xs
xsm
sm
md
lg

แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 15 ม.ค.51

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วันนี้( 15 ม.ค.) นายไชยา ยิ้มวิไล โฆษกรัฐบาล พร้อมด้วย ร.อ.ประชาสัณห์ ชนะสงคราม และนายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกฯ ร่วมกันแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ดังนี้

ครม.เห็นชอบต่อเวลาพรก.ฉุกเฉินในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
นายไชยา แถลงว่า ในเรื่องแรกคณะรัฐมนตรีเห็นชอบทางสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เสนอก็คือขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นะครับ มีทั้งหมดอยู่ 3 ประเด็นด้วยกัน ก็คือ เป็นเรื่องประกาศการขยายระยะเวลา ในเขตที่มีความร้ายแรง จ.นราธิวาส ปัตตานี แล้วก็ยะลานะครับ ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ทุกอำเภอของ จ.นราธิวาส ปัตตานี จ.ยะลา ออกไปอีกเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่มีผลตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2551 เป็นต้นไป 2.เป็นการประกาศให้คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง มีผลบังคับใช้มีสาระสำคัญก็คือ ให้บรรดาในการประกาศของคณะรัฐมนตรีกำหนดขึ้น ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงใน 3 จังหวัดชายแดน และตามประกาศจัดตั้งหน่วยงานพิเศษ เพื่อปฏิบัติการตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ลงวันที่ 16 มกราคม 2550 นะครับ ยังมีผลบังคับใช้ต่อไปจนกว่า คณะรัมนตรีจะกำหนดเป็นอย่างอื่น

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคมเป็นต้นไป ส่วนรายละเอียดในข้อที่ 3 จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันนะครับ โดยสรุปแล้วก็หมายความว่า เป็นการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเวลา 3 เดือนตั้งแต่ 20 มกราคมเป็นต้นไป ทุกอำเภอใน จ.นราธิวาส ปัตตานี และยะลานะครับ เรื่องที่ 2 ค่อนข้างไม่ค่อยสบายใจที่จะแถลงข่าว ได้มีการปรึกษาผู้ใหญ่ ก็ปรากฏว่า ให้มีการพิจารณาประกาศพื้นที่ 4 อำเภอครับ ก็คือ อ.เทพา อ.จะนะ อ.นาทวี และอ.สะบ้าย้อย ของ จ.สงขลา เป็นพื้นที่ย่านอันตรายนะครับ ซึ่งก็มีข้อสังเกตมาจากหน่วยงานหลายแห่งด้วยกันนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะมีเดี๋ยวขออีกครั้งนะครับ ประกาศให้ อ.เทพา อ.จะนะ อ.นาทวีป และ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เป็นพื้นที่ย่านอันตรายเพิ่มเติมนะครับ ปัญหาสำคัญก็คือ สาระสำคัญของเรื่องก็คือ สถานการณ์การก่อความไม่สงบในพื้นที่ 4 อำเภอ ของ จ.สงขลา ก็มีเจ้าหน้าที่ของรัฐ และราษฎรจำนวนไม่น้อย ที่ได้รับบาดเจ็บ ก็เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบ จึงมีการประกาศให้เป็นพื้นที่ย่านอันตราย มีการอภิปรายพอสมควรในกรณีถึงภาพลักษณ์ ผลกระทบเรื่องเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ก็มีการอนุมัติให้มีการประกาศพื้นที่ 4 อำเภอ

ครม.เห็นชอบเป้าหมายมาตรฐานขั้นต่ำการบริการสาธารณะ
นายไชยา แถลงว่า มีการพิจารณาเรื่องเป้าหมายมาตรฐานขั้นต่ำการบริการสาธารณะ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมประสิทธิภาพการให้บริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแก่ประชาชน ทาง ครม.เห็นชอบการที่คณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้เสนอ มีรายละเอียด คือ 1.เห็นชอบเป้าหมายมาตรฐานขั้นต่ำการบริการสาธารณะเพื่อสนับสนุนส่งเสริมประสิทธิภาพการให้บริการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแก่ประชาชน

