วันนี้ (8 ม.ค.) นายไชยา ยิ้มวิไล โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ และ พ.อ.ประชาสัณห์ ชนะสงคราม ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกันแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
ครม.รับทราบหมายกำหนด “ในหลวง-ราชินี” เสด็จฯ ยังพระบรมมหาราชวัง
นายไชยา แถลงว่า ในเรื่องของหมายกำหนดการในวันพรุ่งนี้ (9 ม.ค.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในเวลา 17.00 น. และวันพฤหัสบดีที่ 10 ทั้ง 2 พระองค์ จะเสด็จฯ ไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เวลา 10.30 น.
ครม.รับทราบการเปลี่ยนชื่อ คกก.จัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ
นายไชยา แถลงต่อว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบการเปลี่ยนแปลงชื่อคณะกรรมการการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพฯ
ครม.เห็นชอบการเปลี่ยนแปลงการจัดซื้อเครื่องบินรบ
นายไชยา แถลงเรื่องของกองทัพอากาศ ในการจัดซื้อเครื่องบิน สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีการประชุม ครม.อนุมัติเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ที่จะจัดซื้อหาเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์ทดแทนเครื่องบินขับไล่แบบ เอฟ 5 อี จำนวน 6 เครื่อง เป็นงบประมาณทั้งสิ้น 19,000 ล้านบาท เป็นงบผูกพัน 2551-2555 โดยเป็นเรื่องเดิมที่อนุมัติเห็นชอบในหลักการไปแล้ว และในครั้งนี้ทางกระทรวงกลาโหมมีการนำเสนอในลักษณะที่มีการจัดซื้อเครื่องบิน เป็นเครื่องบิน กริพเพน 39 ซี/ดี มีข้อเสนอพิจารณา 2 ข้อ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติ 2 ประเด็น
ประเด็นที่ 1 กระทรวงกลาโหมพิจารณาเห็นว่ากองทัพอากาศดำเนินการอันเป็นประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการภายใต้มติ ครม.ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม และกรอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ ตามข้อ 2 โดยจำเป็นต้องจัดหาเครื่องบินประจำการ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการโครงการเรียบร้อย ได้มีข้อเสนอ ดังนี้
1. ให้กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพอากาศ ดำเนินการจัดซื้อเครื่องบินกริปเปน จีอาร์ไอพีอีเอ็น 39 ซี/ดี จำนวน 6 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์ อะไหล่ การฝึกอบรม การปรับปรุงอาคารสถานที่ และการบริหารโครงการ เป็นเงิน 19,000 ล้านบาท โดยวิธีรัฐบาลต่อรัฐบาล (จี2จี) ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสวีเดน
2. ให้ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นผู้รับมอบอำนาจลงนามในข้อตกลงการซื้อขายเครื่องบิน ในนามรัฐบาลไทย รวมทั้งแก้ไขข้อตกลงการซื้อขายเครื่องบินโดยวงเงินรวมไม่เปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ มีการอธิบายจาก พล.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้ข้อสรุปเพิ่มเติมว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว มีเงื่อนไขพิเศษที่รัฐบาลสวีเดนจะจัดให้ เป็นข้อที่ 3 คือ ทางรัฐบาลสวีเดน ในการเจรจากับคณะกรรมการ จะมีการจัดเครื่องบินควบคุมและแจ้งเตือนทางอากาศ ติดตั้งอุปกรณ์เรดาร์แบบอีรีอาย 1 เครื่อง หรือ 1 ลำ กับเครื่องบินลำเลียงแบบ SAAV-340 จำนวน 1 เครื่อง พร้อมทั้งทุนการศึกษาระดับปริญญาโท จำนวน 92 ทุน และระบบดาต้าลิงก์ สำหรับการป้องกันทางอากาศในระบบควบคุมและแจ้งเตือนภาคใต้ เพราะฉะนั้นเครื่องบินที่มีการตกลงนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วน ลักษณะประเภทเครื่องบิน คือ 1 ที่นั่ง จำนวน 2 ลำ และ 2 ที่นั่ง จำนวน 4 ลำ รวม 6 ลำ เฉพาะค่าจัดซื้อเครื่องบินพร้อมอุปกรณ์อะไหล่ และการฝึกอบรม 18,284 ล้านบาท
ส่วนเรื่องการปรับปรุงอาคารสถานที่และการบริหารโครงการ ในส่วนกองทัพอากาศรับผิดชอบ ซึ่งต้องดำเนินการก่อนและหลังการรับมอบเครื่องบิน เป็นเงิน 716 ล้านบาท ทั้งหมดมี 3 ประเด็นด้วยกัน
ครม.เห็นชอบแผนปรับปรุง-ขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า
นายไชยา แถลงต่อว่า เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 10 (พ.ศ.2551-2555) แผนงานเปลี่ยนระบบสายอากาศเป็นสายใต้ดิน (พ.ศ.2551-2556) และแผนปรับปรุงขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 9 ครั้งที่ 2 (พ.ศ.2547-2550)
ทั้งนี้ เป็นข้อเสนอจากกระทรวงมหาดไทย ของการไฟฟ้านครหลวง ที่จะมีแผนปรับปรุงขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 10 (พ.ศ.2551-2555) วงเงินลงทุน 27,699 ล้านบาท และแผนปรับปรุงขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 9 (พ.ศ.2547-2550) ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 วงเงินลงทุน 34,497 ล้านบาท และแผนงานเปลี่ยนระบบสายอากาศเป็นสายใต้ดิน (พ.ศ.2551-2556) จำนวน 3 โครงการ คือ โครงการปทุมวัน จิตรลดา และพญาไท เพิ่มเติม โครงการพระราม 3 และโครงการนนทรีย์ วงเงินลงทุน 5,699 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หลังจากการประชุมได้มีการอนุมัติตามคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ชุดที่ 1 แล้ว นายกรัฐมนตรี ได้ตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะให้มีการรวมระบบสาธารณูปโภคทั้งหมด
ครม.เห็นชอบยุทธศาสตร์นำไทยเข้าสู่สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้
นายไชยา แถลงว่า ในเรื่องของข้อเสนอยุทธศาสตร์และมาตรการในการนำประเทศไทยเข้าสู่สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ และการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนด้านความรู้ (Board of Knowledge Investment - BOKI) ทั้งนี้ เป็นไปตามคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอ ครม. คณะที่ 2
มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของหลักการ ยุทธศาสตร์ และมาตรการในการนำประเทศไทยเข้าสู่สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอนั้น ที่ประชุมได้เห็นชอบให้เป็นไปตามนั้น
แต่ที่อภิปรายกันมาก คือ เรื่องของคณะกรรมการผลักดันยุทธศาสตร์และมาตรการในการนำประเทศไทยเข้าสู่สังคมและเศรษฐกิจฐานความรู้ มีการกำหนดชื่อ อำนาจหน้าที่ องค์ประกอบของคณะกรรมการต่างๆ ที่ไม่ต้องการให้ซ้ำซ้อนกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการร่างยุทธศาสตร์ แต่ในเรื่องของคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นนั้น น่าจะมีการปรึกษาหารือเพิ่มเติมในการจะมีการปรึกษาหารือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับสภาพัฒน์
ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการ กทม.
นายไชยา แถลงว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร ฉบับที่... พ.ศ.... ที่เสนอโดยกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ มี 2 ประเด็นสำคัญที่เห็นชอบ
1. รับทราบรายงานข้อมูล ผลกระทบเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากร และค่าธรรมเนียมตามมติ ครม. 18 ตุลาคม 2548 และอนุมัติหลักการตัวร่างพระราชบัญญัติ ในตัวระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร เพื่ออนุมัติ ทั้งในเรื่องที่ได้รับทราบจากกระทรวงมหาดไทย จากที่มีการร่วมมือกับกระทรวงการคลัง สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีอากรและค่าธรรมเนียมต่อประชาชนและสังคม ตามมติคณะรัฐมนตรี
2. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร เมื่อปี 2528 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน โดยใช้บังคับมานานแล้ว ต้องมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง มีการอภิปรายกันมากถึงแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจปกครองส่วนท้องถิ่น และไม่สำคัญเท่ากับว่า อาจจะมีการก่อตั้งเป็นวิสาหกิจของกรุงเทพมหานครในรูปบริษัทหรือถือหุ้นในบริษัทได้ ประเด็นสำคัญคือ อนุมัติ แต่มีข้อสังเกตจากกระทรวงการคลัง จาก สศช. จากอัยการสูงสุด และสำนักงบประมาณ
ครม.เห็นชอบการกำหนดราคา-ผลตอบแทนการจำหน่ายอ้อยและน้ำตาลทราย
นายไชยา แถลงว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2550-51 และการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้าย ผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิต 49-50 เท่าที่ทราบ เรื่องอ้อย เป็นพืชผลเกษตรทางการเมืองอันหนึ่ง นอกเหนือจากข้าว มันสำปะหลัง
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ คือเรื่องในการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ปี 50-51 โดยทั้งสิ้น อัตราอ้อยตันละ 600 บาท และจะมีการจ่ายล่วงหน้าเพิ่มอีก 100 บาท มีรายละเอียดของภาระหนี้สินกองทุนต่างๆ พร้อมทั้งหนี้สะสม และหนี้สินล่าสุดเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2550 และการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทน
ครม.อนุมัติหลักการการกำหนดราคาอ้อยและน้ำตาล
นายโชติชัย แถลงว่า ในวันนี้ ครม.ได้อนุมัติหลักการตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ในเรื่องการกำหนดราคาอ้อยและน้ำตาล ตามที่โฆษกฯ ได้เกริ่นให้ทราบแล้วว่า ในหลักการของการกำหนดราคาอ้อยและน้ำตาล เนื่องจากเป็นพืชผลทางการเกษตรที่สำคัญมาก จึงจะมีวิธีการกำหนดราคาที่แตกต่างจากพืชชนิดอื่นออกไป โดยมีการกำหนดให้มีคณะกรรมการที่มีส่วนร่วมระหว่างรัฐและเอกชน ทั้งเกษตรกร และโรงงาน ในการกำหนดราคาอ้อยและน้ำตาล โดยจะมีการกำหนดราคาปีละ 2 ครั้ง คือ ขั้นต้น และขั้นสุดท้าย
ในหลักการที่ทางกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอมานั้น เป็นหลักการของปี 49-50 เป็นราคาขั้นสุดท้าย และในปี 50-51 เป็นขั้นต้น ซึ่งมติของที่ประชุม ครม.มีดังนี้
1. เห็นชอบให้ปรับกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทน สำหรับปี 2550-2551 โดยให้กำหนดในอัตราอ้อยตันละ 600 บาท ณ ระดับค่าความหวาน 10 ccs อัตราขึ้น-ลงของราคาอ้อย 36 บาทต่อ 1 หน่วย ccs และกำหนดผลตอบแทนการผลิตขั้นต้น ที่ 257.14 บาทต่อตันอ้อย
