xs
xsm
sm
md
lg

แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ประจำวันที่ 27 พ.ค. 51

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วันนี้ (27พ.ค.) พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ น.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ และ น.ส.วีรินทร์ทิรา นาทองบ่อจรัส รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกันแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ดังนี้

ครม.หารือก่อสร้างรถไฟฟ้า 2 สาย วงเงิน 56,895 ล้านบาท - เร่งพัฒนาระบบคมนาคม

พ.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมครม.ว่า ที่ประชุมครม.ได้มีการหารือการก่อสร้างรถไฟฟ้า2 สาย จากแม่น้ำเจ้าพระยา ไปปากคลองตลาด ผ่านอรุณอัมรินทร์ ไปที่สถานีอิสรภาพ จากนั้นจะยกระดับผ่านสถานีท่าพระ ไปตามถนนเพชรเกษมถึงบางแค บริเวณที่ตัดกับวงแหวนรอบนอก และช่วงที่ 2 อีก 13 กิโลเมตร เป็นช่วงจากบางซื่อถึงท่าพระ เป็นการยกระดับทั้งหมด ไม่ได้ลงใต้ดินเลย ก็คือจะเริ่มจากรถไฟสถานีบางซื่อ และไปถึงประชาราษฎร์ สาย 2 ผ่านแยกบางโพ แล้วข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเลี้ยวซ้ายเข้าจรัญสนิทวงศ์ และไปสิ้นสุดที่สถานีท่าพระ ทั้ง 2 โครงการนี้ มีกรอบวงเงินทั้งสิ้น 56,895 ล้านบาท

เนื่องจากขณะนี้ น้ำมันแพงขึ้นทุกวัน อีกไม่กี่วันก็จะเห็นถึง 40 และขึ้นไป 50 ใน ครม.มีการพูดกันว่า น้ำมันอาจถึงบาร์เรลละ 200 เพราะฉะนั้น ครม.นอกจากจะมีการประหยัดแล้ว ที่สำคัญคือ เรื่องการเดินทาง ซึ่งต้องประหยัดน้ำมันเป็นอย่างยิ่ง

พ.ต.ท.วิเชียรโชติ กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานก็ได้ ออกเอทานอล 85% ออกมา ซึ่งต้องใช้กับรถยนต์ทั่วไป แต่ขณะเดียวกัน เรื่องการขนส่งมวลชน ซึ่งต้องใช้น้ำมันมาก ขณะนี้ท่านนายกรัฐมนตรีก็เร่งรัดทุกโครงการ ที่เกี่ยวกับเป็นโครงการรถไฟฟ้า และโครงการที่เป็นรถไฟราง เพราะรถไฟฟ้าใช้ไฟฟ้า ไม่ได้ใช้น้ำมัน ไฟฟ้าเราจะได้จากแหล่งพลังงานต่างๆ เช่น จากเขื่อน หรือใช้การเผาถ่านลิกไนต์ เหล่านั้นยังถูกกว่าที่จะใช้น้ำมัน แล้วน้ำขณะนี้เราจะซื้อพลังงานไฟฟ้าจากต่างประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านมาใช้ เพราะฉะนั้น ก็ให้เร่งรัดเรื่อง บรรดารถไฟฟ้าทั้งหมดให้เร็วที่สุด

นอกจาก 2 สายที่กล่าวมาแล้ว ยังมีการพัฒนาการก่อสร้างระบบรถไฟทางด่วน จากกรุงเทพฯไปสู่หัวเมืองหลักต่างๆ เพื่อให้คนที่อยู่ต่างจังหวัดเข้ามาทำงาน ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยสรุปคือ โครงการรถไฟฟ้าทั้งหมด โครงการรถราง รถไฟฟ้าและรถไฟที่ใช้รางทั่วประเทศ จะเร่งเพื่อให้สามารถขนส่งคนได้จำนวนมาก รวมทั้งสินค้าต่างๆ ด้วย อันนี้ก็ท่านนายกฯ ให้ความสนใจเป็นพิเศษ

ครม.มอบ ก.ทรัพยากรฯหามาตรการป้องกันการลับลอบทำลายป่าไม้

โฆษกฯรัฐบาลแถลงต่อว่า อีกเรื่องคือ เรื่องการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่ง นายกฯ ให้ความสนใจมาก เนื่องจากว่า เป็นพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ที่เรา ขณะนี้ ป่าเหลือเพียง 104.7 ล้านไร่ หรือเหลือเพียงร้อยละ 33 ของพื้นที่ประเทศ ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า หรือ คปป.ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็ดำเนินมาตรการเร่งด่วนไปหลายมาตรการ

อันแรกคือมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ ขึ้นมา 6 ชุด เพื่อจะลงไปทำงาน ทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่ ส่วนที่สอง คือการสนธิกำลังในการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า ในพื้นที่วิกฤต คือ พื้นที่ซึ่งมีการบุกรุกทำลายป่า มากเข้าก็ไปยึดครองพื้นที่ โดยที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

ขณะนี้ได้จัดชุดปฏิบัติการลาดตระเวนและตั้งจุดสกัด ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ประกอบกำลังกัน เป็นการสนธิกำลังระหว่าง เจ้าหน้าที่ฝ่ายป่าไม้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ทหาร และพื้นที่ที่เป็นรอยต่อระหว่างป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ และพื้นที่ป่าชายเลน และพื้นที่ต่างๆ นี้ จะเน้นมาตรการรื้อถอน และปลูกและฟื้นฟูสภาพ บริเวณป่าที่ถูกบุกรุกแผ้วถางทันที คือถ้าใครเข้าไปบุกรุก ก็จะไปรื้อถอน เช่น จะไปทำบ้านอยู่ ไปปลูกพืชทั้งหลายแหล่ ก็จะรื้อถอน และจะฟื้นฟูสภาพซึ่งถูกบุกรุกนั้น