กท.วิทย์ฯเสนอความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ฯระหว่างอาเซียน-สหรัฐ
นายไชยา แถลงว่า เรื่องของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็มีการนำเสนอให้ทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ได้รับมอบอำนาจในการเป็นผู้ร่วมลงนามในความตกลง ซึ่งในกรณีนี้เป็นเรื่องที่สำคัญนะครับ ที่จะพัฒนาทางด้านความรู้ และการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.) เป็นเพียงเสนอว่าให้ประกาศเท่านั้นเป็นพื้นที่ย่านอันตรายเพิ่มเติม แต่ไม่ได้มีการกำหนดหรือไม่ได้มีการเสนอว่าจะให้มีการกำหนดว่าเป็นพื้นที่ที่ต้องประกาศสภาวะฉุกเฉิน หรืออะไรทั้งสิ้น เป็นเพียงแต่บอกว่าเป็นพื้นที่ย่านอันตรายเพิ่มเติมจากเดิมที่ต่อจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

นายไชยา กล่าวว่า ตนไม่สามารถอธิบายได้ว่าจากข้อมูลที่มาที่นี่ เหตุผลที่เป็นพื้นที่อันตรายเพิ่มเติม เพราะว่ามีในเรื่องของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ราษฎร ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตจากเหตุการณ์ไม่สงบ เป็นเพียงแต่ประกาศว่าเป็นพื้นที่ย่านอันตราย ถ้าปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส จะมีคณะกรรมการพิจารณาบำเหน็จความชอบ ค่าทดแทน และการช่วยเหลือพิจารณา เพื่อเป็นมาตรการสร้างขวัญ แรงจูงใจ บำรุงขวัญส่งเสริมกำลังใจกับเจ้าหน้าที่ครอบครัว และทายาทไว้เป็นบำเหน็จความชอบไว้หลายประการก็เป็นเรื่องของสิทธิเท่าเทียมใน 4 อำเภอเพิ่มเติม

ด้านนายประชาสัณห์ แถลงว่า เรื่องที่ อ.ไชยา ชี้แจงไปเมื่อสักครู่จะเกี่ยวข้องกับสวัสดิการสิทธิเกี่ยวกับกำลังพลในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เรารู้สึกว่าเหตุการณ์ที่ 4 อำเภอ จังหวัดสงขลา เกิดความรู้สึกเลวร้าย แต่อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ย่อมมีความเสี่ยงเท่าเทียมกันในการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เหล่านั้น ฉะนั้นเพื่อให้เกิดขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะเท่าเทียมกันในพื้นที่ที่มีโอกาสเสี่ยงอันตรายได้เหมือนกันสิทธิต่างๆ ก็พยายามดำเนินการให้เท่าเทียมกันในระดับการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ซึ่งสิทธิอย่างไรนั้นมีเอกสารบอกไว้ค่อนข้างละเอียดพอสมควร

ครม.พิจารณาอนุมัติเงินเดือน2 ขั้นเป็นกรณีพิเศษสำหรับจนท.ปฏิบัติงานในคมช.
นายประชาสัณห์ แถลงว่า การพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษ 2 ขั้น นอกเหนือจากโควต้าปกติสำหรับกำลังพลเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ตามข้อเสนอของ คมช.ที่เสนอคณะรัฐมนตรี คือ ขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณากำหนดโควต้าเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี 2551 เป็นกรณีพิเศษ 2 ขั้น นอกเหนือโควต้าปกติในอัตราร้อยละ 15 ให้แก่กำลังพลที่ปฏิบัติงานในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติจำนวน 442 นาย ในรอบการประเมิน 6 เดือน คือ ตุลาคม 2550-มีนาคม 2551 ส่วนการใช้งบประมาณนั้นมีคณะรัฐมนตรีได้ให้ข้อสังเกตว่าถ้าเป็นไปได้ให้ใช้จากงบประมาณปี 2551 ของต้นสังกัดก่อน หากไม่เพียงพอให้ประสานลายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อเบิกจ่ายส่วนที่เกินต่อไป

