xs
xsm
sm
md
lg

ประเสริฐ-วิศิษฎ์ โยนบาปไปมา หลังเบน สมิธโผล่ MOUความเเตก!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ประเสริฐ-วิศิษฎ์
โยนบาปไปมา
หลังเบน สมิธโผล่
MOUความเเตก!


ตามที่“ไชยชนก ชิดชอบ ”รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส )มอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ตรวจสอบกรณีบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงดิจิทัลฯกับบริษัทไพรม์ ออพ พอร์ทูนิตี้ ฟันด์ วิซีซี จำกัดจากประเทศสิงคโปร์ หลังคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้เข้าสอบปากคำ“วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ”อดีตปลัดกระทรวง(ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ก.ล.ต.) เกี่ยวกับที่มาของการลงนาม MOU เเละพบความเชื่อมโยงถึงระดับนโยบายในกรณีดังกล่าว 

เนื่องเพราะข้อความใน MOU นี้ได้ระบุว่า จะร่วมกันจัดทำโครงการศูนย์กลาง ธุรกิจดิจิทัลและการเงิน (TIDC) เเละกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องดังกล่าวดำเนินการเป็นคดีพิเศษเรียบร้อยแล้ว โดยเป็นเลขคดีพิเศษที่ 148/2568 กรณีธุรกิจสแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโตเคอเรนซี ภายใต้โครงการ Worldcoinเเละไชยชนกระบุว่า จากการตรวจสอบได้พบข้อพิรุธในหลายเรื่อง เช่น การจัดทำ MOU ดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2567 และมีการลงนามใน MOU วันที่ 27 มีนาคม 2567 ซึ่งใช้เวลาดำเนินการเพียง 3 วัน และพบว่าเกี่ยวโยงกับการเก็บข้อมูลสแกนม่านตาคนไทย1.2ล้านคน!

โดยวิศิษฏ์ให้การว่าการทำ MOU เป็นการสั่งการจากฝ่ายการเมืองโดยสำนักงานรัฐมนตรีดิจืทัลฯเป็นผู้แจ้งมายังฝ่ายข้าราชการประจำให้ดำเนินการ ก่อนดำเนินการได้รับอนุมัติจากรมว.ดิจิทัลฯในขณะนั้น ตนในฐานะปลัดกระทรวงจึงไปลงนามตามขั้นตอน ยืนยันว่าไม่ทราบรายละเอียดหรือรู้จักเป็นการส่วนตัวกับผู้ลงนามฝ่ายบริษัท หรือบริษัทในกลุ่ม TIDC แต่อย่างใดเเละดีเอสไอจะเชิญอดีตรมว.ดีอีเอสเเละฝ่ายการเมืองมาให้ข้อมูลต่อไปนั้น

ล่าสุดไชยชนก กล่าวในเคสนี้ว่า “พบเอกสารที่มีลายเซ็นนักการเมือง ซึ่งขณะนี้มีความเชื่อมโยง 1-2 คน”

ขณะที่นาย ประเสริฐ จันทรรวงทอง อดีตรมว.ดีอีเอสเปิดปากเเล้วว่า พร้อมชี้เเจงกับดีเอสไอ แต่ตนอยากอธิบาย การทำ MOU หรือข้อตกลงต่างๆ กับกระทรวงฯ ก็จะดูรายละเอียดว่า ข้อตกลงนั้นทำได้ หรือทำไม่ได้อย่างไร ซึ่งมีหน่วยงานราชการตรวจสอบ ทั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา, สำนักงานอัยการสูงสุด และกระทรวงการต่างประเทศ และเมื่อดูครบถ้วนแล้ว จึงจะสามารถลงนามได้ และกรณีนี้ได้ผ่านการตรวจสอบ จากนั้นจึงได้แจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ สำนักงานปลัดกระทรวงฯ พร้อมยืนยันว่า กระบวนการขั้นตอนต่างๆ เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย จึงขอยืนยันความบริสุทธิ์ใจ และมั่นใจไม่มีการหมกเม็ดอะไร

ประเสริฐ กล่าวอีกว่า ตนไม่ทราบว่า “เบน สมิธ” มาปรากฏตัวอยู่ในงานลงนาม MOU ได้อย่างไร เพราะตนเองไปร่วมในฐานะที่เป็นพยานในการลงนาม MOU ซึ่งการลงนามเป็นฝ่ายราชการ โดยปลัดกระทรวงฯ และตัวแทนของบริษัทจากสิงคโปร์ ซึ่งแต่ละปี กระทรวงฯ ได้เซ็น MOU กับหลายหน่วยงานมาก ทั้งภาครัฐ และเอกชน ทั้งต่างประเทศ และในประเทศ

“ตนไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับนายเบน สมิธ และในระหว่างการลงนาม MOU ก็ไม่ได้พูดคุยกัน เพราะที่ตนไปเป็นพยานในวันดังกล่าว ได้ทำงานอยู่ที่กระทรวงฯ ปลัดกระทรวงฯ จึงเชิญตนไปร่วมเป็นพยานลงนาม MOU ดังกล่าว ยืนยันว่า ไม่มีประเด็นอื่น” ประเสริฐระบุ

โยนกันมั่วเเล้วตอนนี้หลังไชยขนกเจาะข้อมูลMOUนี้มาปั่นข่าวดังนั้น
หากเคสนี้เป็นจริงเเบบที่ไชยชนกมองเห็นเเละมอบดีเอสไอเจาะต่อ
เเปลว่าสองปีเศษที่รัฐบาลเพื่อไทยบริหารประเทศเเละกำกับดูเเลกระทรวงดีอีเอสโดยตรงนั้น จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้

เพราะกรณีนี้น่าคิดหลายขั้นที่โยงกันระหว่างนโยบายพรรคเเละเเนวคิดของทักษิณ ชินวัตรในเวลาใกล้เคียงกันเเบบเเนบเเน่น!เเละสั่งการให้ข้าราชการที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการให้ลุล่วง

อย่าลืมว่าบางสิ่งในนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยปี2566นั้น เช่นBlockchain Hub,Fintech Centerของอาเซียน/วางระบบป้องกันภัยไซเบอร์/ ดิจิทัลวอลเลท1 หมื่นบาท เเละมาคลอดเพิ่ม เช่น เอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์(คาสิโน) โดยช่วงสองรัฐบาลเพื่อไทย(เศรษฐา ทวีสินเเละเเเพทองธาร ชินวัตร)เจ้ากระทรวงดีอีเอสในข่วงนั้นคือ”ประเสริฐ
จันทรรวงทอง“ รมต.สายตรงครอบครัวชินวัตรเเละพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล หนึ่งในบิ๊กเนมพรรคสีเเดง!

ดังนั้น ต้องพิจารณานโยบายพรรคที่เเปรเป็นนโนบาย/โครงการของรัฐบาลเพื่อไทย(ดิจิทัล/การเงินการคลัง) รวมทั้งไอเดียของทักษิณ ช่วงปี2566-2568นั้น มันยึดโยง-สอดรับหรือไม่กับMOUดังกล่าว!?!

เเละถามว่าข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่นั้น หากสิ่งใดไม่ชอบด้วยกฎหมายควรทักท้วง/ชี้เเจง หากปล่อยเลยตามเลยตามบิลฝ่ายการเมืองเเละยอมรับเเลกอะไรมาตอบเเทน...ความผิดพลาดในนโยบาย/โครงการรัฐที่ใข้ภาษีประชาชนดำเนินการนั้นใครรับผิดชอบบ้าง? เเละข้าราชการที่ร่วมด้วยช่วยกันจะลำบากพ่วงไปด้วยทั้งเเบบสมัครใจหริอโดนบังคับ...

เคสนี้ก็สุดเเล้วเเต่กรรมใครกรรมม้นเพราะบ่วงกรรมวันวานมีให้เห็นหลายเคส เเล้ว

ตัวอย่างโครงการรัฐบาลในอดีตของพรรคเพื่อไทยเเละพรรคไทยรักไทยที่บ้านเมือง/ชาวบ้านลำบาก /ข้าราชการที่ร่วมขบวนเข้าเรือนจำ เช่น สมัยพรรคไทยรักไทยนั้น ศาลตัดสินคดีเงินกู้ธนาคารกรุงไทยกับกฤษดามหานคร(เงินกู้ธนาคารกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท)โดยศาลตัดสินให้จำเลยหลักบางคน(ผู้บริหารกฤษดามหานคร)นอนเรือนจำ860ปี!?!เเละผู้บริหารธนาคารกรุงไทยหลายคนก็เข้าคุกไปด้วย

ส่วนความเสียหายยุครัฐบาลเพื่อไทยที่เคยเกิดขึ้นเเละเกิดขึ้นล่าสุด ซึ่งพบว่า วิศิษฎ์มีส่วนร่วมด้วยนั้น เช่น โครงการจำนำข้าวรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำนวนห้าครั้ง โดย TDRIประเมินว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยในช่วงนั้น ใช้งบประมาณกับโครงการนี้9.85เเสนล้านบาท เเละมีความเสียหายคิอขาดทุนการคลัง5.39ล้านบาท เพราะมีการทุจริตเเทบทุกระดับจนอดีตนายกฯบินหนีคดี/ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์หลายคนเข้าเรือนจำ!