2. อนุมัติตาม พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาล ให้กองทุนกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ได้เพิ่มราคาอ้อยให้กับชาวไร่อ้อย ตาม พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาล ในอัตราตันละ 62 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,225.30 ล้านบาท และให้กำหนดในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน และให้กองทุนจ่ายตรงให้กับชาวไร่อ้อย ซึ่งจะทำให้กองทุนมีภาระหนี้รวมทั้งสิ้น 17,000 ล้านบาท จึงขอให้ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ของกองทุนออกไปอีก เป็น 11 ปี จนถึงปี 2561
3. อนุมัติแนวทางการจัดการภาระหนี้ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
4. กำหนดให้กระทรวงพลังงานกำหนดนโยบายส่งเสริมการนำอ้อยและกากน้ำตาล ไปผลิตเป็นพลังงานทดแทน เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ในประเด็นนี้ กระทรวงพลังงานได้ให้ความเห็นต่อที่ประชุม ครม.ว่า กระทรวงพลังงานกำหนดนโยบายส่งเสริมการนำอ้อยและกากน้ำตาลไปผลิตเป็นพลังงานทดแทน โดยเห็นว่าเป็นมาตรการส่งเสริมแก๊สโซฮอล์ ที่ได้มีการกำหนดตั้งแต่ปลายปี 2549 มาแล้ว เช่น การปรับโครงสร้างราคา การสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค การขอความร่วมมือจากผู้ค้าน้ำมันและผู้ผลิตรถยนต์
ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้การจำหน่ายแก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากระดับ 3.5 ล้านลิตรต่อวัน ในปี 2549 เป็น 7.4 ล้านลิตรต่อวัน ในช่วงปลายปี 2550 ซึ่งจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และคาดว่าการใช้แก๊สโซฮอล์จะเพิ่มเป็น 8 ล้านลิตรต่อวัน ในช่วงเดือนมกราคม 2551 ซึ่งจะมีผลให้มีความต้องการเอทานอลเพื่อผสมเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ จำนวน 8 แสนลิตรต่อวัน
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน คาดว่าการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ อี 10 จะเพิ่มเป็น 11 ล้านลิตรต่อวัน ในช่วงปลายปี 2551 ส่วนการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ อี 20 จะเพิ่มเป็น 2 แสนลิตรต่อวัน ในช่วงปลายปี 2551 ซึ่งจะทำให้ความต้องการเอทานอลเพิ่มขึ้นเป็น 1.14 ล้านลิตรต่อวัน
และเนื่องจากรถยนต์เก่าที่ไม่สามารถใช้แก๊สโซฮอล์จะมีจำนวนลดลงเป็นลำดับ และรถยนต์ใหม่จะสามารถใช้แก๊สโซฮอล์ อี 20 ได้เกือบทั้งหมด กระทรวงพลังงานจึงคาดว่าความต้องการเอทานอลจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.4 ล้านลิตรต่อวัน ในปี 2554
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน รายงานว่า อยู่ระหว่างการหารือกับผู้ผลิตรถยนต์ และโรงกลั่นน้ำมัน ถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม และความเป็นไปได้ที่จะให้รถยนต์ใหม่สามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 85
5. ในการกำหนดนโยบายส่งเสริมแก๊สโซฮอล์นั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ ด้วย ได้แก่ ผู้ใช้รถยนต์ โดยเฉพาะผลกระทบต่อเครื่องยนต์ และการยอมรับของผู้ใช้รถยนต์ ความพร้อมของอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ และความพร้อมของอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมัน รวมถึงการผลิตเอทานอลจากวัตถุดิบทางการเกษตรอื่นๆ เช่น มันสำปะหลัง ซึ่งจะพิจารณาการมุ่งสนับสนุนเฉพาะการผลิตอ้อยและกากน้ำตาล เพียงประการเดียวไม่ได้
ทั้งนี้ เป็นมาตรการส่งเสริมการใช้อ้อยมากขึ้นในเรื่องของการผลิตพลังงานทดแทน
ครม.อนุมัติการกำหนดราคาและผลตอบแทนของการผลิตอ้อยขั้นสุดท้าย
นายโชติชัย แถลงว่า ให้ความเห็นชอบในการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้าย และผลตอบแทนการผลิตขั้นสุดท้าย ฤดูกาลผลิต 2549-2550 เป็นรายเขต โดยมีราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศ ที่ 702.19 บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับค่าความหวาน 10 ccs อัตราขึ้น-ลง ของราคาอ้อย 42.13 บาทต่อ 1 หน่วย ccs และผลตอบแทนการผลิตขั้นสุดท้าย เฉลี่ยทั่วประเทศที่ 300.94 บาทต่อตันอ้อย
นอกจากนั้น ยังให้ความเห็นชอบการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคาอ้อย และผลตอบแทนการผลิตขั้นต้น และขั้นสุดท้าย ฤดูกาลผลิตปี 2549-2550 จำนวน 9,948 ล้านบาท
และยังอนุมัติให้จัดหาเงินสมทบการชดเชยให้กองทุน จำนวน 5,277 ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาดำเนินการจัดหาเงินกู้ให้กับกองทุน ตามจำนวนดังกล่าวไปก่อน และตั้งงบประมาณให้กระทรวงอุตสาหกรรมปีละ 450 ล้านปี เป็นเวลา 11 ปี และชำระส่วนที่เหลือในปีที่ 12 โดยให้เริ่มจัดสรรงบประมาณเพื่อการนี้ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2552 เพื่อชำระหนี้ ทั้งนี้ ให้กองทุนรับภาระในส่วนของดอกเบี้ยเอง
ประการสุดท้าย ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาอนุโลมให้โรงงานชำระภาษีเงินได้ในส่วนของเครดิตโรงงานจำนวน 2,984 ล้านบาท เมื่อได้รับเงินคืนจากกองทุนแล้ว
ครม.อนุมัติร่างระเบียบการเบิกจ่ายเงินรางวัล เงินสินบน
นายโชติชัย แถลงว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติร่างระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินรางวัล เงินสินบน ในการปราบปรามผู้กระทำความผิดทางอาญา
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการที่ระเบียบกระทรวงการคลังในเรื่องนี้ค่อนข้างล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับภาวการณ์ในปัจจุบัน และเป็นการเบิกจ่ายที่ซ้ำซ้อน จึงยกเลิกระบียบที่ซ้ำซ้อน และกำหนดระเบียบขึ้นมาใหม่ โดยยกเลิกอำนาจการสั่งจ่ายของผู้ว่าราชการจังหวัด อธิบดีกรมการปกครอง และคณะกรรมการศูนย์การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม
โดยกำหนดให้เป็นระเบียบใหม่ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเงิน และมีอำนาจตัดสินใจในการเบิกจ่ายเงิน โดยรับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง
ทั้งนี้ จะช่วยทำให้ระเบียบในเรื่องของการให้แรงจูงใจในการที่จะนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดทางอาญา โดยตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดสรรงบประมาณปีละ 22 ล้านบาท มาใช้เพื่อการนี้
ครม.อนุมัติร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการจัดการเงิน กบข.
นายโชติชัย แถลงว่า วันนี้ ครม.ได้อนุมัติข้อเสนอของกระทรวงการคลัง ในเรื่องหลักเกณฑ์ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการจัดการเงินกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ โดยเห็นว่าในปัจจุบันนี้ระบบดังกล่าวไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ ภาวะตลาดเงินตลาดทุนที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการลงทุนให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดแก่สมาชิกของกองทุนฯ สมควรเพิ่มสัดส่วนในการนำเงินของกองทุนฯ ไปลงทุนในหลักทรัพย์บางประเภท และเพื่อให้การจัดการเงินของกองทุนฯ กระทำได้กว้างขวางยิ่งขึ้น และให้สามารถกระจายความเสี่ยงของการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จึงเห็นควรให้
1. เพิ่มวงเงินลงทุนในหุ้น เป็นหุ้นสามัญ หุ้นกู้แปรสภาพเป็นหุ้นสามัญ และใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น จากเดิมที่กำหนดไว้ร้อยละ 30 ของเงินกองทุน เป็นร้อยละ 35 ของเงินกองทุน
2. เพิ่มวงเงินลงทุนในต่างประเทศ จากเดิมร้อยละ 15 ของเงินกองทุน ให้เปลี่ยนเป็นร้อยละ 25 ของเงินกองทุน
ทั้งนี้ เป็นการขยายลิมิตของการที่จะให้ กบข.ไปลงทุนในต่างประเทศได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการกระจายความเสี่ยงของ กบข. และจะเป็นมาตรการที่สอดคล้องกับนโยบายในการเพิ่มการลงทุนในต่างประเทศ และแก้ไขปัญหาเรื่องการแข็งค่าของเงินบาท เพราะจะลดการไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศ ขณะเดียวกัน ก็จะเพิ่มการไหลออกของเงินลงทุนไปต่างประเทศด้วย
ครม.อนุมัตินโยบายส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตเหล็กขั้นต้น
นายโชติชัย แถลงอีกว่า วันนี้ ครม.ได้อนุมัตินโยบายส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตเหล็กขั้นต้น เพื่อผลิตเหล็กคุณภาพสูง ทั้งนี้ เป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ ครม.จึงได้อนุมัติในหลักการและข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ดังนี้
เห็นชอบให้มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตเหล็กขั้นต้น เพื่อผลิตเหล็กคุณภาพสูง ซึ่งได้มีการประกาศเป็น TOR แนวทางในการส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตเหล็กขั้นต้น เพื่อผลิตเหล็กคุณภาพสูงไปแล้ว โดยมีกำหนดวันสุดท้ายในวันที่ 31 มกราคม 2551 ซึ่งปัจจุบันได้มีผู้ยื่นข้อเสนอมาแล้ว 2 ราย คือ บริษัท นิปปอนสตีล จากประเทศญี่ปุ่น และบริษัท เจเอฟอี สตีล คอร์ปอเรชั่น ซึ่งมีมูลค่าโครงการๆ ละ 1 แสนล้านบาท รวม 2 โครงการเป็น 2 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ เนื่องจากกิจการผลิตเหล็กขั้นต้นเพื่อผลิตเหล็กคุณภาพสูง เป็นโครงการขนาดใหญ่ จำเป็นที่จะต้องมีการเตรียมความพร้อม ทั้งในเรื่องพื้นที่ ที่ตั้งของอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภค การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการทำความเข้าใจ และการยอมรับของชุมชนในพื้นที่ ครม.จึงได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานกลางในการวางแผนพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ไปจัดทำแผนปฏิบัติการในการกำหนดแผนพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งภาคใต้ เพื่อรองรับโครงการลงทุนในอุตสาหกรรมเหล็กต่อไป
ครม.อนุมัติร่าง พ.ร.ฎ.การจัดทำแผนพัฒนา-งบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด
นายโชติชัย แถลงว่า ในวันนี้ ครม.ได้อนุมัติข้อเสนอของสำนักงานกฤษฎีกา ในร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำแผนพัฒนาและงบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ที่ทางกฤษฎีกาได้ไปแก้ไขมา และกำหนดเป็นหลักเกณฑ์ใหม่ ดังนี้