นอกจากนั้น ในพื้นที่ ที่อยู่ในเขตเส้นทางคมนาคมทุกเส้นทาง ก็จะมีการหาข่าวเกี่ยวกับการลักลอบขนไม้ หรือของป่าที่มิชอบด้วยกฎหมาย จะมีการจัดตั้งชุดปฏิบัติการ หรือตั้งด่านตรวจหรือจุดสกัด ซึ่งขณะเดียวกันก็เช่นเดียวกัน จะใช้เจ้าหน้าที่ 4 ฝ่าย คือ ฝ่ายป่าไม้ ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และฝ่ายทหาร จะได้ร่วมกันทำงาน ไม่มีการเกี่ยงกัน

มอบดีเอสไอทำคดีป่าไม้เฉพาะคดีที่ผ่านคกก.และครม.เห็นชอบ

พ.ต.ท.วิเชียรโชติ แถลงต่อว่าขณะเดียวกัน เนื่องจากเดิม คดีด้านป่าไม้มีการสืบสวนสอบสวน ใช้ระยะเวลานาน ดังนั้น คณะกรรมการจึงเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ ก็ได้ให้เสนอ เป็นคดีพิเศษ ถ้าเป็นคดีพิเศษ จะให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นผู้สอบสวนดำเนินคดี ซึ่งคณะกรรมการคดีพิเศษเห็นชอบแล้ว คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น จะทำการสอบสวนได้ก็ต่อเมื่อ มีกฎหมายให้อำนาจไว้ท้ายพระราชบัญญัติ ซึ่งไม่เหมือนตำรวจ ซึ่งมีอำนาจการสอบสวนทุกคดี ตามประมวลกฎหมายอาญา แต่คดีพิเศษนั้นจะสอบสวนได้เฉพาะคดีที่ผ่านคณะกรรมการและผ่านความเห็นชอบของ ครม. แล้ว เนื่องจากความผิดเกี่ยวกับป่าไม้ ที่ดิน และทรัพยากรธรรมชาตินี้ เป็นเรื่องสำคัญ ก็เลยจะให้เป็นคดีพิเศษ ซึ่งทางกรมสอบสวนคดีพิเศษสามารถมีอำนาจในการสอบสวนได้

ส่วนเรื่อง เอกสารสิทธิ์ ที่ดินที่ทับซ้อนพื้นที่ป่าของกรมที่ดินนั้น จะมีการแก้ไข โดยขณะนี้ทางกรมที่ดินได้เสนอกฎหมายที่มีผลใช้บังคับแล้วคือ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน ฉบับที่ 11 พ.ศ.2551 ซึ่งกำหนดให้ผู้มีหลักฐาน ส.ค.1 ต้องมายื่นขอออกโฉนดที่ดินให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2551 - วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2553 ขณะนี้ผ่านมาได้ 2 เดือน

ดังนั้นผู้ที่มีเอกสารสิทธิ์ ส.ค. 1 จำเป็นจะต้องเอามาตรวจสอบ ซึ่งให้มาขอออกโฉนดภายใน 2 ปี ไม่เช่นนั้นถ้าพ้นกำหนด 6 กุมภาพันธ์ 2553 จะต้องนำคำสั่งศาลหรือคำพิพากษาที่ถึงที่สุดของศาลยุติธรรมมาใช้ประกอบในการขอออกโฉนดที่ดิน ขณะนี้ได้ประกาศไปแล้วก็เร่งรัดให้ดำเนินการ

โฆษกรัฐบาล กล่าวด้วยว่า จะมีความร่วมมือระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับกองทัพบก คือกองทัพบกจะมีทหารบกอยู่ทั่วประเทศ ในทุกจังหวัดทหารบก และตามภาคต่างๆ ดังนั้นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ จึงเห็นว่า ถ้าจะแก้ไขการบุกรุกทำลายป่า แต่เดิมเป็นเรื่องของกรมป่าไม้ ต่อไปนี้ทางทหารบกจะให้ความร่วมมือ

โดยจะดำเนินการด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้กับกองทัพบก จึงได้ตกลงจัดทำบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ และกำหนดให้มีพิธีลงนามร่วม ในวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2551 ณ ทำเนียบรัฐบาล ดังนั้นทางคณะรัฐมนตรีเร่งรัดเรื่องนี้ เรื่องเอกสารสิทธิ์ที่ดินซึ่งเข้าไปบุกรุกป่า กับการที่เข้าไปบุกรุกป่าแล้วทำให้พื้นที่เสียหาย

ขณะนี้สนธิกำลังกันทั้งประเทศแล้ว เพราะฉะนั้นจะไม่มีการเกี่ยงในการทำงาน หรือจะไม่มีการละเว้น ละเลย เพราะทางตำรวจ ทหาร พลเรือน เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ฝ่ายปกครอง ทั้ง 4 ฝ่าย เข้ามาร่วมกันแล้ว ดังนั้นมีความหวังว่า มาตรการเด็ดขาดครั้งนี้จะทำให้ผู้บุกรุกทำลายป่าลดจำนวนลง หรือผู้ที่ถูกบุกรุกแล้วจะถูกดำเนินคดีโดยเคร่งครัดและรวดเร็ว จะเอาพื้นป่ากลับมาให้กับประชาชนมากขึ้น เพราะป่าที่ถูกทำลายมันเกี่ยวข้องกับเรื่องโลกร้อน เกี่ยวข้องกับเรื่องน้ำ เกี่ยวข้องกับภูมิอากาศที่ปรวนแปรไป

ครม.รับทราบ ศอ.บต. รายงานผลการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า ปารีสฮาลาลฯ

