธ ศาลให้ 2 เดือน ตรวจหลักฐาน!


5.“สมชาย-ชินณิชา”อาจตายน้ำตื้น หากถือหุ้นเกิน-ปกปิดทรัพย์สิน!

เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา มือปราบนายสมัคร สุนทรเวช พ้นตำแหน่งนายกฯ ไปหมาดๆ ล่าสุด ได้ยื่น ป.ป.ช.ให้สอบ น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรค พปช.ว่าปกปิดหรือแจ้งแท็จเกี่ยวกับบัญชีทรัพย์สินฯ หรือไม่
เมื่อวันที่ 24 ก.ย.นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ซึ่งเคยโชว์บทบาทยื่นให้ กกต.และศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบคุณสมบัติของนายสมัคร สุนทรเวช จากกรณีจัดรายการ “ชิมไปบ่นไป”และ “ยกโขยงหกโมงเช้า”กระทั่งพบว่านายสมัครเข้าข่ายขัด รธน.จึงต้องพ้นสภาพการเป็นรัฐมนตรีไปแล้วนั้น ล่าสุด นายเรืองไกรได้ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบการแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของ น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคพลังประชาชน บุตรสาวนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ เนื่องจากสงสัยว่าอาจมีการปกปิดบัญชีทรัพย์สิน ทั้งนี้ นายเรืองไกร เผยว่า จากการตรวจสอบข้อมูลของ น.ส.ชินณิชาที่แสดงต่อ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 22 ม.ค.2551 มีทรัพย์สินรวมเป็นเงินกว่า 362 ล้านบาท มีหนี้สินกว่า 75 ล้านบาท รวมมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินกว่า 287 ล้านบาท โดยมีการแสดงหนี้สินไว้ 3 รายการ คือ เงินเบิกเกินบัญชีกว่า 2 แสนบาท ,เงินกู้จากธนาคารกว่า 74 ล้านบาท และหนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือกว่า 7 แสนบาท รวมแล้วมีหนี้สินกว่า 75 ล้านบาท แต่ไม่มีการแจ้งหนี้สินที่กู้ยืมมาจากนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ (พี่ชายคุณหญิงพจมาน ชินวัตร)จำนวน 100 ล้านบาทแต่อย่างใด ทั้งที่มีข้อมูลจากสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 ม.ค.2551 ว่า คตส.ได้อายัดทรัพย์สินของ น.ส.ชินณิชา 100 ล้านบาท ซึ่ง น.ส.ชินณิชาแจ้งว่ากู้ยืมมาจากนายบรรณพจน์ เพื่อมาดำเนินธุรกิจ ดังนั้น หาก น.ส.ชินณิชากู้ยืมเงินดังกล่าวจากนายบรรณพจน์จริง แต่กลับไม่แสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินรายการดังกล่าว อาจเข้าลักษณะจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินตามที่กำหนดไว้ใน รธน. หรืออาจเข้าลักษณะจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ ตาม รธน.มาตรา 263 ทั้งนี้ หาก ป.ป.ช.ตรวจสอบพบว่า น.ส.ชินณิชากู้ยืมเงินจากนายบรรณพจน์ 100 ล้านบาทจริง แต่ไม่แสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินดังกล่าว อาจต้องพ้นจากการเป็น ส.ส.และถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ด้านนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ พูดถึงเรื่องดังกล่าวว่า ไม่หนักใจ มีหลักฐานอะไรก็ว่ากันไป ขณะที่ น.ส.ชินณิชา ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ โดยบอกเพียงว่า ไม่รู้จักนายเรืองไกร และไม่ขอวิจารณ์อะไร เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจาก น.ส.ชินณิชาจะถูกตรวจสอบเรื่องปกปิดทรัพย์สินและหนี้สินโดยนายเรืองไกรแล้ว ทางด้านนายวีระ สมความคิด ประธานคณะกรรมการอำนวยการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น ยังได้เตรียมยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ด้วย เพราะมีข้อมูลว่านายสมชายถือหุ้นในบริษัทเอกชนเกิน 5% ไม่เท่านั้นนายวีระยังจะเข้าแจ้งความต่อตำรวจกองปราบปราม และ ป.ป.ช.ในสัปดาห์หน้าให้ดำเนินคดีนายสมชาย เนื่องจากขณะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ใช้อำนาจโดยมิชอบและติดสินบนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ภรรยาของตนเองในคดีซุกหุ้นภาคแรก.

“วีระ”ลั่น! แจ้งจับ“สมชาย”ติดสินบนตุลาการช่วย“แม้ว”สัปดาห์หน้า
“เรืองไกร” ยื่น ป.ป.ช.เชือด“ลูกสาวนายกฯ” จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สิน

กำลังโหลดความคิดเห็น