1. ให้มีคณะกรรมการนโยบายแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด โดยมีชื่อย่อว่า กนพ. ซึ่งประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ 1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ 2
ให้คณะกรรมการดังกล่าวมีหน้าที่ในการกำหนดกรอบนโยบายในการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระดับชาติ ซึ่ง กนพ.จะเป็นผู้พิจารณากำหนดกลุ่มจังหวัด ซึ่งกลุ่มจังหวัดนั้นจะเป็น Cluster แต่ไม่รวมกรุงเทพมหานคร และพัทยา โดยจังหวัดจะพิจารณาจากอาณาเขตที่มีการติดต่อกันทางภูมิศาสตร์ และมีความสัมพันธ์กันทางเศรษฐกิจ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างจังหวัด
2. ให้มีคณะกรรมการจัดทำแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ประกอบด้วย หัวหน้ากลุ่มจังหวัด เป็นประธานกรรมการ มีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นรองประธานกรรมการ และกำหนดให้มีผู้แทนภาคธุรกิจ เอกชน ซึ่งประกอบไปด้วย ประธานสภาอุตสาหกรรมของจังหวัดในแต่ละจังหวัดในกลุ่มจังหวัดนั้น ประธานหอการค้าจังหวัดของแต่ละจังหวัดในกลุ่มจังหวัดนั้น
3. กำหนดวิธีการจัดทำงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ให้ในการจัดทำงบประมาณจังหวัดนั้น ให้สำนักงบประมาณเสนอความเห็นในการกำหนดกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี ในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แก่จังหวัด ซึ่งจะทำให้จังหวัดมีอำนาจในการตัดสินใจกำหนดงบประมาณ และกำหนดวิธีการใช้จ่ายงบประมาณของแต่ละจังหวัดเอง
ครม.อนุมัติแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาให้สิทธิสำรวจและผลิตแร่โพแทส
นายโชติชัย แถลงว่า ครม.ได้อนุมัติตามข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรม ในเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาให้สิทธิสำรวจและผลิตแร่โพแทส จ.อุดรธานี
เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงชื่อของผู้ถือหุ้นตามสัญญาให้สิทธิสำรวจและผลิตแร่โพแทส จึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขสัญญา และเนื่องจากต้องมีการรับรองว่าผู้ถือหุ้นของผู้รับสัมปทานนั้นไม่ได้เป็นต่างด้าว จึงได้มีการตรวจสอบและพบว่าผู้ถือหุ้นไม่ใช่คนต่างด้าว ซึ่งโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท อิตาเลียน-ไทย ดีเวล๊อปเมนต์ มีผู้ถือหุ้นต่างชาติอยู่เพียง 30.25 เปอร์เซ็นต์ ไม่เกินกว่าร้อยละ 32 ของทุนจดทะเบียน ตามข้อบังคับของบริษัท
รวมทั้งได้มีการปรับปรุงสัญญาให้ตรงกับร่างสัญญาของสำนักงานอัยการสูงสุด โดยให้เปลี่ยนแปลงวิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทว่าในกรณีที่มีปัญหาข้อพิพาทนั้น ไม่ต้องใช้อนุญาโตตุลาการ แต่ให้ใช้ศาลแทนได้
ส่วนในเรื่องแนวทางการบริหารราชการในต่างประเทศ ก็มีการกำหนดว่า ส่วนราชการที่มีหน่วยงานในต่างประเทศ จะต้องมีวิธีการบริหารจัดการอย่างไร สำหรับหน่วยงานเหล่านั้นที่มีสำนักงานในต่างประเทศ เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม หน่วยงานต่างๆ ที่มีสำนักงานอยู่ต่างประเทศ จะต้องมีการกำหนดคณะกรรมการ โดยใช้ชื่อว่า คณะมนตรีวิเทโศบาย โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
คณะมนตรีวิเทโศบาย มีภารกิจที่จะต้องกำหนดยุทธศาสตร์และนโยบายการต่างประเทศ รวมทั้งบูรณาการการบริหารราชการในต่างประเทศ กำหนดนโยบายในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย ในระดับทวิภาคี และพหุภาคี ในทุกมิติ กำกับดูแลโดยทั่วไป ซึ่งการดำเนินนโยบายต่างประเทศให้เป็นไปตามที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภา รวมทั้งให้ความเห็นชอบในยุทธศาสตร์ที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเสนอ
นอกจากนั้น ให้มีคณะกรรมการในลำดับที่ 2 กล่าวคือ ภายใต้คณะมนตรีวิเทโศบาย ให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อทำหน้าที่รับนโยบายจากคณะมนตรีวิเทโศบาย ไปวางแนวทางปฏิบัติในด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ เพื่อให้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ และของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารราชการต่างประเทศ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธาน เพื่อทำหน้าที่ในการแปลงนโยบายและยุทธศาสตร์ต่างๆ ไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้แต่ละกระทรวงมีการเชื่อมโยงและมีการประสานความร่วมมือกันระหว่างกระทรวง ทบวง กรม และข้าราชการประจำต่างๆ
ครม.สั่ง ก.คลัง เร่งพิจารณาเกณฑ์คิดค่าเช่าที่ดิน-ท่อก๊าซ
นอกจากนี้ นายโชติชัย ยังเปิดเผยด้วยว่า วันนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รายงานต่อที่ประชุม ครม. ภายหลังการประชุมเสร็จสิ้นแล้ว เนื่องจากว่าไม่สามารถทำเอกสารได้ทัน มีการรายงานด้วยวาจาว่า ทางกระทรวงการคลังยังไม่สามารถที่จะสรุป กำหนดรูปแบบและรายละเอียดเกี่ยวกับการคิดค่าเช่าที่ดินและท่อก๊าซ ในกรณีของ ปตท. ยังไม่สามารถกำหนดรายละเอียดที่ชัดเจนได้ ขอขยายเวลาในการพิจารณาออกไปอีก 2 อาทิตย์ เนื่องจากตอนแรก มติ ครม.ให้เวลาในการจัดทำให้เสร็จภายใน 3 อาทิตย์ แต่เนื่องจากยังทำไม่เสร็จ จึงขอขยายเวลาออกไปอีก 2 อาทิตย์ เพื่อกำหนดอัตราค่าเช่าอย่างรอบคอบขึ้น
ซึ่งกระทรวงพลังงานได้ให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า ขอให้การกำหนดค่าเช่าที่ดินและท่อก๊าซ คำนึงถึงผลประโยชน์ของทุกฝ่าย ได้แก่ กระทรวงการคลัง ปตท. ผู้ถือหุ้นของ ปตท. ที่สำคัญคือผู้ใช้ก๊าซทั่วประเทศ ในการกำหนดราคาค่าเช่าที่ดินและท่อก๊าซ
ซึ่ง ครม.ได้มีคำสั่งให้พิจารณาให้เสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งอีก 2 อาทิตย์ต้องนำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ ครม.อนุมัติ
ครม.ต่ออายุเลขาธิการสำนักงานกฤษฎีกาอีก 1 วาระ
นายโชติชัย แถลงต่ออีกว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบการต่ออายุเลขาธิการสำนักงานกฤษฎีกา ของคุณหญิงพรทิพย์ จาละ อีก 1 วาระ
ครม.เห็นชอบ พ.ร.ฎ.เรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ.2551
พ.อ.ประชาสัณห์ แถลงว่า เนื่องจากมีการเลือกตั้งไปเรียบร้อยแล้ว และจะต้องมีการเปิดประชุมสภาฯ ให้ได้ภายใน 30 วันหลังจากมีการเลือกตั้ง วันนี้ ครม.จึงได้เห็นชอบในหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พุทธศักราช 2551 ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมขึ้น ทั้งนี้ในร่างดังกล่าวยังไม่ได้ระบุวันที่เรียกประชุมรัฐสภา และให้ทางสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ประสานกับสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสำนักราชเลขาธิการ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศผลการเลือกตั้ง และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มารายงานตัวเกินกึ่งหนึ่งแล้ว เพื่อกำหนดวันที่จะเสด็จพระราชดำเนิน หรือโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระราชทานอนุญาตทรงทำรัฐพิธีเปิดประชุมสมัยประชุมสามัญทั่วไปในครั้งแรก ต่อไป
ครม.เห็นชอบแนวทางการขออนุญาตเข้าใช้พื้นที่น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์
พ.อ.ประชาสัณห์ แถลงว่า ครม.เห็นชอบตามที่คณะกรรมการกลั่นกรอง คณะที่ 2 เห็นชอบในหลักการ ในแนวทางการขออนุญาตเข้าใช้พื้นที่เพื่อดำเนินงานในโครงการฟื้นฟู พัฒนาคุณภาพชีวิต และพื้นที่ต้นน้ำน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ตามที่กระทรวงกลาโหม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้หารือร่วมกัน และให้ทั้งกระทรวงกลาโหม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกระทรวงมหาดไทย รับความเห็นและข้อสังเกตต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ สืบเนื่องจาก กระทรวงกลาโหมขออนุญาตเข้าใช้พื้นที่ลุ่มน้ำ ซึ่งลุ่มน้ำที่อยู่ในเขตน้ำหนาวนั้นเป็นลุ่มน้ำชั้น 1 เอ และ 1 บี จำนวน 2,500 ไร่ เพื่อดำเนินงานในโครงการฟื้นฟู พัฒนาคุณภาพชีวิตและพื้นที่ต้นน้ำน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์
ทั้งนี้ โครงการนี้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2545 ก่อนจะมีมติในเรื่องนี้ก่อนแล้ว เป็นการขยายผลสำเร็จในการบริหารจัดการของศูนย์ศึกษา พัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และได้อนุมัติให้กองบัญชาการทหารสูงสุดดำเนินการ โดยใช้งบประมาณเมื่อปี 2549 จำนวน 84 ล้านบาทเศษ เป็นงบดำเนินการ แต่เนื่องจากว่าอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอ และ 1 บี จะต้องดำเนินการในเรื่องของกฎหมาย ขออนุญาตใช้ และดำเนินการรายงานผลกระทบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม จึงต้องดำเนินการให้ครบถ้วน คือไปประชุมหารือและขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีต่อไป
ซึ่งหลักการเบื้องต้นของโครงการ มีสาระสำคัญประกอบด้วย 2 ส่วนหลักๆ คือ พื้นที่ที่กระทรวงกลาโหมจะใช้ คือ
พื้นที่ส่วนที่ 1 คือ 75 ไร่ ใช้เป็นพื้นที่ก่อสร้างอาคารศูนย์ประสานงานโครงการ ซึ่งจะดำเนินการรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม เสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อพิจารณา และเมื่อดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงจะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
พื้นที่ที่ 2 คือ จำนวน 1,175 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ศูนย์เรียนรู้และแปลงทดลองดำเนินงาน ที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ซึ่งจะต้องดำเนินการให้เป็นประโยชน์ ในการควบคุมดูแล หรือบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ที่เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธาร
โดยจะดำเนินการประสานกับทั้งกรมป่าไม้ เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมปฏิบัติงานกับกรมป่าไม้ ประสานกับกรมป่าไม้ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการปรับปรุงและกำหนดกิจกรรม แผนแม่บทต่างๆ