ที่ต้องอธิบายเพิ่มเติม คือว่า อาจเข้าใจผิดว่าคมช.ขอ 2 ขั้นทุกๆ คนเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อน เพราะว่าในหลักการของราชการก็เป็นว่าถ้ามีการตั้งหน่วยพิเศษ คมช.ถือว่าเป็นหน่วยพิเศษที่ไม่มีในระบบราชการ เมื่อมีการเข้ามาทำงานในลักษณะดังกล่าวก็มีการตั้งหน่วยงานขึ้นมาตั้งแต่เป็น คปค.แล้ว แต่ตอนนี้เป็น คมช.ก็จะต้องขอยืมตัวข้าราชการจากหน่วยงานต่างๆ ทุกเหล่าทัพและก็ข้าราชการฝ่ายพลเรือนด้วย เข้าไปช่วยทำงานให้ ก็มีปริมาณหมุนเวียนกันไปทุกๆ รอบ 6 เดือนนะครับ เพราะฉะนั้นเมื่อข้าราชการเมื่อไปปฏิบัติงานในหน่วยงานหนึ่ง ในการพิจารณาบำเหน็ด ซึ่งปกติก็จะมีทุกหน่วยงานอยู่แล้ว เมื่อไปทำงานให้ คมช.การพิจารณาความดีความชอบก็จะถูกโอนไปให้กับ คมช.เป็นผู้พิจารณาเหมือนกัน ในหลักการว่าถ้าไปทำงาน ณ หน่วยงานใดที่ครบกำหนด 4 เดือน ไม่ต่ำกว่า 4 เดือนขึ้นไปก็จะได้รับการพิจารณา ณ หน่วยงานนั้น ในกรณีนี้ก็เช่นเดียวกันครับ และหลักการที่จะให้บำเหน็จ 2 ชั้นนั้น ก็ไม่ได้ให้ทั้ง 442 นายนะครับ เป็นการให้ในอัตราร้อยละ 15 เหมือนกรอบการพิจารณาของข้าราชการโดยทั่วไปนะครับ

อันนี้ก็เป็นหลักเกณฑ์ และเนื่องจากว่าการให้ครั้งนี้ เนื่องจากว่าคำนวณแล้วนะครับว่า คมช.จะอยู่ทำงานเพื่อหมดวาระพร้อมกับคณะรัฐบาลในชุดปัจจุบัน ก็ประมาณอาจจะถึงปลายๆ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์นะครับ เพราะฉะนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ๆ มาทำงานใน คมช.ทำงานถึงเดือนกุมภาพันธ์ก็ตาม ก็เมื่อนับจากเดือนตุลาคมแล้วจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ก็กรอบเวลาครบเกิน 4 เดือน เกิน 4 เดือนก็สามารถพิจารณาเรื่องความดีความชอบที่ คมช.ขอรับการเสนอได้ หวังว่าคงเข้าใจตามนี้นะครับ เรื่องอื่นๆ เท่าที่ลำดับมา วันนี้มีเรื่องตำรวจเข้าทางคณะรัฐมนตรีอยู่หลายเรื่องครับ เรื่องที่ได้รับการสนับสนุนไปก็จะมีเรื่องของ การก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ และก็การก่อสร้างอาคารที่พักของตำรวจ อันนี้เป็นหลักการนะครับ ก็ได้วงเงินส่วนหนึ่ง อีก 2 เรื่อง ก็เกี่ยวกับเรื่องของพระราชกฤษฎีกา ร่างพระราชกฤษฎีกา การแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาตินะครับ และก็เรื่องของการขออัตรากรอบกำลังอัตราของตำรวจนะครับในปีต่อไป ซึ่งเรื่องดังกล่าวคณะรัฐมนตรีได้มีข้อคิดเห็น และก็สอบถามถึงโครงสร้างต่างๆ เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และก็ดำเนินการให้ครบถ้วน จึงมอบให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลับไปทบทวนและก็พิจารณาว่า เป็นกรอบเดียวกันในครั้งหนึ่งนะครับ ผมจึงไม่นำรายละเอียดมาเสนอ เพราะว่าได้คณะรัฐมนตรีได้ให้กลับไปพิจารณาอีกทีหนึ่งนะครับ

