หายนะ!ไอเดียโละ
ระบบIFผลิตเหล็ก
วอนคิดให้รอบคอบ
เกรงรัฐเสียค่าโง่หมื่นล.
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีวางนโยบายรัฐบาลว่าเร่งรัดทำงานให้เกิดประโยขน์สูงสุดในตอนนี้ ก่อนจะยุบสภาในสิ่นเดือนมกราคม2569 โดยในส่วนนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม นายธนกร วังบุญคงชนะ รมว.อุตสาหกรรมวางนโยบายว่าภารกิจในกระทรวงอุตสาหกรรมต้องโปร่งใส ส่วนกรณีการตรวจสอบเหล็กเส้นแล้วไม่ผ่านมาตรฐาน ยังคงถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และยืนยันว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินงานด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้
พร้อมสั่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในทุกภาคส่วนนั้นเเละบางฝ่ายจะเสนอรัฐบาลให้เปลี่ยนการผลิตเหล็กเส้นของไทยทั้งระบบ โดยเปลี่ยนจากระบบIF ให้เป็นระบบBOF/EAFเเทน
ดร.ศักดิ์ชัย ธนบดีจิรพงศ์ นายกสมาคมผู้ประกอบการหล่อหลอมโลหะด้วยเตาเหนี่ยวนำไฟฟ้ากล่าวว่า รมว.อุตสาหกรรมยังกล่าวว่ากรณีการตรวจสอบดังกล่าวนั้นจึงไม่ใช่เหล็กจากเหตุการณ์ตึกสตง.ถล่ม ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวในสื่อโซเชียลแต่อย่างใด และเป็นการถอนอายัดเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ผ่านหรือเป็นไปตามเกณฑ์การตรวจสอบแล้วเท่านั้น เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่บริษัทที่ประกอบธุรกิจสุจริต ซึ่งเป็นไปตามหลักการที่ว่า "ต้องไม่ละเมิดสิทธิของผู้ประกอบการ หากผลิตภัณฑ์นั้นถูกต้องตามมาตรฐาน"
ดร.ศักดิ์ชัยกล่าวว่า สิ่งข้างต้นต้องขอบคุณรมว.อุตสาหกรรมที่เป็นกลาง กับการที่สั่งให้ตรวจสอบเพื่อความเชื่อมั่นระบบผลิตเหล็กเส้นของผู้ประกอบการไทยที่ปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ ส่วนกรณีนายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ส.อ.ท. เคยระบุข้อมูลคลาดเคลื่อนกรณีเหล็ก IF พร้อมยืนยันโรงงานไทยผลิตตามมาตรฐาน มอก.–EIA ทุกขั้นตอน ไม่พบปัญหาคุณภาพ และเตือนหากยกเลิกระบบ IF อาจเกิดการผูกขาด–เหล็กขาดตลาด–ราคาพุ่งเพราะนายบัณฑูรย์ได้เสนอเเนวคิดว่าในอนาคตไทยควรเลิกผลิตเหล็กจากระบบIFเเละยังเสนอให้รัฐบาลกำหนดว่าการผลิตเหล็กของไทยต้องมาจากระบบ BOF เเละ EAF เท่านั้น
ดร.ศักดิ์ชัยให้ความเห็นว่า กระเเสข่าวดังกล่าวได้ยินมาเเล้วอีกครั้งว่าจะมีการเสนอภาครัฐให้พิจารณายกเลิกการผลิตเหล็กจากระบบIF นั้น ข้อเท็จจริงในปัจจุบันประเทศไทยมีโรงงานผลิดเหล็กจากระบบ IF 11 แห่งนะครับ มูลค่าการลงทุน 3,000–4,000 ล้านบาท มูลค่าทางการตลาดราว 6–7 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งสัดส่วนทางการตลาดประมาณ 70% หากถามถึงเหล็กที่ผลิตจากระบบIF เทียบกับเหล็กที่ผลิตจากระบบอื่นๆ ขอชี้เเจงว่าคุณภาพในทุกวันนี้แทบจะไม่แตกต่างกัน ยกเว้นเพียงเรื่องการติดสัญลักษณ์บนเหล็กว่าผลิตจากระบบ EF /BOF / IF ถ้าไม่มีการติดสัญลักษณืดังกล่าวไว้ เราก็ไม่สามารถแยกออกได้ว่าเหล็กเส้นนั้นมาจากระบบใด
โรงงานผลิตเหล็กระบบIF 11 แห่งในไทยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือกลุ่มที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทของคนไทยที่นำเทคโนโลยี IF เข้ามาใช้ในประเทศ มีอยู่ราว 6–7 โรงงาน มีสัดส่วนประมาณ 30–40% และไม่เคยมีปัญหาใดๆ
แต่ต่อมาหลังปี 2016 รัฐบาลจีนมีการสั่งปิดโรงงานเหล็กบางส่วนเพื่อลดกำลังผลิต เเละได้รับการชดเชยจากรัฐบาลจีนในการปิดโรงงาน ทำให้โรงงานจากจีนบางแห่งย้ายฐานการผลิตเข้ามาในไทย เเละอาเซียนโดยการลงทุนในไทยนั้นพบว่าผู้ประกอบการจากจีนดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลเเละการเสริมการลงทุนของBOI ในข่วงนั้น เเละผู้ประกอบการของจีนในอุตสาหกรรมนี้มาลงทุนในกลุ่มโรงงานเหล็กระบบ IF ในไทย จนกำลังการผลิตเเละการจำหน่ายเพิ่มขึ้นจนปัจจุบันครองตลาดประมาณ 70%
ทราบว่าการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในด้านนี้นั้นจนถึงปัจจุบันBOI ยังคงให้การส่งเสริมอยู่ จริง ๆ เเล้วอยากเรียกร้องให้ภาครัฐพิจารณายกเลิกการส่งเสริมนี้ได้แล้ว เพราะตอนนี้เรามีการผลิตเหล็กเพียงพอ เเละไม่ควรส่งเสริมเพิ่มอีกเเละควรหันมาช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาศักยภาพเพิ่อลดต้นทุนต่างๆในการผลิตเหล็กจะเหมาะสมกว่า
เมื่อถามว่า หากไทยจะมีการเปลี่ยนระบบการผลิตเหล็กจาก IF ไปเป็น EAGหรือ BOF ตามที่บางฝ่ายระบุจริง กรณีนี้ได้มีการเสนอให้ภาครัฐรับทราบและได้หารือกับสมาคม/ผู้ประกอบการทั้งหมดเเล้วหรือไม่
ดร.ศักดิ์ชัยเปิดเผยว่า ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานภาครัฐมาหารือในเรื่องนี้ มีเพียงบางภาคเอกชนที่ปรากฏในข่าวว่า ขอเรียกร้องให้รัฐยกเลิกการผลิตเหล็กระบบIF เท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วโรงงานผลิตเหล็กระบบIF ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยทุกประการ ถ้ารัฐบาลจะยกเลิกนั้น ต้องมีการชดเชยด้านลงทุนและค่าเสียโอกาส รวมแล้วอาจสูงถึงหลักแสนล้านบาท
“ ซึ่งสุดท้ายเงินที่ชดเชยก็ต้องมาจากภาษีประชาชนเเละราคาเหล็กในท้องตลาดจะเเพงขึ้นมาก ฝ่ายได้ประโยชน์จริง ๆ คือกลุ่มโรงงานที่ใช้ระบบการผลิตชนิดอื่น ความเห็นของผมคือ เราไม่ควรไปปิดกั้นเทคโนโลยี เพราะทุกวันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก โดยเฉพาะในยุค 5G และ 6G ถ้าเราปิดกั้นเทคโนโลยีการผลิต ก็เท่ากับทำให้ประเทศเสียโอกาส ทั้งๆที่สินค้าคุณภาพดีและต้นทุนต่ำมีอยู่แล้ว แต่เราไม่ใช้ หากเปลี่ยนไปใช้ของที่แพงกว่าและเทคโนโลยีเเตกต่างกันไม่มาก ผู้ที่เสียประโยชน์คือประเทศและผู้บริโภคคนไทย
ในมุมมองของผม เราไม่ควรไปกำหนดว่าต้องใช้เทคโนโลยีแบบไหนในการผลิตสินค้า แต่ควรยกระดับคุณภาพและมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม(มอก.) ให้เข้มงวดมากขึ้น ตรวจสอบให้ทั่วถึงทั้งระบบIF/EAFและ BOF เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าเหล็กที่ใช้ในประเทศมีมาตรฐาน ไม่ว่าจะผลิตจากระบบใดก็ตาม”ดร.ศักดิ์ชัยกล่าว
ดร.ศักดิ์ชัยชี้แนะว่าโดยเเท้จริงเเล้ว