เมื่อได้ดำเนินการตามส่วนที่ 2 ในพื้นที่ 1,175 ไร่เรียบร้อยแล้ว จะต้องดำเนินการศึกษา ติดตามประเมินผลความสำเร็จของโครงการ หากดำเนินการมีผลสำเร็จตามโครงการแล้วและไม่เกิดผลกระทบในเชิงลบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน และทรัพยากรธรรมชาติ จึงจะดำเนินการในพื้นที่ส่วนที่ 3 ต่อไปอีก จำนวน 1,250 ไร่ วันนี้ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไปเรียบร้อยแล้ว
ครม.อนุมัติตำแหน่งเพิ่มใหม่สำหรับผู้สำเร็จการศึกษา
พ.อ.ประชาสัณห์ แถลงว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติตามคณะกรรมการกลั่นกรอง 1 เช่นเดียวกัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้เสนอมา คือ เรื่องของ ขออนุมัติตำแหน่งเพิ่มใหม่สำหรับผู้สำเร็จการศึกษา ตั้งแต่ปี 45-48 ของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งขณะนี้มี 8 สายงานไม่ได้รับการบรรจุแต่งตั้ง จำนวน 1,355 ตำแหน่ง
อีกประเด็นหนึ่งที่ขออนุมัติคือ ขออนุมัติตำแหน่งเพิ่มใหม่สำหรับผู้สำเร็จการศึกษา ตั้งแต่ปี 49-50 จำนวน 5,699 ตำแหน่ง ซึ่งปี 49 7 สายงาน จำนวน 2,859 ตำแหน่ง ปี 50 7 สายงาน จำนวน 2,840 ตำแหน่ง
เนื่องจากในการดำเนินการดังกล่าว ครม.เคยมีมติเอาไว้ตั้งแต่ปี 2550 ตั้งแต่ 1 ตุลาฯ 2550 ในการคงอัตราของข้าราชการไว้ หากจะมีการปรับเพิ่มนั้นต้องให้ดำเนินการขอปรับกับคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ดำเนินการต่อไป
ในประเด็นที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอนั้น แยกออกเป็น 2 ประเด็น
ประเด็นแรก คือ ขอตำแหน่งใหม่ ปี 45-48 จำนวน 1,355 ตำแหน่ง คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ มีมติตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 50 แล้วว่า ในปี 50 เป็นต้นไป หากกระทรวงสาธารณสุขจำเป็นต้องใช้ตำแหน่งว่าง เพื่อบรรจุนักเรียนทุนกระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ อาจพิจารณาจัดสรรอัตรา จากผลการเกษียณอายุ ให้เต็มจำนวน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการบรรจุนักเรียนทุนดังกล่าวได้ครบในเวลา 3 ปี
อย่างไรก็ตาม หากกระทรวงสาธารณสุขมีเหตุผลและความจำเป็นเร่งด่วน ที่จะบรรจุนักเรียนทุนภายในเวลาอันรวดเร็วขึ้น เห็นควรที่กระทรวงสาธารณสุขจะชี้แจงเหตุผลความจำเป็นต่อคณะกรรมการดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ อยู่แล้ว
ประเด็นที่ 2 คือ ตำแหน่งที่เพิ่มใหม่ในปี 49 - 50 5,699 ตำแหน่งนั้น เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุข รอผลการศึกษาของสำนักงาน ก.พ. ตามโครงการกำหนดยุทธศาสตร์กำลังพลภาครัฐ กรณีศึกษาของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่ โดยสถาบันเกี่ยวกับวิชาการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดำเนินการให้ ซึ่งประมาณปีงบประมาณ 2551 จะเรียบร้อย แล้วค่อยดำเนินการในประเด็นที่ 2 ต่อไป
ครม.อนุมัติร่างระเบียบการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ
พ.อ.ประชาสัณห์ แถลงว่า ครม.ได้อนุมัติตามข้อเสนอของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เสนอร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ.....
โดยหลักการสืบเนื่องจากระเบียบรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ปี 2517 เป็นระเบียบที่วางแนวทางการปฏิบัติในการรักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับบุคคล เอกสารและสถานที่ ใช้บังคับมานานแล้ว มีบทบัญญัติที่ไม่เหมาะสมในปัจจุบัน และมีการนำรายละเอียดในการปฏิบัติมากำหนดไว้ในระเบียบเกินความจำเป็น ประกอบกับระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ ปี 2544 เป็นระเบียบที่ปฏิบัติในการรักษาข้อมูลข่าวสาร ที่มีคำสั่งไม่เปิดเผย มิให้รั่วไหล จึงเป็นระเบียบที่ใช้บังคับข้อมูลข่าวสารที่จัดทำขึ้นในรูปเอกสารเท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงการรักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่
ดังนั้น จึงเห็นสมควรปรับปรุงระเบียบว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ปี 2517
สาระสำคัญ คือ เป็นการยกเลิกระเบียบว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ปี 2517
สาระสำคัญที่กำหนดไว้ในร่างระเบียบใหม่นั้น
- กำหนดให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยในหน่วยงานของตน และให้มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ควบคุมการรักษาความปลอดภัย
- กำหนดหลักเกณฑ์การเข้าถึงสิ่งที่เป็นความลับของทางราชการ การตรวจสอบประวัติและพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับชั้นความลับ
- กำหนดให้การมอบหมายเจ้าหน้าที่ปฏิบัติเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นความลับของทางราชการ ให้ยึดหลักการจำกัดให้ทราบเท่าที่จำเป็น
- การกำหนดชั้นความลับ ให้กำหนดไว้ คือ 3 ชั้น ชั้นลับที่สุด ลับมาก และลับ
- กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (กรช.) ประกอบด้วย รัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่ง โดยให้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ
- ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการ
- ให้องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ องค์การมหาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ อาจนำระเบียบนี้ไปใช้บังคับโดยอนุโลม
- ให้ใช้ระเบียบนี้ใช้ปฏิบัติต่อผู้ที่อยู่ระหว่างการรอบรรจุ หรือรอการแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย
- การกำหนดหลักเกณฑ์การรักษาความปลอดภัยบุคคล การตรวจสอบประวัติและพฤติการณ์ของบุคคล
ครม.เห็นชอบวาระเพื่อเด็กและเยาวชน ปี 2551
พ.อ.ประชาสัณห์ แถลงว่า กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำเสนอวาระเพื่อเด็กและเยาวชนปี 2551 ให้ ครม.เห็นชอบ
ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดทำวาระเพื่อเด็กและเยาวชนเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ คณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธาน ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำวาระเพื่อเด็กและเยาวชน ขึ้นมา และมีการประชุมหารือกัน
เห็นควรว่า ประเด็นวาระเพื่อเด็กและเยาวชน ในปี 2551 ควรใช้ประเด็นใน 5 ด้านเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา แต่เนื่องจากว่าเป็นนโยบายหลักที่มีความสำคัญต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหา รวมทั้งพฤติกรรมของเด็กและเยาวชน จึงควรมีมาตรการที่แตกต่างไปจากปี 50 อย่างชัดเจนใน 5 ประเด็น ดังนี้คือ
1. ส่งเสริมกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน ทั้งในและนอกระบบการศึกษา เพื่อส่งเสริมศักยภาพของเด็กและเยาวชนที่หลากหลาย ทำให้เกิดคุณลักษณะที่ดี ตลอดจนการมีส่วนร่วมกับชุมชน ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสังคม โดยรัฐบาลจะจัดให้มีกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ดีกับเด็กและเยาวชน ต่อไป
2. ส่งเสริมสถาบันครอบครัว เพื่อส่งเสริมให้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของครอบครัว ในทุกภาคส่วนของสังคม โดยรัฐบาลกำหนดให้หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างการเรียนรู้และทำกิจกรรมร่วมกันของครอบครัว ภายในหน่วยงานด้วย
ประเด็นที่ 3 ส่งเสริมสื่อเพื่อการศึกษา และการเรียนรู้สำหรับเด็ก เยาวชน และครอบครัว เพื่อให้เกิดรายการโทรทัศน์เพื่อการส่งเสริมการศึกษาการเรียนรู้ ของเด็ก เยาวชน และครอบครัว โดยจะเพิ่มมาตรการทางภาษี เป็นการส่งเสริมผู้ประกอบการด้านสื่อ เพื่อส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ สำหรับเด็ก เยาวชน และครอบครัว
3. จังหวัดน่าอยู่สำหรับเด็กและเยาวชน เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ปลอดอบายมุข โดยรัฐบาลจะส่งเสริมให้เกิดจังหวัดต้นแบบ อย่างน้อยภาคละ 1 จังหวัด ที่มุ่งเน้นการลดปัญหา ปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาวะ
4. ส่งเสริมการเรียนรู้ การส่งเสริมพื้นที่สร้างสรรค์ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชนในพื้นที่ของจังหวัดนำร่องด้วย
5. ส่งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพ เพื่อให้เด็กปฐมวัย ซึ่งเป็นช่วงที่มีโอกาสสำคัญในการเรียนรู้ด้านเชาวน์ปัญญา และความฉลาดทางอารมณ์ ได้พัฒนาเต็มศักยภาพ โดยรัฐบาลจะประสานบูรณาการในการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาเด็กปฐมวัย ให้มีมาตรฐานและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ครม.อนุมัติแก้ไของค์ประกอบ คกก.กองทุนลานกีฬาต้านยาเสพติด
พ.อ.ประชาสัณห์ แถลงว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยกองทุนลานกีฬาต้านยาเสพติด
สืบเนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเดิมทีสังกัดอยู่กับสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ต่อมาได้ย้ายสังกัดมาอยู่กับกระทรวงยุติธรรมแล้ว เพราะฉะนั้นการแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับต้นสังกัด มีการแก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการกองทุนลานกีฬาต้านยาเสพติด ให้ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ผู้แทนกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงศึกษาธิการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งนายกรัฐมนตรีตั้ง จำนวนไม่เกิน 2 คน เป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นกรรมการและเลขานุการ มีการแก้ไขคำนิยามของคำว่า กองทุนลานกีฬาต้านยาเสพติด ให้ครอบคลุมและกว้างขวางมากยิ่งขึ้น
ครม.รับทราบหมายกำหนด “ในหลวง-ราชินี” เสด็จฯ ยังพระบรมมหาราชวัง
นายไชยา แถลงว่า ในเรื่องของหมายกำหนดการในวันพรุ่งนี้ (9 ม.ค.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในเวลา 17.00 น. และวันพฤหัสบดีที่ 10 ทั้ง 2 พระองค์ จะเสด็จฯ ไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เวลา 10.30 น.
