รัฐบาลในสถานการณ์วิกฤติ
'เพื่อไทย-ภูมิใจไทย'
สภาพพังทลายไม่ต่างกัน
เสียงวิจารณ์ต่อการทำงานของรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยในปัจจุบันกำลังดังอื้ออึงไปทั่วประเทศ ไม่ต่างอะไรกับเมื่อครั้งที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลโดยมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เสียงสะท้อนจากประชาชนจำนวนมากดูเหมือนจะชี้ไปที่ปัญหาเดิม ๆ
คือความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรต้องพบซ้ำแล้วซ้ำเล่าในยุคที่ระบบเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานควรก้าวหน้าเพียงพอที่จะปกป้องชีวิตผู้คนได้มากกว่านี้
ในยุคที่พรรคเพื่อไทยกุมอำนาจบริหาร แพทองธารต้องเผชิญกับปัญหาภัยพิบัติครั้งใหญ่สองระลอก ไล่ตั้งแต่วิกฤตน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ที่กลายเป็นภาพจำของความเสียหายครั้งใหญ่ในรอบหลายปี ต่อด้วยเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ส่งแรงสั่นสะเทือนไปยังหลายจังหวัดของประเทศไทย เหตุการณ์ทั้งสองนี้ไม่เพียงเป็นบททดสอบความสามารถของรัฐบาลหน้าใหม่ แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนระบบรับมือภัยพิบัติของประเทศที่เปราะบางอย่างน่าเป็นห่วง
เสียงวิพากษ์ต่อรัฐบาลแพทองธารในเวลานั้นโฟกัสไปที่ “การแจ้งเตือนภัยที่ล่าช้าและไม่ทั่วถึง” โดยเฉพาะระบบเซลบอร์ดแคสต์ (Cell Broadcast) ซึ่งควรเป็นกลไกสำคัญในการแจ้งเตือนฉุกเฉินแก่ประชาชนแบบเรียลไทม์ ทว่ากลับทำงานไม่ทันสถานการณ์ หลายพื้นที่ไม่เคยได้รับข้อความเตือนเลย ขณะที่บางพื้นที่ได้รับช้าเกินกว่าจะช่วยให้ประชาชนตั้งตัวได้ การสื่อสารของภาครัฐเองก็ถูกวิจารณ์ว่าไม่ชัดเจน ไม่เป็นเอกภาพ และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจนทำให้ประชาชนเกิดความสับสนว่าควรเชื่อคำชี้แจงชุดใด นี่ทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลในช่วงนั้นถูกตั้งคำถามอย่างหนักในแง่ความพร้อมในการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน
เมื่อเวลาผ่านไปถึงยุครัฐบาลพรรคภูมิใจไทย นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สถานการณ์กลับไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย หากว่ากันตามเสียงสะท้อนในสังคม หลายคนกลับมองว่ารัฐบาลชุดนี้กำลังเดินซ้ำรอยปัญหาเดิม ทั้งการประเมินสถานการณ์ผิดพลาด การสื่อสารที่สร้างความสับสน และการขาดกลยุทธ์ป้องกันล่วงหน้าที่เป็นระบบ
ปัญหาน้ำท่วมในภาคใต้ที่ทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องได้กลายเป็นเวทีใหม่ที่ความล้มเหลวของระบบบริหารภัยพิบัติถูกเปิดโปงอย่างชัดเจน รัฐบาลดูเหมือนประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไป เพราะอาจติดภาพจำแบบเดิมว่า “น้ำท่วมภาคใต้มักมาไวไปไว” ไม่เหมือนน้ำท่วมพื้นที่เหนือและภาคกลางตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยาที่มักท่วมนาน เมื่อสถานการณ์จริงกลับไม่เป็นไปตามที่คาด การรับมือตั้งแต่ต้นจึงอ่อนปวกเปียกจนทำให้ความเสียหายขยายวงกว้าง
รัฐบาลที่ควรเป็นผู้นำกลับออกอาการจับต้นชนปลายไม่ถูก ขาดแผนประสานงานที่มีเอกภาพ ขณะที่คนในรัฐบาลกลับออกมาแสดงท่าทีโทษประชาชนว่ารับคำเตือนไม่เพียงพอ สร้างความไม่พอใจให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่ซ้ำเข้าไปอีก
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อนุทินถูกวิจารณ์หนักกว่าแพทองธาร คือประสบการณ์ที่อนุทินสะสมมาตั้งแต่เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วยเหตุนี้ ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยคาดหวังว่านายกฯน่าจะมีความเข้าใจเรื่องการสื่อสารในภาวะวิกฤต และความสำคัญของการตอบสนองอย่างทันท่วงที แต่กลับปรากฏว่าประสบการณ์ที่เคยประกาศว่าเป็น “บทเรียนครั้งใหญ่” ไม่ได้ช่วยยกระดับศักยภาพในการรับมือภัยพิบัติได้อย่างที่ควรจะเป็น ภาพลักษณ์ที่ออกมาจึงดู “แห้งกรอบ” ไร้พลัง ไม่ต่างจากที่แพทองธารเคยเผชิญ
เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองรัฐบาล สิ่งที่เห็นอย่างชัดเจนคือ “รากของปัญหา” ไม่ได้เริ่มต้นหรือจบลงที่ตัวผู้นำเพียงคนเดียว แต่เป็นโครงสร้างระบบรับมือภัยพิบัติของประเทศที่มีจุดอ่อนสะสมมายาวนาน การขาดการลงทุนด้านระบบเตือนภัยที่ทันสมัย การประสานงานระหว่างหน่วยงานที่ไม่เป็นเอกภาพ และการสื่อสารที่ไม่สอดประสานกัน ล้วนทำให้รัฐบาลใดก็ตามที่ขึ้นมาบริหารเผชิญกับความท้าทายแบบเดียวกัน และเมื่อไม่สามารถจัดการได้ทันเวลา ก็จะถูกวิจารณ์หนักไม่ต่างจากรัฐบาลก่อนหน้า
ที่สุดแล้ว ภาพที่ออกมาระหว่างยุคแพทองธารและยุคอนุทินจึงแทบไม่ต่างกัน ทั้งสองรัฐบาลต่างลงพื้นที่ ทั้งสองต่างพยายามแสดงบทบาทผู้นำ แต่การลงพื้นที่ไม่สามารถแทนที่ระบบบริหารภัยพิบัติที่ดีได้ และเมื่อระบบยังอ่อนแอ ผลลัพธ์จึงซ้ำรอยเดิมไม่ว่าผู้บริหารประเทศจะเป็นใครก็ตาม


