"ภูมิธรรม-ทวี" ระทึก! ศาล รธน.รับสอบต่อ แม้พ้นเก้าอี้ ขณะ ส.ว.จี้อัยการเอาผิด “อนุทิน-ณัฐพงษ์” ปม MOA ส่อโยงล้มล้างการปกครอง
เวลานี้ดูเหมือนว่าพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกคนในรัฐบาลเก่าต่อเนื่อง อย่างพรรคเพื่อไทยที่นอกจาก 'ทักษิณ ชินวัตร' ต้องกลับไปรับโทษในเรือนจำแล้ว ปรากฎว่ายังเผชิญกับสถานการณ์เลือดไหลต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้นโดยเฉพาะรัฐมนตรีที่ตกเก้าอี้ไปแล้ว ยังต้องภาระในการต่อสู้คดีในชั้นศาลต่อไป โดยเฉพาะกรณีของนายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และพันตำรวจเอกทวี สอดส่อง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 2 ให้มีการพิจารณาคำร้องที่ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม และ พันตำรวจเอกทวี ต่อไป จากกรณีใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา อันเป็นการฝ่าฝืนหลักนิติธรรม
ทั้งนี้ ตุลาการเสียงข้างมาก 6คน ประกอบด้วย นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายจิรนิติ หะวานนท์ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ มีความเห็นว่า การพิจารณาคดีต่อไปจะเป็นประโยชน์ ต่อสาธารณะตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 51 ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 2คน คือ นายวิรุฬห์ แสงเทียน และนายนภดล เทพพิทักษ์ เห็นว่าเมื่อผู้ถูกร้องทั้งสองพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี กรณีไม่มีเหตุที่จะต้องวินิจฉัยคดีต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 51
ด้าน นายอัครวัฒน์ พงศ์ธนาชลิตกุล สมาชิกวุฒิสภาสำรอง ได้เดินทางมาเพื่อยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุด ตรวจสอบการกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลที่อาจเข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครอง โดยร้องเรียนเอาผิด 2 บุคคล 2 พรรคการเมือง ได้แก่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ,นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและหัวหน้าพรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทยเเละพรรคประชาชน
โดยนายอัครวัฒน์ เปิดเผยว่า เนื่องจากการที่ทั้งสองพรรคทำMOA ที่พรรคประชาชนจะสนับสนุนเลือกนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยและต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน จึงมองว่า MOA ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการแทรกแซงก้าวก่ายพรรคการเมืองระหว่างกัน ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข