คดีฮั้ว ส.ว. สะเทือนรัฐบาลใหม่ “อนุทิน” เจอแรงเสียดทานจังเบ้อเร่อ ปมตั้งทีมดีเอสไอร่วมคณะทำงาน “ยุติธรรม” ถูกมองแทรกแซงคดีอ่อนไหว สังคมจับตา พูดแล้วต้องทำ โปร่งใสจริงหรือแค่คำพูดสวยหรู
รัฐบาลใหม่ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต้องเจอกับแรงเสียดทานชุดใหญ๋อย่างจัง จากกรณีข้อกังขาเกี่ยวกับกระบวนการตรวจสอบคดีการทุจริตการเลือกส.ว. ที่อยู่ในมือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ หน่วยงานสำคัญที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงยุติธรรม
ปมร้อนดังกล่าวถูกตั้งคำถามอย่างจริงจังจากหลายฝ่ายว่า รัฐบาลชุดปัจจุบัน มีท่าทีหรือพฤติกรรมเข้าข่าย "แทรกแซง" การทำงานของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอหรือไม่ โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่คดีการทุจริตเลือก ส.ว. กำลังอยู่ระหว่างการไต่สวน และเริ่มส่งกลิ่นแรงขึ้นเรื่อยๆ จากข้อมูลที่ปรากฏต่อสาธารณะ
แม้นายอนุทินจะพยายามปฏิเสธข้อกล่าวหานี้มาโดยตลอด ยืนยันในวันแถลงนโยบายว่า รัฐบาลจะไม่แทรกแซงการทำงานของข้าราชการประจำ และจะทำให้กฎหมายเป็นกฎหมาย ทว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดจากกระทรวงยุติธรรมกลับสร้างแรงสั่นสะเทือนในทางตรงกันข้าม
ต้นตอของความสงสัยเริ่มต้นจากโพสต์ของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักแฉตัวยง ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งเปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมาถึงคำสั่งแต่งตั้ง ‘คณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม’ เลขที่ 194/2568 โดยลงนามโดย พล.ต.ท. รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งไม่ถึง 7 วัน
โดยสิ่งที่ทำให้สังคมเริ่มรู้สึกผิดปกติคือ รายชื่อบุคคลในคณะทำงานชุดดังกล่าวจำนวน 17 คน ปรากฏว่าล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนคดีสำคัญ โดยเฉพาะคดีทุจริตการเลือก ส.ว.
การนำบุคลากรในกระบวนการสอบสวนคดีสำคัญ มาแต่งตั้งให้เป็นคณะทำงานของรัฐมนตรีเพียงไม่กี่วันหลังเข้ารับตำแหน่ง จึงกลายเป็นประเด็นร้อนที่สร้างข้อกังขาขึ้นมาทันทีว่าฝ่ายการเมืองกำลังจะเล่นกับไฟหรือไม่
คำถามเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนเพียงความสงสัยส่วนบุคคล แต่กำลังสะท้อนความไม่ไว้วางใจที่สังคมเริ่มมีต่อรัฐบาลชุดใหม่ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการสร้างธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกรัฐบาลต้องยึดมั่นเพื่อรักษาความชอบธรรมของตนเองในระยะยาว
ยิ่งเมื่อพิจารณาว่า กระทรวงยุติธรรมภายใต้การนำของ พล.ต.ท. รุทธพล เนาวรัตน์ นั้นเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ไม่นาน และยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นการบริหารงาน แต่กลับต้องกลายเป็น “หมู่บ้านกระสุนตก” รับแรงกดดันทั้งจากฝ่ายค้าน ภาคประชาชน และแม้กระทั่งจากสื่อมวลชน ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ย่อมทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลอนุทินมีปัญหาเร็วกว่าที่คาด
สำหรับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และมีจุดขายสำคัญคือ ‘พูดแล้วทำ’ ก็ถูกตั้งความคาดหวังในระดับที่สูงกว่าปกติ การที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค เคยประกาศชัดว่าจะไม่ยื่นมือเข้าไปในกระบวนการยุติธรรม ย่อมต้องมีผลผูกพันไม่ใช่เฉพาะตัวอนุทินเท่านั้น แต่รวมไปถึงรัฐมนตรีภายใต้สังกัด และบุคคลในแวดวงการเมืองของพรรคด้วย
ประชาชนไม่ได้จับตาเพียงคำพูดของนายกรัฐมนตรีในวันแถลงนโยบาย แต่ยังวัดผลจากการกระทำที่ตามมา หากสิ่งที่เกิดขึ้นในกระทรวงยุติธรรมถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณแทรกแซงทางอ้อม ก็จะย้อนกลับมาทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลชุดนี้อย่างไม่อาจเลี่ยงได้
ในทางเทคนิค การแต่งตั้งคณะทำงานของรัฐมนตรีถึงจะสามารถทำได้ตามระเบียบราชการ แต่ในทางการเมือง เมื่อเจ้าหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้งเกี่ยวข้องโดยตรงกับคดีอ่อนไหวเช่นคดีฮั้ว ส.ว. ก็ย่อมทำให้ประชาชนตั้งคำถามถึงเจตนาเบื้องหลังได้โดยชอบธรรม และการปัดความรับผิดชอบด้วยคำว่า “เป็นไปตามระเบียบ” คงไม่เพียงพอที่จะลบล้างความสงสัยของสังคม
คดีฮั้ว ส.ว. ไม่ใช่เรื่องเล็กในระดับประเทศ เพราะเกี่ยวข้องกับความน่าเชื่อถือของกระบวนการได้มาซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งในฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งจะมีบทบาทในการกลั่นกรองกฎหมายสำคัญและการเลือกบุคคลเข้าไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ความไม่โปร่งใสในการเลือกส.ว. จึงกระทบต่อโครงสร้างประชาธิปไตยในภาพรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในห้วงเวลาที่รัฐบาลยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้เต็มที่ การสร้างความเชื่อมั่นว่าจะไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม จึงควรเป็นหลักยืนสำคัญที่สุดของนายกรัฐมนตรี หากไม่ต้องการให้ข้อกล่าวหาจากภายนอกกลายเป็นบาดแผลเรื้อรังในระยะยาว จนทำลายความฝันที่จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี 4 ปีในวันข้างหน้า