ประกาศเตือนภาคใต้ฝนหนัก จับตาพื้นที่ 'นครศรีฯ-สงขลา' เร่งระบายน้ำ-ช่วยเหลือประชาชน
สถานการณ์อุทกภัยเวลานี้ต้องยอมรับว่าเป็นช่วงที่พื้นที่ภาคกลางและตอนใต้ของประเทศไทยเหนื่อยหนักสาหัสจริงๆ โดยเวลานี้ตามพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ในภาวะทรงตัวรอลุ้นแค่ว่าภาวะน้ำทะเลหนุนสูงช่วงปลายเดือนนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ทุกอย่างน่าจะเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว แต่สำหรับสถานการณ์ในภาคใต้โดยเฉพาะล่าสุดที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่จังหวัดสงขลา ต้องยอมรับว่าหนักเอาเรื่องเช่นกัน
ปริมาณฝนที่เทลงมาอย่างต่อเนื่องในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ทำให้หลายพื้นที่จมน้ำอย่างรวดเร็ว การจราจรถูกตัดขาดเป็นวงกว้าง บางจุดระดับน้ำเพิ่มสูงจนประชาชนต้องรีบย้ายรถและข้าวของขึ้นที่สูง ขณะเดียวกันการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคต้องสั่ง “ปลดดับกระแสไฟฟ้า” หลายย่านเพื่อความปลอดภัย ท่ามกลางประกาศเตือนฉบับล่าสุดของเทศบาลนครหาดใหญ่ที่ระบุสถานการณ์รุนแรงยิ่งกว่าน้ำท่วมใหญ่ในอดีต และกำชับให้ 103 ชุมชนเข้าสู่ภาวะฉุกเฉินเต็มรูปแบบ
ฝนที่ตกหนักตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายนต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน มีปริมาณสะสมสูงถึง 595 มิลลิเมตรในรอบ 3 วัน มากกว่าที่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2543 และ 2553 นายณรงค์พร ณ พัทลุง นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย เปิดเผยว่า มวลน้ำก้อนใหญ่ตกกระจายทั่วลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา โดยเฉพาะแนวเขาคอหงส์ ลุ่มน้ำคลองเปล และลุ่มน้ำคลองเรียน ซึ่งไม่มีคลองสายใหญ่รองรับ ทำให้แก้มลิงคลองเรียนไม่สามารถเก็บกักน้ำได้อีกต่อไป และจำเป็นต้องปล่อยน้ำลงคลองแม่เรียนและคลองสามสิบเมตรเพื่อป้องกันความเสียหายของคันกั้นน้ำ
อย่างไรก็ตาม คลองสามสิบเมตรรับมวลน้ำจำนวนมากไม่ไหว ขณะระดับน้ำคลองหวะสูงถึง 11.08 เมตร สูงกว่าปีก่อนที่ 10.14 เมตร ส่งผลให้มวลน้ำไหลบ่าเข้าท่วมชุมชนจันทร์ประทีป จันทร์วิโรจน์ จันทร์นิเวศน์ และรัตนวิบูลย์ ก่อนจะทะลักเข้าสู่เมืองชั้นในอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะบริเวณสาย 1 สาย 2 สาย 3 เสน่หานุสรณ์ และอุโมงค์ศรีภูวนารถ ซึ่งเป็นจุดหลักของเครือข่ายระบายน้ำของเมือง
ด้านการจราจรหลายเส้นทางได้รับผลกระทบหนัก โดยที่ถนนบ้านหัวสะพาน–คลองวาด (ท่าช้าง อ.บางกล่ำ) น้ำท่วมผิวถนนจนรถยนต์สัญจรลำบาก เส้นทางเชื่อมเมืองเริ่มถูกตัดขาด ประชาชนจำนวนมากเร่งเคลื่อนย้ายยานพาหนะขึ้นที่สูง เช่น ลานกว้างเทคโนเก่า และพื้นที่บนสะพานคู่ลพบุรีราเมศวร์ ขณะที่พ่อค้าแม่ค้าตลาดนัดโคกเมาและบริเวณสะพานลอดทางรถไฟต้องรีบเก็บของหนีน้ำกันจ้าละหวั่น
สถานการณ์รุนแรงถึงขั้นที่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอหาดใหญ่ (PEA) ประกาศฉุกเฉินสั่ง “ปลดดับไฟฟ้า” รวม 16 พื้นที่ตั้งแต่เวลา 09.00 น. ของวันที่ 22 พฤศจิกายน เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูดและไฟฟ้าลัดวงจร ครอบคลุมพื้นที่สำคัญ เช่น ถนนนิพัทธ์อุทิศ 1–3 ถนนศรีภูวนารถ ถนนปุณณกัณฑ์ ถนนทุ่งรี ถนนจุติอนุสร ถนนราษฎร์ยินดี และหลายชุมชนรอบนอก โดยจะประเมินพื้นที่เพิ่มเติมตามระดับน้ำที่เพิ่มสูง
ท่ามกลางสถานการณ์ที่เข้าขั้นวิกฤต เทศบาลนครหาดใหญ่ประกาศ “ยกธงแดง” 103 ชุมชนทั่วเมือง ให้เร่งอพยพ เคลื่อนย้ายทรัพย์สินขึ้นที่สูง และเข้าสู่ที่ปลอดภัยโดยทันที พร้อมขอให้ประชาชนติดตามการแจ้งเตือนอย่างใกล้ชิดผ่านสถานีวิทยุเทศบาล FM 96.0 MHz ศูนย์วิทยุกุญชร สายด่วนกุญชร รวมถึงช่องทางออนไลน์ของเทศบาลตลอด 24 ชั่วโมง
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่เป็นการเร่งด่วนทันที โดยร้อยเอกธรรมนัส ระบุว่า หากไม่มีฝนตกลงมาเพิ่มเติม สถานการณ์การระบายน้ำน่าจะช่วยให้สภาพความเดือดร้อนของชาวหาดใหญ่ไม่เลวร้ายไปมากกว่านี้ และคาดว่าน้ำจะเริ่มลดระดับลงเรื่อยๆ นอกจากนี้ กรมชลประทาน จะเร่งระบายน้ำลงสู่ทะเลสาบสงขลาโดยเร็ว ส่วนสภาพของโรงเรียนที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก เช่น โรงเรียนบ้านคลองหวะ หรือโรงเรียนทวีรัตน์ราษฎร์ ได้สั่งการไปยังนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้บริหาร ให้ลงมาช่วยเหลือครูอาจารย์ ผู้ปกครอง และนักเรียน ที่ได้รับผลกระทบโดยด่วนแล้ว
ล่าสุด วันที่ 23 พฤศจิกายน กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานลักษณะอากาศทั่วไป พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ภาคใต้ตอนล่าง โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล มีฝนตกหนักหลายพื้นที่ และมีฝนตกหนักมากบางแห่ง เนื่องจากมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณทะเลอันดามันตอนล่าง และประเทศมาเลเซีย ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังค่อนข้างแรงยังคงพัดปกคลุมอ่าวไทยตอนบน ภาคใต้ตอนบน และทะเลอันดามันตอนบน ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ลุ่ม