ครม.เห็นชอบสร้างเครือข่ายที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน
นายประชาสัณห์ แถลงว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการข้อเสนอการสร้างเครือข่ายที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชนตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สาระสำคัญก็คือมีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดนโยบายในการพัฒนากระบวนการการมีส่วนร่วมพัฒนาองค์ความรู้ และสร้างเครือข่ายที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน ผู้แทนเครือข่ายซึ่งได้รับการคัดเลือกโดยคระกรรมการกำหนดนโยบาย และการพัฒนากระบวนการมีส่วนร่วมพัฒนาองค์ความรู้ และสร้างเครือข่ายที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชน ทีคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ก็จะมีฐานะเป็นที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชนของผู้ตรวจราชการประจำสำนักนายกรัฐมตรี และผู้ตรวจราชการของทุกกระทรวง โดยให้มีการออกบัตรแสดงตนให้แก่ที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชนด้วย อันนี้ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาเครือข่ายในการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการของกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆที่จะไปประเมินการปฏิบัติราชการในพื้นที่ จะได้อาศัยที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชนช่วยให้ข้อมูล และช่วยดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์มากยิ่งขึ้นด้วย

ครม.อนุมัติส่งขรก.เข้าอบรมหลักสูตรสมานฉันท์ฯ ที่สถาบันพระปกเกล้า
นายประชาสัณห์ แถลงว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่องของหลักสูตรสมานฉันท์ สันติสุข ของสถาบันพระปกเกล้า คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการให้บุคลากรจากหน่วยงานต่างๆที่ได้รับการอนุมัติจากต้นสังกัด เข้ารับการศึกษาอบรมในหลักสูตรสมานฉันท์ สันติสุข ของสถาบันพระปกเกล้าได้ โดยให้ถือเป็นวันทำงานตามปกติ แล้วสามารถเบิกจ่ายค่าลงทะเบียน และค่าใช้จ่าย ในการศึกษาอบรม จากหน่วยงานต้นสังกัดตามที่สถาบันพระปกเกล้าเสนอ เรื่องนี้สำคัญครับ เพราะสถาบันพระปกเกล้าเป็นสถาบันทางวิชาการ ภายใต้การกำกับของประธานรัฐสภา การจัดทำโครงการจัดตั้งวิทยาลัยสมานฉันท์สันติสุข สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะในรุ่นแรกที่จะเปิดขึ้นในประมาณกลาง หรือปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะให้ทุกภาคส่วนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้มีส่วนร่วมในการเข้ารับการศึกษาเป็นจำนวนมาก เพราะคำนึงถึงความสำคัญในการสร้างสังคมให้มีความสมานฉันท์ ความสามัคคี การอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข รวมถึงการแก้ไขปัญหาร่วมกันด้วยหลักเหตุผลการยอมรับความแตกต่างในขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมประเพณี ซึ่งวิธีการศึกษานั้นก็จะศึกษษในห้องเรียนเพียงสัปดาห์ละ 1 วันเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นจะใช้วิธีการศึกษาดูงานในกรณีศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งในต่างประเทศเป็นกรณีด้วย ระยุเวลาการศึกษาประมาณ 9 เดือน ประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์

ครม.พิจารณาผลการดำเนินการตามมาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ
นายโชติชัย แถลงว่า เรื่องผลการดำเนินการตามมาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณปี 2550 และมาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ 2551 ในวันนี้คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติตามข้อเสนอของสำนักงบประมาณที่ได้รายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณของส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ ของปีงบประมาณ 2550 และได้อนุมัติข้อเสนอมาตรการในการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพ และการใช้จ่ายงบประมาณของปีงบประมาณ 2551 ซึ่งในปี 2550 ทางสำนักงบฯ ได้รายงานว่า ได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ โดยเร่งรัดโดยการเบิกจ่าย รายจ่ายการลงทุน ในปี 2550 มีอัตราสูงขึ้นคิดเป็นร้อยละ 80.45 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายการลงทุน สูงกว่าอัตราการเบิกจ่ายรายจ่ายการลงทุนตามเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีได้ให้กำหนดไว้ที่ร้อยละ 73 และรายจ่ายภาพรวมงบประมาณในปีงบ 2550 สามารถเบิกจ่ายได้ถึงร้อยละ 93.91 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ร้อยละ 93 ในส่วนของปีงบประมาณ 2551 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติมาตรการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเป็ฯการกระตุ้นการขยายตัวางเศรษฐกิจ โดยกำหนดให้การใช้จ่ายงบประมาณของปี 51 ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีกำหนดไว้ จึงเห็นควรให้ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ ดำเนินการดังต่อไปนี้