ครม.รับทราบการเปลี่ยนชื่อ คกก.จัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ
นายไชยา แถลงต่อว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบการเปลี่ยนแปลงชื่อคณะกรรมการการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพฯ
ครม.เห็นชอบการเปลี่ยนแปลงการจัดซื้อเครื่องบินรบ
นายไชยา แถลงเรื่องของกองทัพอากาศ ในการจัดซื้อเครื่องบิน สืบเนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้มีการประชุม ครม.อนุมัติเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ที่จะจัดซื้อหาเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์ทดแทนเครื่องบินขับไล่แบบ เอฟ 5 อี จำนวน 6 เครื่อง เป็นงบประมาณทั้งสิ้น 19,000 ล้านบาท เป็นงบผูกพัน 2551-2555 โดยเป็นเรื่องเดิมที่อนุมัติเห็นชอบในหลักการไปแล้ว และในครั้งนี้ทางกระทรวงกลาโหมมีการนำเสนอในลักษณะที่มีการจัดซื้อเครื่องบิน เป็นเครื่องบิน กริพเพน 39 ซี/ดี มีข้อเสนอพิจารณา 2 ข้อ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติ 2 ประเด็น
ประเด็นที่ 1 กระทรวงกลาโหมพิจารณาเห็นว่ากองทัพอากาศดำเนินการอันเป็นประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการภายใต้มติ ครม.ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม และกรอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ ตามข้อ 2 โดยจำเป็นต้องจัดหาเครื่องบินประจำการ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการโครงการเรียบร้อย ได้มีข้อเสนอ ดังนี้
1. ให้กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพอากาศ ดำเนินการจัดซื้อเครื่องบินกริปเปน จีอาร์ไอพีอีเอ็น 39 ซี/ดี จำนวน 6 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์ อะไหล่ การฝึกอบรม การปรับปรุงอาคารสถานที่ และการบริหารโครงการ เป็นเงิน 19,000 ล้านบาท โดยวิธีรัฐบาลต่อรัฐบาล (จี2จี) ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสวีเดน
2. ให้ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นผู้รับมอบอำนาจลงนามในข้อตกลงการซื้อขายเครื่องบิน ในนามรัฐบาลไทย รวมทั้งแก้ไขข้อตกลงการซื้อขายเครื่องบินโดยวงเงินรวมไม่เปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ มีการอธิบายจาก พล.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้ข้อสรุปเพิ่มเติมว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว มีเงื่อนไขพิเศษที่รัฐบาลสวีเดนจะจัดให้ เป็นข้อที่ 3 คือ ทางรัฐบาลสวีเดน ในการเจรจากับคณะกรรมการ จะมีการจัดเครื่องบินควบคุมและแจ้งเตือนทางอากาศ ติดตั้งอุปกรณ์เรดาร์แบบอีรีอาย 1 เครื่อง หรือ 1 ลำ กับเครื่องบินลำเลียงแบบ SAAV-340 จำนวน 1 เครื่อง พร้อมทั้งทุนการศึกษาระดับปริญญาโท จำนวน 92 ทุน และระบบดาต้าลิงก์ สำหรับการป้องกันทางอากาศในระบบควบคุมและแจ้งเตือนภาคใต้ เพราะฉะนั้นเครื่องบินที่มีการตกลงนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วน ลักษณะประเภทเครื่องบิน คือ 1 ที่นั่ง จำนวน 2 ลำ และ 2 ที่นั่ง จำนวน 4 ลำ รวม 6 ลำ เฉพาะค่าจัดซื้อเครื่องบินพร้อมอุปกรณ์อะไหล่ และการฝึกอบรม 18,284 ล้านบาท
ส่วนเรื่องการปรับปรุงอาคารสถานที่และการบริหารโครงการ ในส่วนกองทัพอากาศรับผิดชอบ ซึ่งต้องดำเนินการก่อนและหลังการรับมอบเครื่องบิน เป็นเงิน 716 ล้านบาท ทั้งหมดมี 3 ประเด็นด้วยกัน
ครม.เห็นชอบแผนปรับปรุง-ขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า
นายไชยา แถลงต่อว่า เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 10 (พ.ศ.2551-2555) แผนงานเปลี่ยนระบบสายอากาศเป็นสายใต้ดิน (พ.ศ.2551-2556) และแผนปรับปรุงขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 9 ครั้งที่ 2 (พ.ศ.2547-2550)
ทั้งนี้ เป็นข้อเสนอจากกระทรวงมหาดไทย ของการไฟฟ้านครหลวง ที่จะมีแผนปรับปรุงขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 10 (พ.ศ.2551-2555) วงเงินลงทุน 27,699 ล้านบาท และแผนปรับปรุงขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ 9 (พ.ศ.2547-2550) ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 วงเงินลงทุน 34,497 ล้านบาท และแผนงานเปลี่ยนระบบสายอากาศเป็นสายใต้ดิน (พ.ศ.2551-2556) จำนวน 3 โครงการ คือ โครงการปทุมวัน จิตรลดา และพญาไท เพิ่มเติม โครงการพระราม 3 และโครงการนนทรีย์ วงเงินลงทุน 5,699 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หลังจากการประชุมได้มีการอนุมัติตามคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ชุดที่ 1 แล้ว นายกรัฐมนตรี ได้ตั้งข้อสังเกตว่า น่าจะให้มีการรวมระบบสาธารณูปโภคทั้งหมด
ครม.เห็นชอบยุทธศาสตร์นำไทยเข้าสู่สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้
นายไชยา แถลงว่า ในเรื่องของข้อเสนอยุทธศาสตร์และมาตรการในการนำประเทศไทยเข้าสู่สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ และการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนด้านความรู้ (Board of Knowledge Investment - BOKI) ทั้งนี้ เป็นไปตามคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอ ครม. คณะที่ 2
มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของหลักการ ยุทธศาสตร์ และมาตรการในการนำประเทศไทยเข้าสู่สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอนั้น ที่ประชุมได้เห็นชอบให้เป็นไปตามนั้น
แต่ที่อภิปรายกันมาก คือ เรื่องของคณะกรรมการผลักดันยุทธศาสตร์และมาตรการในการนำประเทศไทยเข้าสู่สังคมและเศรษฐกิจฐานความรู้ มีการกำหนดชื่อ อำนาจหน้าที่ องค์ประกอบของคณะกรรมการต่างๆ ที่ไม่ต้องการให้ซ้ำซ้อนกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการร่างยุทธศาสตร์ แต่ในเรื่องของคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นนั้น น่าจะมีการปรึกษาหารือเพิ่มเติมในการจะมีการปรึกษาหารือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับสภาพัฒน์
ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการ กทม.
นายไชยา แถลงว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร ฉบับที่... พ.ศ.... ที่เสนอโดยกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ มี 2 ประเด็นสำคัญที่เห็นชอบ
1. รับทราบรายงานข้อมูล ผลกระทบเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากร และค่าธรรมเนียมตามมติ ครม. 18 ตุลาคม 2548 และอนุมัติหลักการตัวร่างพระราชบัญญัติ ในตัวระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร เพื่ออนุมัติ ทั้งในเรื่องที่ได้รับทราบจากกระทรวงมหาดไทย จากที่มีการร่วมมือกับกระทรวงการคลัง สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีอากรและค่าธรรมเนียมต่อประชาชนและสังคม ตามมติคณะรัฐมนตรี
2. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร เมื่อปี 2528 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน โดยใช้บังคับมานานแล้ว ต้องมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง มีการอภิปรายกันมากถึงแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจปกครองส่วนท้องถิ่น และไม่สำคัญเท่ากับว่า อาจจะมีการก่อตั้งเป็นวิสาหกิจของกรุงเทพมหานครในรูปบริษัทหรือถือหุ้นในบริษัทได้ ประเด็นสำคัญคือ อนุมัติ แต่มีข้อสังเกตจากกระทรวงการคลัง จาก สศช. จากอัยการสูงสุด และสำนักงบประมาณ
ครม.เห็นชอบการกำหนดราคา-ผลตอบแทนการจำหน่ายอ้อยและน้ำตาลทราย
นายไชยา แถลงว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2550-51 และการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้าย ผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิต 49-50 เท่าที่ทราบ เรื่องอ้อย เป็นพืชผลเกษตรทางการเมืองอันหนึ่ง นอกเหนือจากข้าว มันสำปะหลัง
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ คือเรื่องในการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ปี 50-51 โดยทั้งสิ้น อัตราอ้อยตันละ 600 บาท และจะมีการจ่ายล่วงหน้าเพิ่มอีก 100 บาท มีรายละเอียดของภาระหนี้สินกองทุนต่างๆ พร้อมทั้งหนี้สะสม และหนี้สินล่าสุดเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2550 และการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทน
ครม.อนุมัติหลักการการกำหนดราคาอ้อยและน้ำตาล
นายโชติชัย แถลงว่า ในวันนี้ ครม.ได้อนุมัติหลักการตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ในเรื่องการกำหนดราคาอ้อยและน้ำตาล ตามที่โฆษกฯ ได้เกริ่นให้ทราบแล้วว่า ในหลักการของการกำหนดราคาอ้อยและน้ำตาล เนื่องจากเป็นพืชผลทางการเกษตรที่สำคัญมาก จึงจะมีวิธีการกำหนดราคาที่แตกต่างจากพืชชนิดอื่นออกไป โดยมีการกำหนดให้มีคณะกรรมการที่มีส่วนร่วมระหว่างรัฐและเอกชน ทั้งเกษตรกร และโรงงาน ในการกำหนดราคาอ้อยและน้ำตาล โดยจะมีการกำหนดราคาปีละ 2 ครั้ง คือ ขั้นต้น และขั้นสุดท้าย
ในหลักการที่ทางกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอมานั้น เป็นหลักการของปี 49-50 เป็นราคาขั้นสุดท้าย และในปี 50-51 เป็นขั้นต้น ซึ่งมติของที่ประชุม ครม.มีดังนี้
1. เห็นชอบให้ปรับกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทน สำหรับปี 2550-2551 โดยให้กำหนดในอัตราอ้อยตันละ 600 บาท ณ ระดับค่าความหวาน 10 ccs อัตราขึ้น-ลงของราคาอ้อย 36 บาทต่อ 1 หน่วย ccs และกำหนดผลตอบแทนการผลิตขั้นต้น ที่ 257.14 บาทต่อตันอ้อย
2. อนุมัติตาม พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาล ให้กองทุนกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ได้เพิ่มราคาอ้อยให้กับชาวไร่อ้อย ตาม พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาล ในอัตราตันละ 62 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,225.30 ล้านบาท และให้กำหนดในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน และให้กองทุนจ่ายตรงให้กับชาวไร่อ้อย ซึ่งจะทำให้กองทุนมีภาระหนี้รวมทั้งสิ้น 17,000 ล้านบาท จึงขอให้ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ของกองทุนออกไปอีก เป็น 11 ปี จนถึงปี 2561
