xs
xsm
sm
md
lg

โดรน อันตรายไร้คนขับ จะรับมือภัยร้ายนี้อย่างไร กฎหมายไทยเข้มพอหรือยัง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โดรน อันตรายไร้คนขับ
จะรับมือภัยร้ายนี้อย่างไร
กฎหมายไทยเข้มพอหรือยัง


สงครามชายเเดนไทย-กัมพูชากำลังทวีความรุนแรง โดยกัมพูชาใช้การโจมตีไม่เลือกเป้าหมาย เเม้เเต่พื้นที่พลเรือนของไทยก็ตาม! บวกกับการใช้อากาศยานไร้คนขับ(โดรน)มาโจมตีเเละบินก่อกวนในหลายพื้นที่ของไทย เเละโดรนพลีชีพที่มีการใข้ในสงครามหลายประเทศ เพราะพบว่ากัมพูชานำมาใช้สู้รบในครั้งนี้ด้วย

สถานการณ์เเบบนี้น่าห่วง จนล่าสุด มติที่ประชุมสมช.วันที่22ธค.2568 นั้น ฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสมช.แถลงว่า ”ที่ประชุมได้หารือกรณีพบโดรนที่เข้ามาในพื้นที่จุดสำคัญ ต่างๆ ทั้ง พื้นที่สนามบิน และจังหวัดชายแดน เนื่องจากมีการพบโดรนจำนวนหนึ่งเข้ามาในพื้นที่ กพท.ได้ออกประกาศกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมมีผลตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค. ในพื้นที่จังหวัดชายแดนและสนามบินสำคัญทั่วประเทศ โดยที่ประชุมมีมติที่สำคัญ 2 ส่วน คือ

มาตรการเร่งด่วน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กพท. สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สนับสนุนการดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ในการจัดการกับโดรนเป้าหมายที่เข้ามาในพื้นที่ รวมถึงกำหนดมาตรการป้องกันสืบสวนสอบสวนและแอนตี้โดรน เพื่อประสานงานอย่างใกล้ชิดและให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ให้กระทรวงกลาโหมผ่อนคลายมาตรการในการอนุญาตให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดหาแอนตี้โดรนที่เป็นยุทธภัณฑ์ จึงต้องขออนุญาตกองทัพใช้เตรียมการให้มีไว้ป้องกันพื้นที่ ให้มีการเข้มงวดในการนำเข้า และตรวจสอบการลักลอบนำเข้าโดรน และประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่าการบินโดรน เข้ามาในพื้นที่ความมั่นคงมีโทษร้ายแรงโดยเฉพาะสนามบิน ที่มีมีโทษสูงสุดคือ การประหารชีวิต หากมีการใช้โดรนและพบว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงถือว่ามีความผิดตามกฎหมายอาญาด้วย

มาตรการระยะยาว ก่อนหน้านี้มติ สมช.เคยมีมติให้กองทัพอากาศ (ทอ.) เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การทำงานเอกภาพโดยการดำเนินการ จัดตั้งเป็นองค์กรขึ้นมา คือ ศูนย์บริหารจัดการควบคุมต่อต้านอากาศยานไม่มีคนขับแห่งชาติ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ที่ทันสมัยในอนาคตรวมถึงการพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมในการใช้เครื่องมือดังกล่าวซึ่งเป็นทักษะขั้นสูง และเห็นชอบทบทวนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเรื่องของการเพิ่มโทษในกรณีที่มีการใช้โดรนที่กระทบต่อความมั่นคง“

ก่อนที่สมช.จะมีมติล่าสุด พบว่าข้อมูลจากเว็บไซต์สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ออกประกาศฉบับที่ 12 เรื่อง “ห้ามบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (Drone) ในพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา” มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 9 ธันวาคม 2568 จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง

ข้อมูลข้างต้นจากสมช.เเละCATT นั้น การขยับเเบบนี้ของฝ่ายความมั่นคงไทยจะทันกาลหรือไม่ ...เพราะมีกระเเสข่าวเกิดขึ้นหลายครั้งเเล้วในหลายพื้นที่ จนสังคมตระหนกตกตื่น เช่น จับเเท็กซี่คนไทยที่รับจ้างกัมพูชาบินโดรนที่มทบ.22 จ.อุบลฯ/จับขาวเขมรที่ลักลอบเข้าเมืองมาบินโดรนที่จ.นครราชสีมาคาดว่ามาจับพิกัดสนามบิน กองบินบน.5/โดรนโผล่ป่วนสนามบินสุวรรณภูมิสองวันติดต่อกัน/โดรนตัองสงสัยบินย่านเเท่นขุดเจาะน้ำมันหลายจุดในอ่าวไทย