1.ให้ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ ใช้แผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงบประมาณแล้ว เป็นไปตามเป้าหมายหลักในการเร่งรัดการดำเนินงาน ส่วนโครงการและรายการที่ได้ทำสัญญาและก่อหนี้ผูกพันไว้แล้ว ก็ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเร่งรัดการดำเนินการ โดยให้มีการควบคุม กำกับ การดำเนินการตามสัญญาของคู่สัญญา ให้มีการส่งมอบการก่อสร้าง และพัสดุ ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้

2.กำกับดูแลการดำเนินงานของคณะกรรมการตรวจการจ้าง และคณะกรรมการการตรวจรับพัสดุ รวมทั้งกำหนดแนวทาง หรือวิธีการปกิบัติในการขออนุมัติเบิกจ่ายเงินให้เป็นไปด้วยความถูกต้อง กระชับรวดเร็ว ลดขั้นตอนการตรวจสอบที่ซ้ำซ้อน และไม่จำเป็น

3.ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ทบทวนแผนการปฏิบัติการ ปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายปี 2551 ในกรณีที่ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ พิจารณาและเห็นว่าไม่สามารถทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันโครงการใดๆได้ทันในวันที่ 31 มีนาคม 2551 ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยนำเงินงบประมาณที่ได้จากการปรับแผน ไปดำเนินการดังนี้
1.คือให้ดำเนินการตามสัญญากฎหมายระเบียบข้อบังคับ ตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เช่น ชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภค ชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาปรับราคา ได้แก่ ค่าเค ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน การจ่ายค่างานตามปริมาณที่ทำจริง และยังมีรายละเอียดอื่นๆ ซึ่งจะเป็นไปตามเอกสารที่ได้แจกไป หรือผู้ใดยังไม่ได้รับเอกสารขอเพิ่มเติมได้

ครม.รับทราบผลสรุปภาวะของปท.ปี50
นายโชติชัย แถลงว่า คณะรัฐมนตรีได้รับทราบสรุปภาวะของประเทศไทยในปี 2550 โดยสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้รายงานถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในรอบปีที่ผ่านมา พบว่ าเศรษฐกิจไทยใช้พลังงานมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ใช้พลังงานทดแทนในประเทศ ทั้งในการใช้แก๊สโซฮอลล์ ไบโอดีเซล และเอ็นจีวี เพิ่มขึ้น โดยส่งผลให้ช่วง 11 เดือนแรกของปี 2550 การนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2 เปอร์เซ็นต์ โดยการนำเข้าน้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูปลดลงจากร้อยละ 4.1 เหลือ 6.5 ตามลำดับ แต่ว่าจะมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินเพิ่มมากขึ้นเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า และผลิตภาคอุตสาหกรรม และหนี้สินครัวเรือนลดลง

โดยปี 2550 ครัวเรือนทั่วประเทศมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 18,823 บาท รายจ่าย 14,424 บาท เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 5.8 และ 0.8 ตามลำดับ คือ รายได้เพิ่มขึ้น 5.8 ส่วนรายจ่ายเพิ่มเพียง 0.8 หนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรอืนลดลงทั้งสิ้น จาก 116,585 บาท เป็น 113,389 บาท สัดส่วนครัวเรอืนที่เป็นหนี้ลดลงจากร้อยละ 64.4 เหลือร้อยละ 62.3 สัดส่วนครัวเรือนที่เนหนี้ลดลง โดยในปี 51 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 4 - 6 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ อุปสงค์ภายในประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐ และภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวได้ดีขึ้นในปี 2551 ประกอบด้วยการลงทุนในระบบรถไฟขนส่งมวลชน การลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ได้รับแรงสนับสนุนจากกรอบภาษีรถยนต์ประหยัดพลังงาน หรือ อีโคคาร์ และรถยนต์ที่ใช้แก๊สโซฮอลล์ อี 20 การขยายการลงทุนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตเอทานอล และโครงการผลิตไฟฟ้าไอพีพี เป็นต้น