ทั้งนี้พบว่า บางวงรอบการรับจำนำข้าวนั้น วิศิษฎ์ที่เคยเป็นบอร์ดธนาคารออมสิน(ปี2555-2557 )วิศิษฎ์ เคยชงไอเดียตอนต้นปี 2557 ว่า ธนาคารออมสินพร้อมจะให้เงินกู้แบบอินเตอร์แบงก์แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษ (ธ.ก.ส.) เพื่อดำเนินโครงการรับจำนำข้าว เเต่เกิดเเรงต้านรุนเเรงเเละสุดท้ายวิศิษฎ์ต้องกลับลำในเคสนี้...

เเละย้อนไปปี 2556พบว่า วิศิษฎ์เป็นหนึ่งในผู้ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม (นิรโทษกรรมสุดซอย)จนเป็นจุดเริ่มต้นการยึดอำนาจของคสช.22พค.2557

หากข้อมูลที่วิศิษฎ์เเจ้งกับดีเอสไอไปในข้างต้น ว่าฝ่ายนโยบายสั่งให้ข้าราชการดำเนินการในMOUดังกล่าว เเปลว่าอดีตรมว.ดีอีเอสร่วมกระทำผิด เเละอดีตปลัดกระทรวงนี้รับคำสั่งมิชอบไปดำเนินการนั้น ถามว่าทำไมวิศิษฎ์ยอมเสี่ยง..

หนึ่งในสิ่งไขข้อสงสัยเพราะก่อนหน้านั้นคือวันที่ 2ก.ค. 2567 รมว.ดีอีเอสในตอนนั้นเสนอวาระต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ให้มีมติเห็นชอบแต่งตั้งวิศิษฏ์ ไปเป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อีกตำเเหน่งหนึ่ง โดยมีวาระสี่ปีในตำเหน่งนี้ พ่วงกับการเป็นปลัดกระทรวงดีอีเอสจนเกษียณราชการเมื่อ30กย.2568

เเบบนี้ถามว่าวิศิษฎ์รู้ล่วงหน้าไหมว่า ก่อนเกษียณราชการจะได้ทำงานใดต่อไปจากมติครม.ในตอนนั้น?จึงมีการขยับMOUดังกล่าวสนองนโยบายฝ่ายการเมือง !?!เพราะปลัดกระทรวงจะขยับเองในเคสเเบบนี้ มันไม่ค่อยน่าเชื่อนัก เว้นเเต่จะสนองตอบขั้วการเมือง อันนี้น่าเชิ่อกว่า..

เเละการที่วิศิษฎ์บอกดีเอสไอว่าตนไม่ทราบรายละเอียดหรือรู้จักเป็นการส่วนตัวกับผู้ลงนามฝ่ายบริษัท หรือบริษัทในกลุ่ม TIDC แต่อย่างใด!?!

คำตอบเเบบนี้ มันน่าฉงนหรือไม่?
เพราะอย่าลืมว่าวิศิษฎ์คืออดีตนักกฎหมาย/อดีตผู้พิพากษา/อดีตอธิบดี/อดีตปลัดกระทรวงสองเเห่ง(ยุติธรรมเเละดีอีเอส)/อดีตบอร์ดรัฐวิสาหกิจชั้นนำเเละตอนนี้คือประธานก.ล.ต.กลับปล่อยเลยตามเลยในเคสMOUดังกล่าวได้เช่นใด...

เมื่อความปรากฏเเบบนี้ ลุ้นกันว่า ตลาดหุ้นไทยจะเขียวหรือเเดงในวันนี้-วันหน้า เพราะธรรมาภิบาลเเละความโปร่งใสของวิศิษฎ์ในฐานะเบอร์1 ตลาดหุ้นไทยหมองหม่นไปเเล้วในการทำหน้าที่เมื่อวันวานเเละมีผลกับวันนี้-อนาคตของตลาดหุ้นไทย

งานนี้ ถามใจวิศิษฎ์/ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองว่าจะปล่อยให้มันเป็นเเบบนี้ไปจนกว่าจะพังไปข้างหนึ่งอีกหรือ...
หากวิศิษฎ์โดนกล่าวหาเเบบนี้เเต่ยังนั่งคุมตลาดหุ้นไทยเเบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว?!?!ไปเรื่อยๆ


กำลังโหลดความคิดเห็น