ปรากฏการณ์ข้างต้น หากถามว่าในวันวานจนวันนี้ ระบบตรวจสอบ/ป้องกัน/ขึ้นทะเบียนโดรนในไทยนั้นรัดกุม/หละหลวมหรือไม่นั้น พิจารณาเเละตัดสินได้ข้อมูลของบางหน่วยงานที่ดูเเลโดรนในไทยช่วงที่ผ่านมา จากบรรทัดนี้เป็นต้นไป..

ข้อมูลจากสำนักข่าวอิศรา รายงานว่า เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2568 พล.อ.อ. มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) หรือ กพท.เปิดเผยว่า

“CAATเดินหน้าการส่งเสริมและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (โดรน) อย่างต่อเนื่อง โดยได้ปรับปรุงและพัฒนากฏหมาย แก้ไขข้อจำกัดการอนุญาตโดรน ที่มีน้ำหนักเกิน 25 กิโลกรัม เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา ทำให้เกิดการขับเคลื่อนและใช้งานโดรน ขนาดใหญ่อย่างแพร่หลายในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ

CAAT ได้ส่งเสริมการใช้โดรนอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรนและจดทะเบียนโดรน ผ่านระบบออนไลน์ที่รวดเร็ว ผ่านระบบ UAS Portal (uasportal.caat.or.th) โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2567 ซึ่งช่วยแก้ปัญหาโดรนผิดกฎหมายได้

ทั้งนี้ CAAT ได้ส่งเสริมการใช้โดรนอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรนและจดทะเบียนโดรน ผ่านระบบออนไลน์ที่รวดเร็ว ผ่านระบบ UAS Portal (uasportal.caat.or.th) โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2567 ซึ่งช่วยแก้ปัญหาโดรนผิดกฎหมายได้

โดยมีโดรนที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากปีแรก 2558 ที่เริ่มจดทะเบียนโดรน มีหลัก100 ลำ ปี 2561 มีการจดทะเบียนจำนวน 3,966 ลำ ปี 2567 จดทะเบียน27,822 ลำ ปัจจุบันมีโดรนจดทะเบียนสะสมรวมกว่า 12,507 ลำ อย่างไรก็ตามยังพบว่ามีโดรนที่ยังไม่เข้าจดทะเบียนอีกประมาณ 20,000 ลำ ซึ่งมีทั้งโดรนทั่วไปและโดรนการเกษตร

ส่วนผู้บังคับหรือปล่อยโดรน ปัจจุบันขึ้นทะเบียนจำนวน 60,000 คน เฉพาะปี 2567 ขึ้นทะเบียนจำนวน 37,751 คน โดยใบบังคับโดรนมีอายุ 2 ปี อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการกระตุ้นการจดทะเบียนโดรน CAAT จะไม่คิดค่าธรรมเนียม จดทะเบียนโดรนและผู้บังคับโดรน จนถึงเดือน ก.ย.2568 เเละอนาคตนั้นคาดว่าไทยจะมีโดนหนึ่งล้านลำ”

ข้อมูลข้างต้น เเปลว่าที่ผ่านมาโดรนที่ไม่ได้จดทะเบียนยังมีอีกมากในไทย รวมทั้งน่าจะมีการลักลอบนำโดรนผิดกฎหมายเข้ามาในไทยอีกไม่น้อยเเละไม่ทราบจุดประสงค์ในการใข้งาน?!?ดังนั้นการบังคับใช้กฎหมายหละหลวมยิ่ง

ด้านข้อมูลจากเว็บไซต์สมาคมฯที่เกี่ยวกับสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ในบทสัมภาษณ์“จรรยวรรธน์ ชาติอนุลักษณ์(อาจารย์เคน) ” นายกสมาคมอากาศยานไร้คนขับประเทศไทย (UAV Association of Thailand) ระบุเมื่อ12ธค.2568ว่า

จากสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีการปะทะกันอย่างดุเดือด นอกจากการใช้อาวุธหนักอย่างปืนใหญ่แล้ว อีกหนึ่งยุทธวิธีที่ถูกนำมาใช้และสร้างความเสียหายอย่างหนักคือการใช้ "โดรนพลีชีพ" (Suicide Drone)หรือโดรนแบบ FPV (First Person View) ติดวัตถุระเบิด ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ในการรบยุคปัจจุบัน