ส่วนลำดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย จากการจัดอันดับของสถาบัน WEF (World Economic Forum) โดยรวมอยู่ที่ลำดับที่ 28 ซึ่งเท่ากับปี 2549 ซึ่งเป็นลำดับที่ 28 จากจำนวน 131 ประเทศ แต่ยังมีจุดอ่อนของประเทศไทยในด้านจำนวนผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำมากต่อประชากร เทียบกับประเทศที่มีความพร้อมมากกว่าประเทศไทย ในการเข้าสู่สังคมฐานความรู้ในอนาคต ค่าใช้จ่ายทางด้านลอจิสติกส์ ยังสูงอยู่นะครับ ประมาณร้อยละ 19 ต่อจีดีพีนะครับ ส่วนโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสาตร์ และเทคโนโลยี ยังอยุ่ในลำดับที่ต่ำกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญ ในขณะที่ภาคการผลิต และบริการของประเทศไทยอยู่ในช่วงที่ต้องปรับตัว ไปสู่การสร้างมูลค่าของสินค้า และบริการ เพื่อให้มีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นยังต้องมีการเตรียมพัฒนาพื้นที่ เพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในอนาคต และการพัฒนาจังหวัด และกลุ่มจังหวัด ให้สอดคล้องกับศักยภาพ โดยประเด็นนโยบายในการบริหารเศรษฐกิจในช่วงต่อไป ควรให้ความสำคัญดังนี้

1. การสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคการลงทุน โดยเฉพาะการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของการลงทุนของภาคเอกชน และการสานต่อนโยบายด้านการลงทุนภาครัฐ ทางด้านโครงสร้างพื้นฐานให้มีความต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการระบบรถไฟฟ้าระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างพื้นฐานการขยายตัว และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจในระยะยาวนะครับ

2. คือการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณในปี 51 นะครับ ของภาครัฐให้สามารถเบิกจ่ายได้ตามเป้าหมายร้อยละ 94 นะครับ และสำหรับงบประมาณรัฐบาลโดยเฉพาะโครงการยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข วงเงิน 15,000 ล้านบาท และเร่งรัดการกระจายของรัฐวิสาหกิจให้ได้ร้อยละ 90 ของงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ อันนี้จะเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจนะครับในปี 51 นะครับ สุดท้ายสภาวะทางสังคมนะครับ ประเทศไทยพบว่าสังคมไทยมีโครงสร้างประชากรที่กำลังเปลี่ยนแปลง เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุนะครับ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการจัดบริการทางสังคมในทุกรูปแบบ สัดส่วนประชากรวัยสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสัดส่วนจากร้อยละ 10.71 ในปี 2550 เป็นร้อยละ 12.02 ในปี 2554 ซึ่งส่งผลให้จะต้องมีการเตรียมความพร้อมในระบบต่างๆ อาทิ บริการทางการแพทย์นะครับ และการสร้างหลักประกันทางเศรษฐกิจและสังคม สำหรับปัญหาเพื่อการชราภาพนะครับ ส่วนปัญหาด้านแรงงานการจ้างงานโดยรวมยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ละงานไทยยังมีปัญหาการทำงานระดับที่ต่ำ และมีสมรรถนะค่อนข้างต่ำ แรงงานเกือบร้อยละ 60 ยังมีการศึกษาเพียงระดับประถมศึกษา ที่มีทักษะฝีมือต่ำ และมีความขาดแคลนกำลังคนระดับกลางที่มีคุณภาพนะครับ อันนี้ก็เป็นเพียงการรายงานภาวะเศรษฐกิจสังคมที่ผ่านมา ปี 2550 นะครับ