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงว่า ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. รายงานผลการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า ปารีสฮาลาล เอ็กซ์โป 2008 ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบ ในงานมีบริษัทห้างร้านมาออกร้านแสดงสินค้าจำนวนทั้งสิ้น 555 บริษัท จาก 25 ประเทศ แบ่งเป็นสินค้า 5 กลุ่มคือ กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารที่เน้นเครื่องหมายการค้า กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหารที่เน้นเครื่องหมายการค้า พิซซ่า และพาสต้า ผลิตภัณฑ์อาหารกลุ่มเชื้อชาติ แล้วผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาล ศอ.บต.ส่งเข้าร่วมในกลุ่มที่ 5 สินค้าที่ส่งเข้าไปร่วม

มี 3 ตรา คือ ตราฮาลาบาร่า ประเภทขนมขบเคี้ยง ตราปานาเระ ประเภทอาหาร และตราตาบา ประเภทเครื่องดื่มบรรจุกระป๋องและบรรจุขวด ในพื้นที่การแสดง 36 ตารางเมตร ศอ.บต.จัดเป็นรูปศาลาไทยประยุกต์ มีกิจกรรมประกอบด้วย นิทรรศการสินค้า นิทรรศการแสดงงานวิชาการของศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล การนำเสนอแผ่นพับและวิดีทัศน์เรื่อง ศอ.บต. และสถานที่ท่องเที่ยวใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และกิจกรรมของศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล ตลอดจนซุ้มที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการเจรจาธุรกิจ สินค้าอาหารฮาลาลของไทยที่ส่งไปส่วนใหญ่เป็นอาหารที่เน้นส่วนประกอบจากธรรมชาติ หรือออร์แกนิก ฟู้ดส์ หรือไบโอฮาลาล ฟู้ดส์ รสชาติอาหารเป็นที่ยอมรับ

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ทำให้ผลที่ส่งไปได้รับตอบกลับมาดีเกินคาด จากตรงนี้ ศอ.บต.รายงานมาที่รัฐบาล รัฐบาลนอกจากเห็นชอบแล้วมีมติมอบหมายให้กับหน่วยงานของรัฐรับผิดชอบโครงการนี้ดำเนินการพัฒนาให้ดีขึ้นในปีต่อๆ ไป มอบกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงสาธารณสุข ทำหน้าที่พัฒนาวัตถุดิบ และวางระบบการผลิต การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานสินค้า มอบกระทรวงพาณิชย์ ดูแลเรื่องการตลาด มอบกระทรวงคมนาคม อำนวยความสะดวกการขนส่งสินค้าถึงปลายทาง

คือ อาหารฮาลาล ประเทศไทยมีพี่น้องไทยนับถือศาสนาอิสลามอยู่จำนวนหนึ่ง ในขณะเดียวกันในเวทีโลกก็จะมีพี่น้องที่นับถือศาสนาอิสลามอยู่จำนวนพอสมควร เรามองเห็นว่า ถ้าผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาลของเราที่ผลิตขึ้นเองในประเทศและมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับดีมากจากผู้บริโภค น่าจะเป็นการส่งเสริมอาชีพของพี่น้องไทยมุสลิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะเดียวกันน่าจะขยายผลเป็นเชิงการสร้างรายได้ให้กับประเทศในอนาคต ก็จะผนวกกันระหว่างการจัดการพัฒนาสร้างโอกาส สร้างรายได้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แล้วอาจจะขยายผลเป็นรายได้ของประเทศที่เป็นชิ้นเป็นอันอีกช่องทางหนึ่ง

ครม.หารือ เสนอความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น

นายณัฐวุฒิ แถลงต่อว่า คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเรื่องการเสนอความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น เพื่อส่งต่อไปที่สภาฯ เพื่อขอความเห็นชอบให้มีผลใช้บังคับต่อไป เรื่องนี้กระทรวงพาณิชย์เสนอต่อที่ประชุมว่า เนื่องจากอาเซียนและญี่ปุ่นได้มีการลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่นแล้ว โดยรัฐบาลชุดนี้ได้มอบหมายให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในฐานะผู้แทนรัฐบาล ลงนามความตกลงดังกล่าว เมื่อวันที่ 11 เมษายน ที่ผ่านมา โดยที่ความตกลงนี้จะมีผลผูกพันการค้าของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ จึงจำเป็นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนจะแสดงเจตนาให้ความตกลงเพื่อจะให้มีผลผูกพันในทางปฏิบัติต่อไป

ซึ่งการดำเนินการนี้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา 190 ทั้งวรรค 2 และวรรค 4 วรรค 4 บัญญัติว่า ให้การดำเนินการก่อนที่จะแสดงเจตนาให้มีผลผูกพัน กระทรวงพาณิชย์จะต้องเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับความตกลงต่างๆ ให้ประชาชนเข้าถึงรายละเอียดของความตกลงหลายช่องทาง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์รายงานว่า ได้ทำแล้ว เช่น จัดทำคู่มือเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ ให้ข้อมูลผ่านเว็บไซต์ จัดสัมมนา เป็นต้น สำหรับมาตรการแก้ไข หรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบนอกจากความตกลง จะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการป้องกันและเยียวยาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากความตกลง แล้วกระทรวงพาณิชย์ได้จัดตั้งกองทุนเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า หรือที่เรียกว่า กองทุนเอฟทีเอ เพื่อให้ความช่วยเหลือในการปรับตัวและปรับเปลี่ยนของผู้ผลิตและผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมการเกษตร อุตสาหกรรมและบริการให้สามารถแข่งขันได้ด้วย

คำว่า เยียวยา นายกรัฐมนตรีเกิดข้อสังเกตและซักถามรองอธิบดีกรมการค้าระหว่างประเทศ นายกรัฐมนตรีถามว่า ข้อตกลงนี้จะส่งผลกระทบหนักหน่วงจนถึงขึ้นต้องเยียวยากันหรืออย่างไร ได้รับคำตอบว่า คำว่า เยียวยา หมายความว่า รัฐบาลจะอนุมัติงบประมาณให้กระทรวงพาณิชย์ 140 ล้านบาท สำหรับผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากข้อตกลงนี้ได้มาขอคำปรึกษา แล้วงบประมาณนี้กระทรวงพาณิชย์จะเอาไปจ้างจ่ายให้กับบริษัทที่ปรึกษาต่างๆ เพื่อหาแนวทางในการปรับปรุง หรือปรับเปลี่ยนการประกอบอาชีพ การผลิตให้กับผู้ผลิตในประเทศที่อาจจะได้รับผลกระทบจากข้อตกลง นี่คือสิ่งที่จะดำเนินการในโครงการนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบและเห็นชอบ

ครม.เห็นชอบหลักการร่างประกาศก.คลังเรื่อง การยกเว้นอากรและลดอากรศุลกรฯ

รองโฆษกฯแถลงต่อว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง การยกเว้นอากรและลดอากรศุลกรสำหรับของที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศสมาชิกใหม่อาเซียน ฉบับที่....เรื่องนี้มีการพูดคุยและมีมติในที่ประชุมอย่างไม่เป็นทางการในที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน เมื่อปี 44 และมีผลปฏิบัติต่อเนื่องมาแล้ว เรื่องที่จะยกเว้นและลดอัตราอากรศุลกากรสำหรับของที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศสมาชิกใหม่อาเซียน ประกอบด้วย ลาว กัมพูชา พม่า และเวียดนาม ตั้งแต่ปี 44 วิธีปฏิบัติคือ กลุ่มประเทศสมาชิกใหม่อาเซียนจะส่งบัญชีรายชื่อสินค้ามาให้ประเทศไทยพิจารณาว่าจะยกเว้นหรือลดอัตราอากรภาษีสินค้าชนิดใดได้บ้าง และพิจารณาปีต่อปี แต่เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2549 เพิ่งเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไทย โดยกระทรวงการคลัง ยกเว้นอากรและลดอัตราภาษีศุลกากร

สำหรับประเทศสมาชิกใหม่ในอาเซียน โดยมีผลบังคับใช้ผูกพันตั้งแต่ 1 มกราคม 2550 ไปจนถึง 31 ธันวาคม 2552 สำหรับปี 2551 จะมีรายการสินค้าคงเดิมเหมือนที่อนุมัติไว้ตั้งแต่ 31 ธันวาคม 2549 รายการดังนี้ ของกัมพูชา 15 รายการ เช่น มันสำปะหลัง เมล็ดฝ้าย อาหารปรุงแต่ง ของพม่า 13 รายการ เช่น กุ้ง หินปูถนน เฟอร์นิเจอร์ที่ทำด้วยไม้ไผ่หรือหวาย ของลาว 10 รายการ เช่น รากไม้ พืชผัก ใบพลู และสิ่งปรุงแต่งอื่นๆ ที่ใช้ซักล้างหรือฟอกขาว เป็นต้น

ครม.พิจารณาทบทวนมติครม.เมื่อ14 มี.ค.49 เรื่องการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลฯ

นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเรื่องการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 เรื่องการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลให้กับชาวประมงชายฝั่ง เมื่อปี 49 มีมติเรื่องนี้แล้ว แต่ตั้งแต่ปี 49 จนถึงขณะนี้น้ำมันยังไม่ลดลงเลย เพราะฉะนั้นมติ ครม.เลยเห็นชอบให้มีการปรับข้อความจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 49 วันที่ 14 มีนาคม ให้เพิ่มเติมข้อความ ดังนี้ กรณีพื้นที่ที่มีปัญหาในการให้บริการจำหน่ายน้ำมันให้ชาวประมง เนื่องจากสภาพภูมิประเทศ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ขององค์การสะพานปลา ในการจะนำน้ำมันในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเล/อาณาเขต ให้ชาวประมงชายฝั่งเข้ามาจำหน่ายบริเวณใกล้ฝั่ง หรือสถานีที่องค์การสะพานปลากำกับดูแลบนฝั่ง คือปัญหาของพี่น้องประมง โดยเฉพาะเรือประมงขนาดเล็ก คือ น้ำมันม่วงขายห่างชายฝั่ง 5 ไมล์ทะเล เรือประมงเล็กชายฝั่งมีปัญหา กว่าจะออกจากฝั่งไปเติมน้ำมัน อยากให้ขยับเข้ามาใกล้ๆ หรือให้บริการจากฝั่ง ซึ่งรัฐบาลเห็นชอบและปรับมติคณะรัฐมนตรี

โดยกระทรวงพลังงานให้ความเห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวต้องกำหนดมาตรการให้ชัดเจน โดยเฉพาะกรอบระยะเวลาของโครงการการกำหนดราคาที่รัฐควรจะช่วยเหลือจ่ายเงินชดเชย และความแตกต่างของคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ที่ใช้ในโครงการ กับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ จะสร้างปัญหาทางด้านการจัดการในระบบการค้าน้ำมันค่อนข้างมากหากจัดการไม่ดี เรื่องนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าน้ำมันม่วงที่ใช้กับเรือประมง มีราคาถูกกว่าดีเซลปกติ ลิตรละ 3-4 บาท น้ำมันเขียว 4-5 บาท ทำไมไม่เอามาใช้กับรถยนต์ หรือยานพาหนะทางบก ซึ่งได้คำตอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ว่า น้ำมันที่ใช้ในทะเลเป็นน้ำมันไฮท์ซันเฟอร์ และไม่เหมาะกับเครื่องยนต์ที่จะใช้ในยานพาหนะทางบก ถ้านำมาใช้ร่วมกันจะทำให้เครื่องยนต์ในยานพาหนะทางบกรับไม่ไหว อาจจะเสียหายกับเครื่องยนต์ได้ จากประเด็นที่กระทรวงพลังงานให้ข้อสังเกต กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งรับผิดชอบโครงการนี้ ได้จัดกระบวนการบริหารโครงการและกำหนดกรอบระยะเวลาในการดำเนินการดังนี้

ประเด็นแรก คือ เรือประมงที่สามารถเข้ามาซื้อน้ำมันในโครงการน้ำมันม่วงได้ต้องเป็นเรือประมงที่ขึ้นทะเบียนกับกรมประมง แสดงความจำนงในการขอเข้าร่วมโครงการ โดยอยู่ภายใต้การดูแลของกรมประมง ร่วมกับสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย

ไฟเขียวจำหน่ายน้ำมันม่วง ได้ 6 เดือนไม่เกิน 15 ล้านลิตร

สถานีบริการน้ำมันที่จะเข้าร่วมโครงการน้ำมันม่วง ต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การสะพานปลา และต้องรายงานผลการจำหน่ายน้ำมันให้แก่สมาชิกโครงการ ต่อคณะกรรมการกำกับดูแลการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเรือประมงระดับจังหวัด พิจารณาตามความเหมาะสม เรื่องนี้ต้องมีการกำหนดกรอบระยะเวลา อย่างที่กระทรวงพลังงานได้ตั้งข้อสังเกตไว้ เพราะถ้าไม่กำหนดกรอบระยะเวลาอาจจะมีปัญหาในขั้นตอนการปฏิบัติ เพราะฉะนั้นกรอบระยะเวลาของโครงการ ตั้งไว้ในชั้นนี้ 6 เดือน โดยในโครงการจะมีน้ำมันมาจำหน่ายให้กับเรือประมง ไม่เกิน 15 ล้านลิตรต่อเดือน เพราะฉะนั้นใน 6 เดือน จะมีน้ำมันแบบนี้จำหน่ายให้พี่น้องชาวประมงไม่เกิน 90 ล้านลิตร

องค์การสะพานปลา ซึ่งได้รับมอบหมายให้กำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาพื้นที่จำหน่ายน้ำมันใกล้ฝั่ง หรือบนฝั่ง ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ดังนี้ พื้นที่ที่มีเรือขนาดเล็กที่ไม่สามารถออกไปเติมน้ำมันในทะเลได้ และสมาคมประมง สหกรณ์ประมง กลุ่มเกษตรกรทำประมงในพื้นที่ ร้องขอให้มีการจ่ายน้ำมันบนฝั่งหรือใกล้ฝั่ง ถ้าอย่างนี้ได้รับการจำหน่ายน้ำมันในโครงการนี้ พื้นที่ที่อยู่ใกล้ชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เรือสถานีจำหน่ายไม่สะดวกและปลอดภัยในการจะออกไปลอยลำเพื่อจำหน่ายน้ำมัน นี่ก็เข้าหลักการ พื้นที่ที่เป็นเกาะห่างจากแผ่นดินใหญ่ ซึ่งชาวประมงไม่สะดวกและปลอดภัยในการนำเรือประมงเข้าเทียบกับเรือสถานีบริการน้ำมัน นี่ก็เข้าหลักการ พื้นที่เฉพาะที่ทางราชการหรือส่วนงานที่เกี่ยวข้องมีการร้องขอให้มีการจำหน่ายในพื้นที่ที่กำหนดเพื่อความมั่นคง และบรรเทาความเดือดร้อนของชาวประมง โดยองค์การสะพานปลาจะนำรายชื่อ และสถานที่ตั้งของสถานีดังกล่าว เสนอคณะกรรมการประสานงานโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเล/อาณาเขต ให้ชาวประมงชายฝั่งเพื่อทราบ และแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลดำเนินการต่อไป

ครม.รับทราบผลการประชุม ครม.เศรษฐกิจ

น.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงว่า ที่ประชุมครม. วันนี้ ได้นำผลการประชุมครม.เศรษฐกิจดังกล่าว เข้าสู่การประชุมของคณะรัฐมนตรีวันนี้ ซึ่งคณะรัฐมนตรีก็เห็นชอบผลการประชุมคณะรัฐมนตรีด้านนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตพลังงาน โดยมีการรายงานถึงภาวะเศรษฐกิจภายในไตรมาสแรกของปี 2551 แล้วในส่วนของมาตรการประหยัดพลังงานและการสร้างรายได้ให้กับประชาชน

โดยสรุปข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทย ในไตรมาสแรก ตัวเลขของ จีดีพี ก็ขยายตัวร้อยละ 6.0 ซึ่งสูงกว่าการขยายตัวในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 5.7 ก็มีปัจจัยสนับสนุน ในเรื่องของ รายได้เกษตรกรที่เพิ่มขึ้น มีเรื่องการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และมีเรื่องการขยายตัวของการส่งออก ก็ยังดีอยู่ ในส่วนการท่องเที่ยว การโรงแรม ภัตตาคารต่างๆ ก็ยังปรับตัวดีขึ้น ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจดีขึ้น แต่มีข้อจำกัดและข้อควรระวัง คือ เรื่องราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นมาก อย่างที่เราทราบกันอยู่ รวมถึงดุลบัญชีเงินสะพัดก็ ที่เริ่มลดลง เนื่องมาจากการขาดดุลการค้า อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น เพราะฉะนั้น เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ ก็ได้มีการเสนอเรื่องของมาตรการแก้ไขวิกฤตพลังงาน และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ประหยัดพลังงานทุกด้านในภาคส่วนราชการ

ในส่วนของมาตรการประหยัดพลังงาน และการส่งเสริมพลังงานทดแทนนั้น หลักๆ คือ ส่วนของการรณรงค์ประหยัดพลังงานก็จะให้ทุกส่วนราชการ เป็นตัวอย่าง ที่จะประหยัดพลังงานในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปิดไฟที่ไม่จำเป็น เรื่องการปรับอุณหภูมิแอร์ ให้สูงขึ้น 26 องศาเซลเซียส หรือ การเปลี่ยนรถยนต์ของราชการไปใช้ก๊าซเอ็นจีวี เป็นต้น และในส่วนการขนส่งมวลชน ก็ให้กระทรวงคมนาคมไปปรับเปลี่ยนรถประจำทาง ขสมก.ทั้งระบบ ให้เป็นรถ เอ็นจีวี จำนวน 6,000 คันด้วยกัน และให้จัดทำเรื่อง ระบบการจัดให้มีตั๋วโดยสารราคาประหยัด สำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย รวมถึงนักเรียน นักศึกษา ผู้สูงอายุด้วย และในส่วนการที่จะให้รถแท็กซี่ เปลี่ยนไปใช้ก๊าซเอ็นจีวี ก็เป็นเรื่องที่กระทรวงพลังงานร่วมกับ ปตท.อยู่แล้ว ที่จะให้รถทุกคันมีการติดตั้ง เอ็นจีวี ฟรี สำหรับเฉพาะในรถแท็กซี่

ในส่วนของการขยายสถานีบริการ ปั๊ม เอ็นจีวี นั้น ก็ให้เร่งรัดดำเนินการ ซึ่งตามแผนงานในเดือน กรกฎาคมนี้ ก็จะมีไม่น้อยกว่า 260 สถานี รวมทั้งจะมีการขยายเพิ่ม โดยขอให้ส่วนราชการที่มีพื้นที่ ที่สามารถจัดตั้งปั๊มก๊าซเอ็นจีวีได้ ก็ให้ความร่วมมือในการก่อสร้างสถานี เอ็นจีวี ด้วย เพื่อรองรับความต้องการก๊าซ เอ็นจีวี ที่มีไม่ต่ำกว่าวันละ 600 ลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เรื่องการปรับรถยนต์ ให้ไปใช้ก๊าซ เอ็นจีวี ก็ภายในสิ้นปีนี้ จะให้มีจำนวน 122,370 คัน

น.ส.ศุภรัตน์ แถลงด้วยว่า นอกจากนี้ ในส่วนของกระทรวงการคลัง ก็ให้ไปขยายระยะเวลาในการลดภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต และภาษีเงินได้ ให้กับชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ เครื่องยนต์ ที่เป็นการส่งเสริมเรื่อง เอ็นจีวี จากเดิมที่เคยได้รับการยกเว้นอยู่แล้ว ก็ขยายออกไป 4 ปี รวมทั้ง เรื่องการส่งเสริมพลังงานทดแทน ตรงนี้ ก็เห็นชอบด้วยหลักการส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลล์ อี 85 เรื่องนี้ กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นั้น ไปจัดทำแผนส่งเสริมการผลิตและการใช้ อี 85 รวมถึงในมาตรการลดหย่อนภาษีต่างๆ ด้วย นั่นก็เป็นในเรื่องการส่งเสริมพลังงานทดแทน ในเรื่องมาตรการดูแลรายได้ ก็ให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงบประมาณไปพิจารณา เพิ่มจำนวนเงิน และขอบข่ายผู้ที่ได้รับเบี้ยยังชีพแก่ผู้สูงอายุ และผู้พิการ เพื่อที่จะช่วยเหลือในภาวะค่าครองชีพสูงแบบนี้

นอกจากนี้ ก็ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีนั้น ได้ไปเร่งรัดการใช้งบประมาณเอสเอ็มแอล ในการที่จะลงไปกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชน ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการนั้น ก็ให้เร่งรัดโครงการ FIX IT CENTER เพื่อที่จะให้บริการซ่อมแซมเครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆ และตรวจสอบมาตรฐานสินค้าของชุมชน เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของคนชนบท

นอกจากนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมก็ให้พิจารณาเร่งรัดเรื่องมาตรการสินเชื่อ เอสเอ็มอี ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจ ในส่วนการจำหน่ายสินค้าราคาประหยัด ทางกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลัง จะดำเนินโครงการธงฟ้า นำสินค้าอุปโภค บริโภคต่างๆ ไปจำหน่ายให้กับประชาชนในจุดที่กระจายได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ทางกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการเกษตร ก็จะร่วมกัน ติดตามดูแลราคาสินค้าเกษตรต่างๆ ให้ได้รับความเป็นธรรม ช่วยเหลือเกษตรกร ในการสร้างรายได้

มาตรการหลักๆ อีกด้านหนึ่ง เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็คือ การเร่งรัดงบประมาณ และโครงการลงทุนของภาครัฐ ตรงนี้ก็ให้กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณไปเร่งการใช้งบประมาณของหน่วยงานรัฐ ให้ได้ตามเป้าหมายเบิกจ่ายที่ ร้อยละ 94 และรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 96 และมีการทบทวนและปรับราคากลางให้มีความเหมาะสมกับอัตราเงินเฟ้อ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการจัดซื้อจัดจ้าง และการประมวลของภาครัฐ เพราะบางครั้งราคากลางที่ต่ำไป ก็ไม่มีใครยื่นซองประมูล ก็ให้ไปปรับราคากลางเพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ ก็เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง ปรับเปลี่ยนการขนส่งจากระบบถนน เป็นระบบรางให้ได้ร้อยละ 20 โดยเริ่มต้น 3 เส้นทาง คือ ลาดกระบัง แหลมฉบัง นครสวรรค์ กรุงเทพฯ และนครราชสีมา ที่บัวใหญ่ ไปแหลมฉบัง และจัดหาพื้นที่สำหรับการขนถ่ายสินค้า กำหนดตารางเดินรถ และควบคุมให้ตรงตามเวลา อันนี้จะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในด้านการขนส่ง แทนที่ขนส่งด้วยรถบรรทุก ก็เป็นขนส่งทางราง ใช้รถไฟ ก็มีอีกหลายมาตรการ ทางกระทรวงอุตสาหกรรม ก็จะต้องไปเร่งรัดในเรื่องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างประเทศ จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อจะส่งเสริมการลงทุน

รองโฆษกฯ แถลงต่อว่า ที่คณะรัฐมนตรีให้ความสำคัญ เกี่ยวกับเรื่องการหารายได้ จากการท่องเที่ยว ก็ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปเร่งรัดมาตรการที่จะยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสิ่งแวดล้อม เรื่องความสะอาด ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ซึ่งเรื่องนี้ มอบหมายให้ รองนายกรัฐมนตรี นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ไปพิจารณาเกี่ยวกับงบประมาณที่จะร่วมสนับสนุน กับงบส่วนท้องถิ่น เพราะทางกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาเอง ต้องถือเป็นเจ้าภาพหลักในการที่จะส่งเสริมเรื่องการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง เพราะตรงนี้จะเป็นรายได้ ที่เข้ามาโดยไม่ได้ลงทุนมาก เหมือนโครงการเมกะโปรเจกต์ ก็ให้ไปเร่งรัดการท่องเที่ยว

ครม.ห่วงตัวเลขเงิยเฟ้องฟุ่งให้หลีกเลี่ยงบิดเบือนกลไกตลาด

รองโฆษกฯ แถลงต่อว่า ที่ประชุมเห็นว่า มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ ด้านความเชื่อมั่น ในเรื่องอัตราเงินเฟ้อ มีการเก็งกำไรต่างๆ เพราะฉะนั้น มาตรการเศรษฐกิจต่างๆ ที่ออกมานั้น ต้องบูรณาการของหลายกระทรวง ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงมาตรการต่างๆ ที่ออกมา ก็ให้หลีกเลี่ยงการบิดเบือนกลไกตลาด ซึ่งจะมีผลกระทบโดยตรง ต่อตลาดเงิน ตลาดทุน และความเชื่อมั่น ของการลงทุนของประเทศ เพราะฉะนั้น วันนี้ ครม.อนุมัติตามกรอบมาตรการต่างๆ ที่ได้กล่าวไปแล้ว และมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับมาตรการนี้ไปเร่งรัด ในการปฏิบัติ และจะมีการติดตามความก้าวหน้าของมาตรการต่างๆ ในการประชุม ครม.เศรษฐกิจ ทุก 2 สัปดาห์ อันนี้ ก็เป็นเรื่องที่ วันนี้มีการพูดถึงกันมาก ในประเด็นเศรษฐกิจยุคน้ำมันแพงแบบนี้

นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้รายงาน ดัชนีอุตสาหกรรมของเดือน มีนาคม 2551 ซึ่งเพิ่มขึ้น จากเดือน กุมภาพันธ์ ร้อยละ 6.3 และในส่วนของดัชนี ผลผลิตอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับเดือน กุมภาพันธ์ 2551 จะอยู่ในกลุ่มของการผลิตยานยนต์ การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม การผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์ และส่วนประกอบของอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตเครื่องจักรสำนักงานต่างๆ เป็นสาเหตุที่ทำให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นในหมวดต่างๆ เหล่านี้

ครม.เห็นชอบร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย

น.ส.ศุภรัตน์ แถลงต่อว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำตาลทรายขาว และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ ภายในราชอาณาจักร เข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ..... โดยคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย หรือ กอน.มีการประชุมไปเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม มีการกำหนดระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดเก็บเงินจากการจำหน่ายน้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายบริสุทธิ์ เข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติในการนำเงินรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการปรับราคาจำหน่ายน้ำตาลทรายในประเทศ ส่งเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย และมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ดำเนินการตามขั้นตอนของการออกกฎหมายต่อไป

ครม.รับทราบ ก.ทรัพยากรฯรายงานสถานการณ์กรณีพิบัติภัย

รองโฆษกฯแถลงด้วยว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รายงานสถานการณ์กรณีพิบัติภัย เข้าสู่การประชุม ครม.เพื่อรับทราบเป็นข้อมูล ตามรายงาน แจ้งถึงสภาพอากาศที่ยังคงมีฝนตกทั่วทุกภาคของประเทศ ยังมีพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม และน้ำป่าไหลหลาก โดยพื้นที่เสี่ยงภัยระยะนี้ที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ จ.แม่ฮ่องสอน อ.แม่ลาน้อย จ.พิษณุโลก อ.วังทอง จ.ขอนแก่น อ.ซำสูง จ.แพร่ อ.เมือง และอ.วังชิ้น ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีการติดตามสภาวะอากาศอย่างใกล้ชิด รวมทั้งสภาพการอุ้มน้ำของพื้นที่เสี่ยงต่างๆ ต่อดินถล่ม ทั้ง 51 จังหวัดของประเทศไทย เพื่อที่จะเตรียมรับมือกรณีที่จะมีดินถล่มเกิดขึ้น รวมทั้งมีอาสาสมัครเครือข่ายเฝ้าระวังตามหมู่บ้านต่างๆ อยู่แล้ว

ครม.มติเห็นชอบ ก.วิทยาศาสตร์ฯ -ศึกษา-สธ. เสนอแต่งตั้ง-คณะก.ก.และก.ก.ผู้ทรงคุณวุฒิ