3. อนุมัติแนวทางการจัดการภาระหนี้ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
4. กำหนดให้กระทรวงพลังงานกำหนดนโยบายส่งเสริมการนำอ้อยและกากน้ำตาล ไปผลิตเป็นพลังงานทดแทน เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ในประเด็นนี้ กระทรวงพลังงานได้ให้ความเห็นต่อที่ประชุม ครม.ว่า กระทรวงพลังงานกำหนดนโยบายส่งเสริมการนำอ้อยและกากน้ำตาลไปผลิตเป็นพลังงานทดแทน โดยเห็นว่าเป็นมาตรการส่งเสริมแก๊สโซฮอล์ ที่ได้มีการกำหนดตั้งแต่ปลายปี 2549 มาแล้ว เช่น การปรับโครงสร้างราคา การสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค การขอความร่วมมือจากผู้ค้าน้ำมันและผู้ผลิตรถยนต์
ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้การจำหน่ายแก๊สโซฮอล์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากระดับ 3.5 ล้านลิตรต่อวัน ในปี 2549 เป็น 7.4 ล้านลิตรต่อวัน ในช่วงปลายปี 2550 ซึ่งจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และคาดว่าการใช้แก๊สโซฮอล์จะเพิ่มเป็น 8 ล้านลิตรต่อวัน ในช่วงเดือนมกราคม 2551 ซึ่งจะมีผลให้มีความต้องการเอทานอลเพื่อผสมเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ จำนวน 8 แสนลิตรต่อวัน
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน คาดว่าการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ อี 10 จะเพิ่มเป็น 11 ล้านลิตรต่อวัน ในช่วงปลายปี 2551 ส่วนการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ อี 20 จะเพิ่มเป็น 2 แสนลิตรต่อวัน ในช่วงปลายปี 2551 ซึ่งจะทำให้ความต้องการเอทานอลเพิ่มขึ้นเป็น 1.14 ล้านลิตรต่อวัน
และเนื่องจากรถยนต์เก่าที่ไม่สามารถใช้แก๊สโซฮอล์จะมีจำนวนลดลงเป็นลำดับ และรถยนต์ใหม่จะสามารถใช้แก๊สโซฮอล์ อี 20 ได้เกือบทั้งหมด กระทรวงพลังงานจึงคาดว่าความต้องการเอทานอลจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.4 ล้านลิตรต่อวัน ในปี 2554
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน รายงานว่า อยู่ระหว่างการหารือกับผู้ผลิตรถยนต์ และโรงกลั่นน้ำมัน ถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม และความเป็นไปได้ที่จะให้รถยนต์ใหม่สามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 85
5. ในการกำหนดนโยบายส่งเสริมแก๊สโซฮอล์นั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ ด้วย ได้แก่ ผู้ใช้รถยนต์ โดยเฉพาะผลกระทบต่อเครื่องยนต์ และการยอมรับของผู้ใช้รถยนต์ ความพร้อมของอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ และความพร้อมของอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมัน รวมถึงการผลิตเอทานอลจากวัตถุดิบทางการเกษตรอื่นๆ เช่น มันสำปะหลัง ซึ่งจะพิจารณาการมุ่งสนับสนุนเฉพาะการผลิตอ้อยและกากน้ำตาล เพียงประการเดียวไม่ได้
ทั้งนี้ เป็นมาตรการส่งเสริมการใช้อ้อยมากขึ้นในเรื่องของการผลิตพลังงานทดแทน
ครม.อนุมัติการกำหนดราคาและผลตอบแทนของการผลิตอ้อยขั้นสุดท้าย
นายโชติชัย แถลงว่า ให้ความเห็นชอบในการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้าย และผลตอบแทนการผลิตขั้นสุดท้าย ฤดูกาลผลิต 2549-2550 เป็นรายเขต โดยมีราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศ ที่ 702.19 บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับค่าความหวาน 10 ccs อัตราขึ้น-ลง ของราคาอ้อย 42.13 บาทต่อ 1 หน่วย ccs และผลตอบแทนการผลิตขั้นสุดท้าย เฉลี่ยทั่วประเทศที่ 300.94 บาทต่อตันอ้อย
นอกจากนั้น ยังให้ความเห็นชอบการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคาอ้อย และผลตอบแทนการผลิตขั้นต้น และขั้นสุดท้าย ฤดูกาลผลิตปี 2549-2550 จำนวน 9,948 ล้านบาท
และยังอนุมัติให้จัดหาเงินสมทบการชดเชยให้กองทุน จำนวน 5,277 ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาดำเนินการจัดหาเงินกู้ให้กับกองทุน ตามจำนวนดังกล่าวไปก่อน และตั้งงบประมาณให้กระทรวงอุตสาหกรรมปีละ 450 ล้านปี เป็นเวลา 11 ปี และชำระส่วนที่เหลือในปีที่ 12 โดยให้เริ่มจัดสรรงบประมาณเพื่อการนี้ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2552 เพื่อชำระหนี้ ทั้งนี้ ให้กองทุนรับภาระในส่วนของดอกเบี้ยเอง
ประการสุดท้าย ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาอนุโลมให้โรงงานชำระภาษีเงินได้ในส่วนของเครดิตโรงงานจำนวน 2,984 ล้านบาท เมื่อได้รับเงินคืนจากกองทุนแล้ว
ครม.อนุมัติร่างระเบียบการเบิกจ่ายเงินรางวัล เงินสินบน
นายโชติชัย แถลงว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติร่างระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินรางวัล เงินสินบน ในการปราบปรามผู้กระทำความผิดทางอาญา
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากการที่ระเบียบกระทรวงการคลังในเรื่องนี้ค่อนข้างล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับภาวการณ์ในปัจจุบัน และเป็นการเบิกจ่ายที่ซ้ำซ้อน จึงยกเลิกระบียบที่ซ้ำซ้อน และกำหนดระเบียบขึ้นมาใหม่ โดยยกเลิกอำนาจการสั่งจ่ายของผู้ว่าราชการจังหวัด อธิบดีกรมการปกครอง และคณะกรรมการศูนย์การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม
โดยกำหนดให้เป็นระเบียบใหม่ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเงิน และมีอำนาจตัดสินใจในการเบิกจ่ายเงิน โดยรับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง
ทั้งนี้ จะช่วยทำให้ระเบียบในเรื่องของการให้แรงจูงใจในการที่จะนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดทางอาญา โดยตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดสรรงบประมาณปีละ 22 ล้านบาท มาใช้เพื่อการนี้
ครม.อนุมัติร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการจัดการเงิน กบข.
นายโชติชัย แถลงว่า วันนี้ ครม.ได้อนุมัติข้อเสนอของกระทรวงการคลัง ในเรื่องหลักเกณฑ์ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการจัดการเงินกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ โดยเห็นว่าในปัจจุบันนี้ระบบดังกล่าวไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ ภาวะตลาดเงินตลาดทุนที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการลงทุนให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดแก่สมาชิกของกองทุนฯ สมควรเพิ่มสัดส่วนในการนำเงินของกองทุนฯ ไปลงทุนในหลักทรัพย์บางประเภท และเพื่อให้การจัดการเงินของกองทุนฯ กระทำได้กว้างขวางยิ่งขึ้น และให้สามารถกระจายความเสี่ยงของการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จึงเห็นควรให้
1. เพิ่มวงเงินลงทุนในหุ้น เป็นหุ้นสามัญ หุ้นกู้แปรสภาพเป็นหุ้นสามัญ และใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น จากเดิมที่กำหนดไว้ร้อยละ 30 ของเงินกองทุน เป็นร้อยละ 35 ของเงินกองทุน
2. เพิ่มวงเงินลงทุนในต่างประเทศ จากเดิมร้อยละ 15 ของเงินกองทุน ให้เปลี่ยนเป็นร้อยละ 25 ของเงินกองทุน
ทั้งนี้ เป็นการขยายลิมิตของการที่จะให้ กบข.ไปลงทุนในต่างประเทศได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการกระจายความเสี่ยงของ กบข. และจะเป็นมาตรการที่สอดคล้องกับนโยบายในการเพิ่มการลงทุนในต่างประเทศ และแก้ไขปัญหาเรื่องการแข็งค่าของเงินบาท เพราะจะลดการไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศ ขณะเดียวกัน ก็จะเพิ่มการไหลออกของเงินลงทุนไปต่างประเทศด้วย
ครม.อนุมัตินโยบายส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตเหล็กขั้นต้น
นายโชติชัย แถลงอีกว่า วันนี้ ครม.ได้อนุมัตินโยบายส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตเหล็กขั้นต้น เพื่อผลิตเหล็กคุณภาพสูง ทั้งนี้ เป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ ครม.จึงได้อนุมัติในหลักการและข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ดังนี้
เห็นชอบให้มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตเหล็กขั้นต้น เพื่อผลิตเหล็กคุณภาพสูง ซึ่งได้มีการประกาศเป็น TOR แนวทางในการส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตเหล็กขั้นต้น เพื่อผลิตเหล็กคุณภาพสูงไปแล้ว โดยมีกำหนดวันสุดท้ายในวันที่ 31 มกราคม 2551 ซึ่งปัจจุบันได้มีผู้ยื่นข้อเสนอมาแล้ว 2 ราย คือ บริษัท นิปปอนสตีล จากประเทศญี่ปุ่น และบริษัท เจเอฟอี สตีล คอร์ปอเรชั่น ซึ่งมีมูลค่าโครงการๆ ละ 1 แสนล้านบาท รวม 2 โครงการเป็น 2 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ เนื่องจากกิจการผลิตเหล็กขั้นต้นเพื่อผลิตเหล็กคุณภาพสูง เป็นโครงการขนาดใหญ่ จำเป็นที่จะต้องมีการเตรียมความพร้อม ทั้งในเรื่องพื้นที่ ที่ตั้งของอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภค การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการทำความเข้าใจ และการยอมรับของชุมชนในพื้นที่ ครม.จึงได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานกลางในการวางแผนพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ไปจัดทำแผนปฏิบัติการในการกำหนดแผนพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งภาคใต้ เพื่อรองรับโครงการลงทุนในอุตสาหกรรมเหล็กต่อไป
ครม.อนุมัติร่าง พ.ร.ฎ.การจัดทำแผนพัฒนา-งบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด
นายโชติชัย แถลงว่า ในวันนี้ ครม.ได้อนุมัติข้อเสนอของสำนักงานกฤษฎีกา ในร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำแผนพัฒนาและงบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ที่ทางกฤษฎีกาได้ไปแก้ไขมา และกำหนดเป็นหลักเกณฑ์ใหม่ ดังนี้
