คนร้ายแต่งชุดดำบุกห้าง กวาดทองกว่า 600 บาทหนีลอยนวล ผู้เชี่ยวชาญชี้เป็นสัญญาณ “อาชญากรรมเชิงเศรษฐกิจ” ท่ามกลางราคาทองนิวไฮ หนี้ครัวเรือนพุ่ง แนะรัฐเร่งปรับยุทธศาสตร์ความปลอดภัยเชิงลึก ป้องกันเหตุเลียนแบบทั่วประเทศ
เหตุการณ์อุกอาจจากกรณีคนร้ายกลุ่มหนึ่งแต่งกายด้วยชุดดำแบบยุทธวิธี ปิดบังใบหน้า มาพร้อมอาวุธครบมือ บุกเข้าไปปล้นร้านทองภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดัง จังหวัดนราธิวาส ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการก่อเหตุ ได้ทองรูปพรรณน้ำหนักรวมกว่า 600 บาท คิดเป็นมูลค่าราว 35 ล้านบาท ก่อนจะหลบหนีไปอย่างลอยนวล ท่ามกลางความตกตะลึงของพนักงานและประชาชนที่อยู่ในห้าง
แม้ยังไม่มีข้อสรุปว่าเหตุการณ์นี้เป็นอาชญากรรมทั่วไป หรือมีนัยยะทางความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เหตุการณ์นี้เป็นทั้ง สัญญาณเตือนเรื่องอาชญากรรมจากปัจจัยเศรษฐกิจ และ จุดเปราะบางของระบบรักษาความปลอดภัย ที่อาจต้องทบทวนอย่างจริงจัง
จังหวัดนราธิวาสเป็นหนึ่งในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ที่มีประวัติความไม่สงบยาวนานกว่า 20 ปี เหตุความรุนแรงในอดีต เช่น การวางระเบิด การลอบยิง หรือการก่อเหตุปล้นอาวุธ ล้วนมีรากฐานจากปัญหาซับซ้อนทั้งด้านการเมือง อัตลักษณ์ และเศรษฐกิจ แม้ในช่วงหลังสถานการณ์จะคลี่คลายลงบ้าง แต่เหตุการณ์ล่าสุดนี้อาจตีความได้ว่าเป็นการกลับมาของ ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ที่เปลี่ยนจากการโจมตีเชิงสัญลักษณ์ เป็น การโจรกรรมเชิงเศรษฐกิจ ที่ใช้ความกล้าบ้าบิ่นเป็นตัวขับเคลื่อน
การที่คนร้ายเลือกเป้าหมายเป็นร้านทองในห้างกลางเมือง สะท้อนว่ามีการวางแผนล่วงหน้า รู้จักเส้นทางหลบหนี และมั่นใจในความล่าช้าของการตอบสนองจากเจ้าหน้าที่ จุดนี้เองที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า อาจไม่ใช่การก่อเหตุแบบฉวยโอกาสเท่านั้น แต่เป็นการวิเคราะห์จุดอ่อนของระบบความมั่นคงในพื้นที่อย่างละเอียด
อีกปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้คือ “ทองคำ” ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับมีค่า แต่คือสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที และที่สำคัญ ราคาทองในตลาดโลก ณ ช่วงเวลานี้กำลังทะยานขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ทำลายสถิติใหม่เป็นรายวัน
ราคาทองคำแท่งทะลุระดับ 600,00 บาท ทำให้ร้านทองทั่วประเทศกลายเป็นเป้าหมายที่ล่อแหลมมากขึ้น โดยเฉพาะร้านที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า หรือพื้นที่เปิดที่มีประชาชนพลุกพล่าน ในสภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว คนตกงาน หนี้สินครัวเรือนพุ่งสูง การก่อเหตุลักษณะนี้จึงอาจมีแรงจูงใจจากความต้องการทางเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน รวมถึงมีแนวโน้มที่ผู้ก่อเหตุจะยอมเสี่ยงมากขึ้น เพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่สามารถเปลี่ยนมือได้ง่ายและรวดเร็ว
กรณีปล้นทองในนราธิวาสจึงไม่ใช่แค่เหตุอาชญากรรมธรรมดา แต่เป็นสัญญาณเตือนว่าการผันผวนทางเศรษฐกิจอาจกำลัง ‘ปลุกกระแสโจรกรรม’ ครั้งใหม่ ที่อาจขยายไปในหลายจังหวัดหากไม่รับมือทันการณ์
เหตุปล้นครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำคัญของฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนใต้ ไม่ใช่แค่ในมิติของการรักษาความสงบเรียบร้อย แต่ต้องขยายไปสู่ การวางระบบเฝ้าระวังอาชญากรรมเชิงลึก โดยเฉพาะในแหล่งเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาดสด สถานีขนส่ง และสถานบริการทางการเงิน
ในระยะสั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจควรเร่งติดตามคนร้ายให้ได้โดยเร็ว เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน รวมถึงตรวจสอบเส้นทางจำหน่ายทองที่ถูกปล้น เพื่อปิดช่องทางการฟอกของกลางเข้าสู่ระบบ แต่ในระยะยาว ฝ่ายความมั่นคงระดับจังหวัดและระดับชาติ อาจต้อง ปรับยุทธศาสตร์ความมั่นคงในพื้นที่เศรษฐกิจ โดยเฉพาะในห้างร้านที่มีทรัพย์สินหมุนเวียนสูง เช่น ร้านทอง ร้านเงิน ร้านจำนำ รวมถึงธนาคารให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน ทั้งเรื่องระบบกล้องวงจรปิด การตอบสนองเหตุฉุกเฉิน และความร่วมมือกับภาคเอกชน
นอกจากนี้ ยังควรมีมาตรการเชิงรุกในการเฝ้าระวังอาชญากรรมที่อาจเกิดจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจ เช่น การติดตามกลุ่มเสี่ยง การประสานงานกับฝ่ายปกครองในพื้นที่ เพื่อให้สามารถอ่านสัญญาณก่อนเกิดเหตุ แทนที่จะไล่ตามหลังเมื่อเกิดเหตุ เท่านั้น ดังนั้น การปล้นทองกว่า 35 ล้านบาทในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ท้าทายกฎหมาย แต่ยังสะท้อนถึงความเปราะบางของสังคมไทยในหลายมิติ ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และความเหลื่อมล้ำที่อาจผลักให้บางคนเลือกใช้การก่ออาชญากรรม เป็นทางรอดในยามสิ้นหวัง
ถ้าภาครัฐยังขาดแผนรับ อาจจะได้เห็นการก่อเหตุในลักษณะเลียนแบบเพิ่มมากขึ้นก็ได้