ด้าน น.ส.วีรินทร์ทิรา นาทองบ่อจรัส แถลงว่า ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพิ่มเติม โดย ครม.มีมติแต่งตั้ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ และนายมนตรี โสตางกูล เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านบริหารธุรกิจ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2551 เป็นต้นไป

ขณะที่กระทรวงสาธารณสุข ได้นำเสนอการแต่งตั้งกรรมการอื่น ในคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม เพิ่มเติม ครม.จึงได้มีมติแต่งตั้ง นายนรา นาควัฒนานุกูล เป็นกรรมการอื่น ในคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม เพิ่มเติม
ให้คณะกรรมการองค์การเภสัชกรรมชุดใหม่มีจำนวนเกินกว่า 11 คน แต่ไม่เกิน 15 คน ตามพระราชบัญญัติองค์การเภสัชกรรม พ.ศ.2509 และพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2518 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 56 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2534

รองโฆษกฯ แถลงต่อว่า ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีการเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครู และบุคลากรทางด้านการศึกษา ซึ่ง ครม.ได้มีมติแต่งตั้งนายวาสนา ไชยศึก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสวัสดิการสังคม นางสุมิตรา จูศิริวงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารธุรกิจ นายธีระพันธ์ พุทธิสวัสดิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2551 เป็นต้นไป

การเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ซึ่งนำเสนอโดยกระทรวงวัฒนธรรม วันนี้ ครม.จึงมีมติแต่งตั้ง ศ.อมรา พงศาพิชญ์ ผู้เชี่ยวชาญสาขาการบริหาร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร แทน ศ.เกียรติคุณ คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ ซึ่งลาออก

ในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอให้มีการแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์กาสวนสัตว์ โดย ครม.ได้มีมติแต่งตั้งนายดุสิต เขมะศักดิ์ชัย และนายโสภณ ดำนุ้ย เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนสัตว์ พ.ศ.2497 ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ครม.มีมติ เป็นต้นไป

ครม.มีมติแต่งตั้งขรก.ระดับ10 ก.พาณิชย์ และกก.ผู้ทรงคุณวุฒิฯก.เกษตรฯ

น.ส.วีรินทร์ทิรา แถลงด้วยว่า นอกจากนี้ มีการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ระดับ 10 เสนอโดยกระทรวงพาณิชย์ ครม.มีมติแต่งตั้งนายวิจักร วิเศษน้อย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งรองธิบดี นักบริหาร 9 กรมการค้าต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ นักวิชาการพาณิชย์ 10 ชช. สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์

ในส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน ตามพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ.2551 โดย ครม.มีมติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน ตามพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ.2551 จำนวน 5 คน มีรายชื่อดังต่อไปนี้
1. ศ.พิเศษ สันทัด โรจนสุนทร
2. นายสมเจตน์ จันทวัฒน์
3. นายชัยสิทธิ์ เอนกสัมพันธ์
4. นายสำราญ สมบัติพานิช
5. นายนพดล เภรีฤกษ์

ครม.รับทราบแจ้งยืนยันคกก.ตามที่ครม.มีมติแต่งตั้งไปแล้ว

นอกจากนี้ มีการแจ้งยืนยันคณะกรรมการต่างๆ ที่ ครม.ได้มีมติแต่งตั้งไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งได้อนุมัติให้คณะกรรมการต่างๆ ที่ ครม.แต่งตั้งไว้ จำนวนทั้งสิ้น 251 คณะ ไม่รวมถึงคณะกรรมการที่ ครม.แต่งตั้งไว้ตามระเบียบต่างๆ หรือตามกฎหมายหนึ่งกฎหมายใด หรือคณะกรรมการที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งไว้ เพื่อที่จะให้คงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2551

ซึ่งกรอบระยะเวลาที่ผ่านมานี้ได้มีการกำหนดให้กระทรวง กรม พิจารณาถึงความสำคัญและความจำเป็นในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ พิจารณาถึงความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน รวมถึงการเกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อการปฏิบัติงานของคณะกรรมการที่ผ่านมาด้วย

หลังจากนั้นให้แจ้งยืนยันไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2551 ว่าจะให้คณะกรรมการใดคงอยู่ หากว่าพ้นกำหนดเวลาที่ได้กำหนดไว้แล้วให้ถือว่า คณะกรรมการที่กระทรวง กรม ไม่ได้ยืนยันให้คงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เป็นอันสิ้นสุดลง วันนี้ที่ประชุมครม.ได้มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณา และมีการแจ้งยืนยันคณะกรรมการชุดต่างๆ ในส่วนของคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และในส่วนของกระทรวงแรงงานด้วย โดยมีรายละเอียดคือ

ในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ คณะรัฐมนตรีมีมติให้คณะกรรมการ 4 คณะ ปฏิบัติงานต่อไป ประกอบไปด้วย คณะกรรมการแห่งชาติเพื่อการวิจัยและพัฒนาระบบพฤติกรรมไทย คณะกรรมการโครงการความร่วมมือการวิจัยระหว่างไทยกับญี่ปุ่น คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการประสานงานของสภาสหภาพวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ หรือ ไอซีเอสยู ไทย และคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อพัฒนางานเลี้ยงและใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์

ส่วนของกระทรวงแรงงานมีการยืนยันให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ประกอบด้วย คณะกรรมการต่างๆ 7 คณะ คือ คณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อปรับปรุงการจัดประเภท มาตรฐานอาชีพ และอุตสาหกรรม คณะกรรมการจัดทำข้อมูลกำลังแรงงาน การมีงานทำ และการว่างงาน คณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ คณะกรรมการกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน คณะกรรมการส่งเสริมความปลอดภัยในการทำงาน คณะกรรมการส่งเสริมการแรงงานสัมพันธ์ และคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น