ทุกภาคส่วนที่ใข้ผลิตภัณฑ์เหล็กสนใจเพียงอย่างเดียวคือ “คุณภาพสินค้า” ถ้าพบว่าสมาชิกในสมาคม ของตนรายใดผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐาน รัฐบาลสามารถดำเนินคดีตามกฎหมายได้ทันที สมาคมไม่ปกป้องแน่นอนเเละเมื่อเร็วๆนี้ จ่าเอกยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ รมช.อุตสาหกรรม ได้ไปตรวจเยี่ยมโรงงานผลิตเหล็กระบบIFเเห่งหนึ่งในจ.ปราจีนบุรีทราบว่าไม่พบปัญหาใดๆ ตรงนี้ขอบคุณกระทรวงอุตสาหกรรมที่สนใจเเละติดตามการผลิตเหล็กด้วยระบบนีัให้ได้มาตรฐาน เพราะเหล็กเป็นอุตสาหกรรมสำคัญเหมือน “กระดูกสันหลัง” ของประเทศใช้ในงานก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด เหล็กระบบ IF ที่สมาคมผลิตมา 20 กว่าปีไม่เคยมีปัญหาใด ๆ หากมีปัญหาเกิดขึ้นเราก็พร้อมรับการตรวจสอบเเละรับบทลงโทษทางกฎหมายทุกประการ
ดร.ศักดิ์ชัยว่า
ที่ผ่านมาอาจมีข่าวหรือกระแสบางอย่างที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเหล็กIFดูไม่ดี แต่สุดท้ายก็พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้เกี่ยวกับคุณภาพเหล็ก โดยเฉพาะกรณีอาคาร สตง. ซึ่งภายหลังก็ยืนยันแล้วว่าไม่ได้เกิดจากเหล็ก IFดังนั้นหากประเทศไทยต้องยกเลิกการผลิตเหล็กด้วยระบบ IF และเปลี่ยนไปเป็นระบบAIFหรือ BOF นั้นต้องใช้เวลาศึกษาผลกระทบ/การสอบถามความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ/การวิเคราะห์ต้นทุนและการลงทุน/การยกร่างกฎหมายที่ใข้เวลาหลายปี
นั้น คาดว่า ต้นทุนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งสุดท้ายจะสะท้อนกับราคาสินค้าในตลาด
ดร.ศักดิ์ชัยกล่าวอีกว่า
ที่ผ่านมาเห็นชัดว่าเมื่อมีการปิดโรงงานบางแห่งในไทย ราคาก็ขึ้นทันที เช่น ปิดไปเพียง 2 โรง ราคาก็เพิ่ม 3 บาทต่อกิโลกรัม หากปิดไป 70% ของกำลังผลิตในประเทศ ราคาน่าจะเพิ่มหลายเท่าตัว ซึ่งเป็นการกระทบต่อเศรษฐกิจโดยตรง เพราะเหล็กคือความมั่นคงของชาติ หากไม่มีการผลิตในประเทศ แล้วเกิดวิกฤตโลกหรือสงครามขึ้นมา ประเทศที่ต้องนำเข้าเหล็กทั้งหมดก็จะเสียเปรียบทันที
ดร.ศักดิ์ชัยชี้้ว่า
หากมีคำถามว่าวันนี้ประเทศใดยังใช้ระบบ IF บ้าง พบว่าจีน อินเดีย และยุโรปหลายประเทศยังใช้ โดยใช้ในงานที่แตกต่างกันไป ประเทศจีนเองยังใช้เตา IF ผลิตเหล็กสเตนเลสควบคู่กับเตาปรุงแต่ง ซึ่งเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีเพื่อให้ลดการปล่อยคาร์บอนตามแนวทาง Carbon Credit ที่ทั่วโลกให้ความสนใจ
“ดังนั้นจะเห็นว่าระบบ IF ไม่ได้ล้าสมัย แต่ถูกปรับให้เหมาะสมกับประเภทเหล็กและนโยบายสิ่งแวดล้อมของแต่ละประเทศ ประเทศอื่นยังใช้ และคุณภาพของเหล็กไทยก็สามารถแข่งขันได้
หากจะมีการเสนอให้ยกเลิกระบบ IF แล้วเปลี่ยนเป็น EF หรือ BOF ภาครัฐควรเปิดเวทีหารือร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งผู้ผลิต สมาคม และผู้บริโภค เพื่อศึกษารอบด้านอย่างแท้จริงก่อนตัดสินใจ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงเทคโนโลยีการผลิต แต่เกี่ยวข้องกับ “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของชาติ” โดยตรง”ดร.ศักดิ์ชัยกล่าว