สรุปสถานการณ์และประเด็นสำคัญ
-การโจมตีรูปแบบใหม่: ฝ่ายตรงข้ามได้นำโดรนขนาดเล็กที่ดัดแปลงเป็น "โดรนพลีชีพ" บินพุ่งชนเป้าหมายหรือทิ้งระเบิดใส่ฐานที่มั่นของทหารไทย โดยเฉพาะบริเวณช่องบังเกอร์ ทำให้เกิดความสูญเสียและยากต่อการป้องกันด้วยเรดาร์ทั่วไปเนื่องจากโดรนมีขนาดเล็กและบินต่ำ

-ข้อสังเกตเรื่องผู้บังคับโดรน: มีรายงานและข้อสังเกตจากฝ่ายความมั่นคงว่า ผู้ที่บังคับโดรนเหล่านี้อาจไม่ใช่ทหารกัมพูชาในพื้นที่ แต่อาจเป็น "นักรบรับจ้าง" หรือผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติ เนื่องจากมีการดักจับสัญญาณวิทยุสื่อสารที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสั่งการ (เช่นคำว่า "Finished") ซึ่งแสดงถึงความเป็นมืออาชีพในการควบคุมที่แม่นยำสูง

โดยมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ: จรรยวรรธน์ ชาติอนุลักษณ์ระบุว่า

”ในประเด็นทางเทคนิคและยุทธวิธีของโดรน ได้ให้ข้อมูลวิเคราะห์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้ โดยสรุปสาระสำคัญได้ว่า:

-ประสิทธิภาพและอันตรายของ FPV โดรน: นายจรรยวรรธน์ ชี้ให้เห็นว่าโดรนที่นำมาใช้นั้นมักเป็นโดรนแบบ FPV ที่มีความเร็วสูงและคล่องตัวมาก ผู้บังคับจะมองเห็นภาพเสมือนนั่งอยู่บนตัวโดรน ทำให้สามารถบินหลบหลีกสิ่งกีดขวางและพุ่งเข้าหาเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงได้แม่นยำ

-ความคุ้มค่าทางยุทธวิธี: โดรนเหล่านี้มีราคาถูกเมื่อเทียบกับขีปนาวุธ แต่สามารถสร้างความเสียหายรุนแรงได้ (Asymmetric Warfare) เพียงแค่ติดลูกระเบิดหรือวัตถุระเบิดเข้าไป ก็สามารถทำลายยานเกราะหรือที่มั่นที่มีมูลค่าสูงกว่าได้ทันที

-ความยากในการตรวจจับ: ด้วยขนาดที่เล็กและบินในระดับต่ำ ทำให้ระบบเรดาร์ทางทหารทั่วไปอาจตรวจจับได้ยาก จึงต้องเน้นย้ำเรื่องความตระหนักรู้ (Situational Awareness) และการพัฒนาเทคโนโลยีต่อต้านโดรน (Anti-Drone)

บทสรุป

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าสมรภูมิชายแดนได้ก้าวเข้าสู่ยุคสงครามสมัยใหม่ที่เทคโนโลยีราคาถูกแต่ทรงพลังอย่าง "โดรน" เข้ามามีบทบาทสำคัญ การวิเคราะห์ของนายกสมาคมฯ ช่วยตอกย้ำให้เห็นว่า ไทยจำเป็นต้องปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับสงครามทางอากาศรูปแบบจิ๋วนี้อย่างเร่งด่วน ทั้งในแง่ของยุทโธปกรณ์และองค์ความรู้“

หากประมวลข้อมูลทั้งหมด พินิจกันได้ชั้นต้นว่า หลวมหรือไม่กับกฎหมายโดรนเมืองไทยเเละการป้องกันเเบบวัวหายล้อมคอกตอนนี้ของสมช.เเม้ช้าก็ยังดีกว่า

เเต่เอาเข้าจริงควรเช็กบิลกันอีกรอบว่าโดรนที่ทะลักเข้ามาเเละไม่ได้ลงทะเบียนนั้น หน่วยใดหย่อนยานกันเเน่ เช่นกรมศุลกากร CAAT กสทช.เเละด้วยเหตุผลใด?


กำลังโหลดความคิดเห็น