ครม.อนุมัติให้ข้าราชการ พลเรือนสามัญพ้นจากตำแหน่ง
นายโชติชัย แถลงว่า คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเรื่องการให้ข้าราชการ พลเรือนสามัญ พ้นจากตำแหน่ง โดยกระทรวงการคลังเสนอว่า เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดนะครับ ที่ให้กระทรวงการคลังดำเนินการเกี่ยวกับเรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการ 4 ราย ให้กลับไปดำรงตำแหน่งเดิม ก่อนได้รับตำแหน่งให้เป็นรองอธิบดีกรมสรรพากรในตำแหน่งอื่น ที่มีในระดับเทียบเท่า 2.ให้กระทรวงการคลังมีหน้าที่ดำเนินการเพิกถอนคำสั่งที่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในระดับที่สูงขึ้นหลังจากที่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากร ซึ่งในกรณีแรกกระทรวงการคลัง ได้ดำเนินการไปแล้ว โดยให้แต่งตั้งข้าราชการทั้ง 4 ราย พ้นจากตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากร ไปดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 9 กรมสรรพากร ซึ่งเป็นระดับเทียมเท่าตำแหน่งเดิมแล้ว

ส่วนในประเด็นที่ 2 เพื่อให้เป็นไปตามที่คำสั่งของศาลปกครองสูงสุด ได้เสนอ ครม.ให้อนุมัติ และนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ข้าราชการพลเรือนสามัญทั้ง 3 ราย พ้นจากการดำรงตำแหน่งระดับ 10 ที่เคยได้รับแต่งตั้งทุกตำแหน่ง ก่อนที่กระทรวงการคัลงจะได้ดำเนินการแต่งตั้งให้กลับไปดำรงวตำแหน่งที่มีระดับเทียมเท่า และตำแหน่งเดิม ในช่วงเวลาที่ข้าราชการทั้ง 3 หลาย ดำรงตำแหน่งระดับ 10 ต่อไป โดยขั้นตอนต่อไปสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะประสานกับสำนักราชเลขาธิการ เพื่อที่จะนำความขึ้นกราบบังคมทูล และโปรดเกล้าให้ข้าราชการทั้ง 3 รายผลจากตำแหน่งหลังสุด

ครม.อนุมัติให้กำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพรบ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
นายโชติชัย แถลงว่า ครม.อนุมัติให้กำหนดสินค้า และบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ โดยกำหนดสินค้าควบคุมจำนวนทั้งสิ้น 34 รายการ ได้แก่ กระดาษ กระดาษทำลูกฟูก กระดาษพิมพ์และเขียน กระดาษเหนียว ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ข้าวเปลือก ข้าวสาร ครีมเทียม นมข้น นมคืนรูป นมแปลงไขมัน เครื่องแบบนักเรียน แชมพู และที่เพิ่มมีอีก 3 รายการ นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม โยเกิร์ต แบตเตอรี่รถยนต์ อาหารกึ่งสำเร็จรูป บรรจุภาชนะผนึก(บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) และที่เพิ่มอีกรายการ คือ การบริการ คือการให้สิทธิการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า ซึ่งสินค้าที่เพิ่มขึ้นทั้ง 3 รายการ จะต้องแจ้งราคา ต้นทุน ค่าใช้จ่าย รายละเอียด เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง

ครม.อนุมัติร่างพรก.ค่าตอบแทนคณะกรรมการพลังงาน
นายโชติชัย แถลงว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยค่าตอบแทน ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติหน้าที่และสิทธิประโยชน์อื่นของประธานกรรมการ และกรรมการการกำกับกิจการพลังงาน สาระสำคัญคือ อนุมัติให้ประธานกรรมการ และกรรมการได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือนเป็นเงิน 250,000 บาท และ 200,000 บาท ตามลำดับ และมีผลประโยชน์อื่นอีกร้อยละ 25 ของค่าตอบแทนประจำ ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง โดยมีรายละเอียด เช่น ให้กรรมการ และประธานกรรมการได้รับค่ารักษพยาบาล หรือการประกันสุขภาพที่จ่ายจริงในอัตราเบี้ยประกันคนละไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี

ครม.อนุมัติข้อเสนอหลักเกณฑ์วิธีการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ
นายโชติชัย แถลงว่า คณะรัฐมนตรีก็ได้อนุมัติข้อเสนอของกระทรวงการคลังนะครับ ในเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสากิจนะรับ อันนี้สืบเนื่องมาจาก การที่ได้มีการออกพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐาน สำหรับกรรมการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจไปเมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อเดือนธันวาคมนะครับ พ.ศ.2550 นะครับ กระทรวงการคลังก้ได้จัดทำหลักเกณฑ์ และวิธีการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ ซึ่งต่อไปนี้นะครับการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ จะต้องแต่งตั้งนะครับ บุคคลจากบัญชีรายชื่อกรรมการที่กระทรวงการคลังจัดทำขึ้นนะครับ ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้นๆ นะครับ ซึ่งทางกระทรวงการคลังก็ได้ยกร่างหลักเกณฑ์ และวิธีการจัดทำบัญชีรายชื่อมา ซึ่งบัญชีนี้จะเป็นบัญชีกลางเป็นลิสต์ เป็นพูลกลาง

ซึ่งจะประกอบไปด้วยบุคคลที่มีคุณสมบัติแล้ว และได้รับการตรวจสอบว่ามีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่จะเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจในแต่ละแห่งได้ เป็นลิสต์กลาง และรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งที่ต้องการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจจะต้องมาดูบัญชีรายชื่อจากลิสต์กลางนี้ และแต่งตั้งกรรมการจากลิสต์กลางนี้ ซึ่งในตัวร่างหลักเกณฑ์นี้มีการกำหนดคณะกรรมการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจว่ามีใครบ้าง และพูดถึงวิธีการจัดทำบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจขั้นตอนต่างๆ ในการกำหนดชื่อ บัญชีรายชื่อ การตรวจสอบคุณสมบัติ การคัดสรรกรรมการเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ และจะมีการประกาศบัยชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ และการปรับปรุงบัญชีรายชื่อกรรมการรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะมีการปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ โดย ครม.ให้ข้อสังเกตควรมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และทันเวลา โดย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้รีบจัดทำบัญชีโดยเร็ว โดยประสานกับสำนักงานกฤษฎีกา เนื่องจากว่าหลักเกณฑ์แบบนี้สามารถออกได้ในยามที่เป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เพราะหากกำหนดชื่อกลางอาจทำให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองอาจเข้ามาอยู่ในบัญชีรายชื่อนี้ยากขึ้น

ครม.อนุมัติร่างระเบียบสำนักนายกฯว่าด้วยปาล์มน้ำมันแห่งชาติ
นายโชติชัย แถลงว่า ครม.อนุมัติร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการว่าด้วยปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ซึ่งในวันนี้เสนอโดยกระทรวงเกษตรฯ เสนอร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการว่าด้วยปาล์มน้ำมันแห่งชาติ โดยสืบเนื่องมากจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีคำแนะนำว่า เห็นควรให้มีคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ เพื่อกำหนดนโยบายเกี่ยวกับปาล์มน้ำมันทั้งระบบ ซึ่งการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติครั้งนี้ จะสอดคล้องกับแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน และน้ำมันปาล์ม ตั้งแต่ปี 2551 -2555 และก็ในร่างระเบียบดังกล่าวได้กำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานคณะกรรมการ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นรองประธาน โดยตำแหน่ง ซึ่งหน้าที่ก็จะกำหนดมาตรการพื้นที่ส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมัน รวมทั้งมาตรการต่างๆ เพื่อให้มีปาล์มน้ำมันเพียงพอกับความต้องการใช้ในประเทศ เพื่อให้ครอบคลุมกับการทำงานอื่นๆเช่น การบริหารจัดการปาล์มน้ำมันให้มีเพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ การส่งเสริมอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันครบวงจร เพื่อการบริโภค อุปโภค และพลังงาน
กำลังโหลดความคิดเห็น