1. ให้มีคณะกรรมการนโยบายแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด โดยมีชื่อย่อว่า กนพ. ซึ่งประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ 1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ 2
ให้คณะกรรมการดังกล่าวมีหน้าที่ในการกำหนดกรอบนโยบายในการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระดับชาติ ซึ่ง กนพ.จะเป็นผู้พิจารณากำหนดกลุ่มจังหวัด ซึ่งกลุ่มจังหวัดนั้นจะเป็น Cluster แต่ไม่รวมกรุงเทพมหานคร และพัทยา โดยจังหวัดจะพิจารณาจากอาณาเขตที่มีการติดต่อกันทางภูมิศาสตร์ และมีความสัมพันธ์กันทางเศรษฐกิจ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างจังหวัด
2. ให้มีคณะกรรมการจัดทำแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ประกอบด้วย หัวหน้ากลุ่มจังหวัด เป็นประธานกรรมการ มีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นรองประธานกรรมการ และกำหนดให้มีผู้แทนภาคธุรกิจ เอกชน ซึ่งประกอบไปด้วย ประธานสภาอุตสาหกรรมของจังหวัดในแต่ละจังหวัดในกลุ่มจังหวัดนั้น ประธานหอการค้าจังหวัดของแต่ละจังหวัดในกลุ่มจังหวัดนั้น
3. กำหนดวิธีการจัดทำงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ให้ในการจัดทำงบประมาณจังหวัดนั้น ให้สำนักงบประมาณเสนอความเห็นในการกำหนดกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี ในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แก่จังหวัด ซึ่งจะทำให้จังหวัดมีอำนาจในการตัดสินใจกำหนดงบประมาณ และกำหนดวิธีการใช้จ่ายงบประมาณของแต่ละจังหวัดเอง
ครม.อนุมัติแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาให้สิทธิสำรวจและผลิตแร่โพแทส
นายโชติชัย แถลงว่า ครม.ได้อนุมัติตามข้อเสนอของกระทรวงอุตสาหกรรม ในเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาให้สิทธิสำรวจและผลิตแร่โพแทส จ.อุดรธานี
เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงชื่อของผู้ถือหุ้นตามสัญญาให้สิทธิสำรวจและผลิตแร่โพแทส จึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขสัญญา และเนื่องจากต้องมีการรับรองว่าผู้ถือหุ้นของผู้รับสัมปทานนั้นไม่ได้เป็นต่างด้าว จึงได้มีการตรวจสอบและพบว่าผู้ถือหุ้นไม่ใช่คนต่างด้าว ซึ่งโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท อิตาเลียน-ไทย ดีเวล๊อปเมนต์ มีผู้ถือหุ้นต่างชาติอยู่เพียง 30.25 เปอร์เซ็นต์ ไม่เกินกว่าร้อยละ 32 ของทุนจดทะเบียน ตามข้อบังคับของบริษัท
รวมทั้งได้มีการปรับปรุงสัญญาให้ตรงกับร่างสัญญาของสำนักงานอัยการสูงสุด โดยให้เปลี่ยนแปลงวิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทว่าในกรณีที่มีปัญหาข้อพิพาทนั้น ไม่ต้องใช้อนุญาโตตุลาการ แต่ให้ใช้ศาลแทนได้
ส่วนในเรื่องแนวทางการบริหารราชการในต่างประเทศ ก็มีการกำหนดว่า ส่วนราชการที่มีหน่วยงานในต่างประเทศ จะต้องมีวิธีการบริหารจัดการอย่างไร สำหรับหน่วยงานเหล่านั้นที่มีสำนักงานในต่างประเทศ เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม หน่วยงานต่างๆ ที่มีสำนักงานอยู่ต่างประเทศ จะต้องมีการกำหนดคณะกรรมการ โดยใช้ชื่อว่า คณะมนตรีวิเทโศบาย โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
คณะมนตรีวิเทโศบาย มีภารกิจที่จะต้องกำหนดยุทธศาสตร์และนโยบายการต่างประเทศ รวมทั้งบูรณาการการบริหารราชการในต่างประเทศ กำหนดนโยบายในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย ในระดับทวิภาคี และพหุภาคี ในทุกมิติ กำกับดูแลโดยทั่วไป ซึ่งการดำเนินนโยบายต่างประเทศให้เป็นไปตามที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภา รวมทั้งให้ความเห็นชอบในยุทธศาสตร์ที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเสนอ
นอกจากนั้น ให้มีคณะกรรมการในลำดับที่ 2 กล่าวคือ ภายใต้คณะมนตรีวิเทโศบาย ให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อทำหน้าที่รับนโยบายจากคณะมนตรีวิเทโศบาย ไปวางแนวทางปฏิบัติในด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ เพื่อให้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ และของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารราชการต่างประเทศ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธาน เพื่อทำหน้าที่ในการแปลงนโยบายและยุทธศาสตร์ต่างๆ ไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้แต่ละกระทรวงมีการเชื่อมโยงและมีการประสานความร่วมมือกันระหว่างกระทรวง ทบวง กรม และข้าราชการประจำต่างๆ
ครม.สั่ง ก.คลัง เร่งพิจารณาเกณฑ์คิดค่าเช่าที่ดิน-ท่อก๊าซ
นอกจากนี้ นายโชติชัย ยังเปิดเผยด้วยว่า วันนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รายงานต่อที่ประชุม ครม. ภายหลังการประชุมเสร็จสิ้นแล้ว เนื่องจากว่าไม่สามารถทำเอกสารได้ทัน มีการรายงานด้วยวาจาว่า ทางกระทรวงการคลังยังไม่สามารถที่จะสรุป กำหนดรูปแบบและรายละเอียดเกี่ยวกับการคิดค่าเช่าที่ดินและท่อก๊าซ ในกรณีของ ปตท. ยังไม่สามารถกำหนดรายละเอียดที่ชัดเจนได้ ขอขยายเวลาในการพิจารณาออกไปอีก 2 อาทิตย์ เนื่องจากตอนแรก มติ ครม.ให้เวลาในการจัดทำให้เสร็จภายใน 3 อาทิตย์ แต่เนื่องจากยังทำไม่เสร็จ จึงขอขยายเวลาออกไปอีก 2 อาทิตย์ เพื่อกำหนดอัตราค่าเช่าอย่างรอบคอบขึ้น
ซึ่งกระทรวงพลังงานได้ให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า ขอให้การกำหนดค่าเช่าที่ดินและท่อก๊าซ คำนึงถึงผลประโยชน์ของทุกฝ่าย ได้แก่ กระทรวงการคลัง ปตท. ผู้ถือหุ้นของ ปตท. ที่สำคัญคือผู้ใช้ก๊าซทั่วประเทศ ในการกำหนดราคาค่าเช่าที่ดินและท่อก๊าซ
ซึ่ง ครม.ได้มีคำสั่งให้พิจารณาให้เสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งอีก 2 อาทิตย์ต้องนำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ ครม.อนุมัติ
ครม.ต่ออายุเลขาธิการสำนักงานกฤษฎีกาอีก 1 วาระ
นายโชติชัย แถลงต่ออีกว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบการต่ออายุเลขาธิการสำนักงานกฤษฎีกา ของคุณหญิงพรทิพย์ จาละ อีก 1 วาระ
ครม.เห็นชอบ พ.ร.ฎ.เรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ.2551
พ.อ.ประชาสัณห์ แถลงว่า เนื่องจากมีการเลือกตั้งไปเรียบร้อยแล้ว และจะต้องมีการเปิดประชุมสภาฯ ให้ได้ภายใน 30 วันหลังจากมีการเลือกตั้ง วันนี้ ครม.จึงได้เห็นชอบในหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พุทธศักราช 2551 ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมขึ้น ทั้งนี้ในร่างดังกล่าวยังไม่ได้ระบุวันที่เรียกประชุมรัฐสภา และให้ทางสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ประสานกับสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสำนักราชเลขาธิการ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศผลการเลือกตั้ง และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มารายงานตัวเกินกึ่งหนึ่งแล้ว เพื่อกำหนดวันที่จะเสด็จพระราชดำเนิน หรือโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระราชทานอนุญาตทรงทำรัฐพิธีเปิดประชุมสมัยประชุมสามัญทั่วไปในครั้งแรก ต่อไป
ครม.เห็นชอบแนวทางการขออนุญาตเข้าใช้พื้นที่น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์
พ.อ.ประชาสัณห์ แถลงว่า ครม.เห็นชอบตามที่คณะกรรมการกลั่นกรอง คณะที่ 2 เห็นชอบในหลักการ ในแนวทางการขออนุญาตเข้าใช้พื้นที่เพื่อดำเนินงานในโครงการฟื้นฟู พัฒนาคุณภาพชีวิต และพื้นที่ต้นน้ำน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ตามที่กระทรวงกลาโหม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้หารือร่วมกัน และให้ทั้งกระทรวงกลาโหม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกระทรวงมหาดไทย รับความเห็นและข้อสังเกตต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ สืบเนื่องจาก กระทรวงกลาโหมขออนุญาตเข้าใช้พื้นที่ลุ่มน้ำ ซึ่งลุ่มน้ำที่อยู่ในเขตน้ำหนาวนั้นเป็นลุ่มน้ำชั้น 1 เอ และ 1 บี จำนวน 2,500 ไร่ เพื่อดำเนินงานในโครงการฟื้นฟู พัฒนาคุณภาพชีวิตและพื้นที่ต้นน้ำน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์
ทั้งนี้ โครงการนี้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2545 ก่อนจะมีมติในเรื่องนี้ก่อนแล้ว เป็นการขยายผลสำเร็จในการบริหารจัดการของศูนย์ศึกษา พัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และได้อนุมัติให้กองบัญชาการทหารสูงสุดดำเนินการ โดยใช้งบประมาณเมื่อปี 2549 จำนวน 84 ล้านบาทเศษ เป็นงบดำเนินการ แต่เนื่องจากว่าอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอ และ 1 บี จะต้องดำเนินการในเรื่องของกฎหมาย ขออนุญาตใช้ และดำเนินการรายงานผลกระทบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม จึงต้องดำเนินการให้ครบถ้วน คือไปประชุมหารือและขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีต่อไป
ซึ่งหลักการเบื้องต้นของโครงการ มีสาระสำคัญประกอบด้วย 2 ส่วนหลักๆ คือ พื้นที่ที่กระทรวงกลาโหมจะใช้ คือ
พื้นที่ส่วนที่ 1 คือ 75 ไร่ ใช้เป็นพื้นที่ก่อสร้างอาคารศูนย์ประสานงานโครงการ ซึ่งจะดำเนินการรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม เสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อพิจารณา และเมื่อดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงจะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
พื้นที่ที่ 2 คือ จำนวน 1,175 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ศูนย์เรียนรู้และแปลงทดลองดำเนินงาน ที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ซึ่งจะต้องดำเนินการให้เป็นประโยชน์ ในการควบคุมดูแล หรือบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ที่เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธาร
โดยจะดำเนินการประสานกับทั้งกรมป่าไม้ เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมปฏิบัติงานกับกรมป่าไม้ ประสานกับกรมป่าไม้ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการปรับปรุงและกำหนดกิจกรรม แผนแม่บทต่างๆ
เมื่อได้ดำเนินการตามส่วนที่ 2 ในพื้นที่ 1,175 ไร่เรียบร้อยแล้ว จะต้องดำเนินการศึกษา ติดตามประเมินผลความสำเร็จของโครงการ หากดำเนินการมีผลสำเร็จตามโครงการแล้วและไม่เกิดผลกระทบในเชิงลบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน และทรัพยากรธรรมชาติ จึงจะดำเนินการในพื้นที่ส่วนที่ 3 ต่อไปอีก จำนวน 1,250 ไร่ วันนี้ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไปเรียบร้อยแล้ว
ครม.อนุมัติตำแหน่งเพิ่มใหม่สำหรับผู้สำเร็จการศึกษา
พ.อ.ประชาสัณห์ แถลงว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติตามคณะกรรมการกลั่นกรอง 1 เช่นเดียวกัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้เสนอมา คือ เรื่องของ ขออนุมัติตำแหน่งเพิ่มใหม่สำหรับผู้สำเร็จการศึกษา ตั้งแต่ปี 45-48 ของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งขณะนี้มี 8 สายงานไม่ได้รับการบรรจุแต่งตั้ง จำนวน 1,355 ตำแหน่ง
อีกประเด็นหนึ่งที่ขออนุมัติคือ ขออนุมัติตำแหน่งเพิ่มใหม่สำหรับผู้สำเร็จการศึกษา ตั้งแต่ปี 49-50 จำนวน 5,699 ตำแหน่ง ซึ่งปี 49 7 สายงาน จำนวน 2,859 ตำแหน่ง ปี 50 7 สายงาน จำนวน 2,840 ตำแหน่ง
เนื่องจากในการดำเนินการดังกล่าว ครม.เคยมีมติเอาไว้ตั้งแต่ปี 2550 ตั้งแต่ 1 ตุลาฯ 2550 ในการคงอัตราของข้าราชการไว้ หากจะมีการปรับเพิ่มนั้นต้องให้ดำเนินการขอปรับกับคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ดำเนินการต่อไป
ในประเด็นที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอนั้น แยกออกเป็น 2 ประเด็น
ประเด็นแรก คือ ขอตำแหน่งใหม่ ปี 45-48 จำนวน 1,355 ตำแหน่ง คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ มีมติตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 50 แล้วว่า ในปี 50 เป็นต้นไป หากกระทรวงสาธารณสุขจำเป็นต้องใช้ตำแหน่งว่าง เพื่อบรรจุนักเรียนทุนกระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ อาจพิจารณาจัดสรรอัตรา จากผลการเกษียณอายุ ให้เต็มจำนวน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการบรรจุนักเรียนทุนดังกล่าวได้ครบในเวลา 3 ปี
อย่างไรก็ตาม หากกระทรวงสาธารณสุขมีเหตุผลและความจำเป็นเร่งด่วน ที่จะบรรจุนักเรียนทุนภายในเวลาอันรวดเร็วขึ้น เห็นควรที่กระทรวงสาธารณสุขจะชี้แจงเหตุผลความจำเป็นต่อคณะกรรมการดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ อยู่แล้ว
ประเด็นที่ 2 คือ ตำแหน่งที่เพิ่มใหม่ในปี 49 - 50 5,699 ตำแหน่งนั้น เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุข รอผลการศึกษาของสำนักงาน ก.พ. ตามโครงการกำหนดยุทธศาสตร์กำลังพลภาครัฐ กรณีศึกษาของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่ โดยสถาบันเกี่ยวกับวิชาการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดำเนินการให้ ซึ่งประมาณปีงบประมาณ 2551 จะเรียบร้อย แล้วค่อยดำเนินการในประเด็นที่ 2 ต่อไป
ครม.อนุมัติร่างระเบียบการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ
พ.อ.ประชาสัณห์ แถลงว่า ครม.ได้อนุมัติตามข้อเสนอของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เสนอร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ.....
โดยหลักการสืบเนื่องจากระเบียบรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ปี 2517 เป็นระเบียบที่วางแนวทางการปฏิบัติในการรักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับบุคคล เอกสารและสถานที่ ใช้บังคับมานานแล้ว มีบทบัญญัติที่ไม่เหมาะสมในปัจจุบัน และมีการนำรายละเอียดในการปฏิบัติมากำหนดไว้ในระเบียบเกินความจำเป็น ประกอบกับระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ ปี 2544 เป็นระเบียบที่ปฏิบัติในการรักษาข้อมูลข่าวสาร ที่มีคำสั่งไม่เปิดเผย มิให้รั่วไหล จึงเป็นระเบียบที่ใช้บังคับข้อมูลข่าวสารที่จัดทำขึ้นในรูปเอกสารเท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงการรักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่
ดังนั้น จึงเห็นสมควรปรับปรุงระเบียบว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ปี 2517
สาระสำคัญ คือ เป็นการยกเลิกระเบียบว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ปี 2517
สาระสำคัญที่กำหนดไว้ในร่างระเบียบใหม่นั้น
- กำหนดให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยในหน่วยงานของตน และให้มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ควบคุมการรักษาความปลอดภัย
- กำหนดหลักเกณฑ์การเข้าถึงสิ่งที่เป็นความลับของทางราชการ การตรวจสอบประวัติและพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับชั้นความลับ
- กำหนดให้การมอบหมายเจ้าหน้าที่ปฏิบัติเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นความลับของทางราชการ ให้ยึดหลักการจำกัดให้ทราบเท่าที่จำเป็น
- การกำหนดชั้นความลับ ให้กำหนดไว้ คือ 3 ชั้น ชั้นลับที่สุด ลับมาก และลับ
- กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (กรช.) ประกอบด้วย รัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่ง โดยให้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ
- ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการ
- ให้องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ องค์การมหาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ อาจนำระเบียบนี้ไปใช้บังคับโดยอนุโลม
- ให้ใช้ระเบียบนี้ใช้ปฏิบัติต่อผู้ที่อยู่ระหว่างการรอบรรจุ หรือรอการแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย
- การกำหนดหลักเกณฑ์การรักษาความปลอดภัยบุคคล การตรวจสอบประวัติและพฤติการณ์ของบุคคล
ครม.เห็นชอบวาระเพื่อเด็กและเยาวชน ปี 2551
พ.อ.ประชาสัณห์ แถลงว่า กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำเสนอวาระเพื่อเด็กและเยาวชนปี 2551 ให้ ครม.เห็นชอบ
ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดทำวาระเพื่อเด็กและเยาวชนเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ คณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธาน ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทำวาระเพื่อเด็กและเยาวชน ขึ้นมา และมีการประชุมหารือกัน
เห็นควรว่า ประเด็นวาระเพื่อเด็กและเยาวชน ในปี 2551 ควรใช้ประเด็นใน 5 ด้านเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา แต่เนื่องจากว่าเป็นนโยบายหลักที่มีความสำคัญต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหา รวมทั้งพฤติกรรมของเด็กและเยาวชน จึงควรมีมาตรการที่แตกต่างไปจากปี 50 อย่างชัดเจนใน 5 ประเด็น ดังนี้คือ
1. ส่งเสริมกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน ทั้งในและนอกระบบการศึกษา เพื่อส่งเสริมศักยภาพของเด็กและเยาวชนที่หลากหลาย ทำให้เกิดคุณลักษณะที่ดี ตลอดจนการมีส่วนร่วมกับชุมชน ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาสังคม โดยรัฐบาลจะจัดให้มีกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ดีกับเด็กและเยาวชน ต่อไป
2. ส่งเสริมสถาบันครอบครัว เพื่อส่งเสริมให้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของครอบครัว ในทุกภาคส่วนของสังคม โดยรัฐบาลกำหนดให้หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างการเรียนรู้และทำกิจกรรมร่วมกันของครอบครัว ภายในหน่วยงานด้วย
ประเด็นที่ 3 ส่งเสริมสื่อเพื่อการศึกษา และการเรียนรู้สำหรับเด็ก เยาวชน และครอบครัว เพื่อให้เกิดรายการโทรทัศน์เพื่อการส่งเสริมการศึกษาการเรียนรู้ ของเด็ก เยาวชน และครอบครัว โดยจะเพิ่มมาตรการทางภาษี เป็นการส่งเสริมผู้ประกอบการด้านสื่อ เพื่อส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้ สำหรับเด็ก เยาวชน และครอบครัว
3. จังหวัดน่าอยู่สำหรับเด็กและเยาวชน เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ปลอดอบายมุข โดยรัฐบาลจะส่งเสริมให้เกิดจังหวัดต้นแบบ อย่างน้อยภาคละ 1 จังหวัด ที่มุ่งเน้นการลดปัญหา ปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาวะ
4. ส่งเสริมการเรียนรู้ การส่งเสริมพื้นที่สร้างสรรค์ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชนในพื้นที่ของจังหวัดนำร่องด้วย
5. ส่งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพ เพื่อให้เด็กปฐมวัย ซึ่งเป็นช่วงที่มีโอกาสสำคัญในการเรียนรู้ด้านเชาวน์ปัญญา และความฉลาดทางอารมณ์ ได้พัฒนาเต็มศักยภาพ โดยรัฐบาลจะประสานบูรณาการในการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาเด็กปฐมวัย ให้มีมาตรฐานและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ครม.อนุมัติแก้ไของค์ประกอบ คกก.กองทุนลานกีฬาต้านยาเสพติด
พ.อ.ประชาสัณห์ แถลงว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยกองทุนลานกีฬาต้านยาเสพติด
สืบเนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเดิมทีสังกัดอยู่กับสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ต่อมาได้ย้ายสังกัดมาอยู่กับกระทรวงยุติธรรมแล้ว เพราะฉะนั้นการแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับต้นสังกัด มีการแก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการกองทุนลานกีฬาต้านยาเสพติด ให้ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ผู้แทนกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงศึกษาธิการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งนายกรัฐมนตรีตั้ง จำนวนไม่เกิน 2 คน เป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นกรรมการและเลขานุการ มีการแก้ไขคำนิยามของคำว่า กองทุนลานกีฬาต้านยาเสพติด ให้ครอบคลุมและกว้างขวางมากยิ่งขึ้น