สุดพิลึก…ภูมิใจไทยผสมเทียมรัฐบาล? "อนุทิน" จ่อเป็นนายกฯ เสียงข้างน้อย พรรคส้มเป็นฝ่ายค้านแต่คุมเกม ส่อรัฐบาลอ่อนแอไร้เสถียรภาพ ฝ่ายค้านอีแอบไร้ความรับผิดชอบ ประเทศไทยจะเดินหน้าอย่างไร?
สถานการณ์ในทางการเมืองเวลานี้ คาดหมายได้ว่าว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรไม่วันใดวันหนึ่งระหว่างวันที่ 3 วันที่ 4 หรือ วันที่ 5 กันยายน จะมีการโหวตให้ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หรือนาย ชัยเกษม นิติศิริ แคดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย คนใดคนหนึ่ง ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย
ไม่เพียงเท่านี้ ตอนนี้นายอนุทินมาแรง ถ้าได้เป็นนายกฯ จะเป็นอีกรัฐบาลในประวัติศาสตร์การเมืองไทยในฐานะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งสภาพของรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการที่ส.ส.พรรคประชาชน 140 กว่าคน ยินดีโหวตสนับสนุนให้เสี่ยหนู อนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี
โดยพรรคส้มไม่เข้าร่วมเป็นรัฐบาลและเลือกที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้านต่อไปภายใต้เงื่อนไขสำคัญ คือ นายกฯ คนใหม่จะต้องยุบสภาฯ ภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่ที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อจัดให้มีเลือกตั้งทั่วไป
2.คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ จะต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติ ในประเด็นการแก้ไข รัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดย สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็ว ทั้งนี้ต้องไม่เร็วไปกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วไป
สูตรการจัดตั้งรัฐบาลแบบนี้เหมือนจะดูดีและเกิดภาวะ ‘วิน-วิน’ ในทางการเมือง กล่าวคือ พรรคภูมิใจไทยได้เป็นรัฐบาล พรรคประชาชนได้แก้ไขรัฐธรรมนูญและไม่ต้องตัวไปแปดเปื้อนกับการสาดโคลนการเมืองพร้อมกับการสร้างภาพและความหล่อในทางการเมืองไว้ได้ครบทุกประการ
แน่นอนว่าย่อมสามารถเรียกเสียงกรี๊ดจากด้อมส้มได้อย่างล้นหลาม แต่ถ้าลองถอยออกจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วกลับมาพิจารณาถึงสภาพที่เป็นไปให้ลึกซึ้งจะพบว่าประเทศไทยกำลังจะมีฝ่ายบริหารและมีฝ่ายนิติบัญญัติที่แปลกประหลาดมากที่สุดทั้งในทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ
พรรคภูมิใจไทยในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเลือกจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยปราศจากความสามารถในการควบคุมเสียงในสภาผู้แทนราษฎรด้วยตนเอง การผ่านกฎหมายแต่ละฉบับ การผลักดันนโยบายแต่ละเรื่อง ล้วนต้องอาศัยความเมตตาจากพรรคประชาชน ในฐานะพรรคการเมืองเสียงข้างมากในสภาฯ รัฐบาลที่ต้องคอยหันไปถามฝ่ายค้านตลอดเวลาจะดำเนินการในเรื่องนี้ตะเอาด้วยไหม หรือจะว่าอย่างไร
จึงไม่ใช่รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ และไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นผู้บริหารประเทศอย่างแท้จริง
ขณะเดียวกัน การที่พรรคประชาชนในฐานะฝ่ายค้านกลับมีอำนาจในการต่อรองหรือกำหนดทิศทางนโยบาย โดยไม่ต้องเข้าร่วมรัฐบาลหรือรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ทางการเมือง ก็คือการเล่นบทบาททางอำนาจที่ไร้ความรับผิดชอบนั่นเอง
ในสถานการณ์นี้ พรรคประชาชนกำลังเล่นเกมการเมืองที่ย้อนแย้งต่อหลักประชาธิปไตย พวกเขาไม่ใช่รัฐบาลอย่างเป็นทางการ แต่ก็ไม่ใช่ฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างแข็งขัน ท่าทีแบบ “ครึ่งบก ครึ่งน้ำ” ของพรรคประชาชน สร้างความคลุมเครือให้แก่โครงสร้างการเมืองทั้งระบบ รัฐบาลอ่อนแอเกินกว่าจะบริหารได้ ฝ่ายค้านก็ไม่ได้เป็นผู้ตรวจสอบที่เข้มแข็ง ประเทศจึงตกอยู่ในสภาพไร้ทิศทาง
ความย้อนแย้งยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อหันกลับมาพิจารณาท่าทีของพรรคภูมิใจไทยเอง การยอมรับตำแหน่งรัฐบาลเสียงข้างน้อยทั้งที่รู้ว่าปราศจากเสียงสนับสนุนที่มั่นคงในสภา แทบไม่ต่างอะไรกับการยอมเป็น “รัฐบาลอ่อนแอโดยสมัครใจ” เพื่อแลกกับอำนาจบริหารในนาม มากกว่าความสามารถในการบริหารอย่างแท้จริง
ทำให้พรรคภูมิใจไทยเปลือยตัวเองออกมาให้เห็นว่า เป็นพรรคการเมืองที่มุ่งแสวงหาอำนาจ มากกว่าจะยึดหลักการความมั่นคงในทางการเมืองและการมีประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ
การเมืองที่เป็นเช่นนี้ไม่เพียงบ่อนทำลายหลักการถ่วงดุลอำนาจ แต่ยังทำให้รัฐสภากลายเป็นเวทีการแสดงทางอำนาจที่ไร้ความรับผิดชอบ ไม่มีฝ่ายใดกล้ายืนหยัดทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ เพราะต่างก็ต้องการรักษาพื้นที่อิทธิพลทางการเมืองไว้มากกว่าการทำเพื่อผลประโยชน์ของสาธารณะ พรรคประชาชนมีเสียงมากที่สุด แต่ไม่กล้าเป็นรัฐบาล กลัวว่าจะต้องรับผิดชอบต่อความล้มเหลว
เมื่อไม่มีทั้งรัฐบาลที่เข้มแข็ง และฝ่ายค้านที่กล้าตรวจสอบ สภาก็กลายเป็นเพียงเวทีที่กลุ่มการเมืองต่อรองอำนาจกันในนามของประชาชน โดยไม่สนใจว่าผลลัพธ์จะนำพาประเทศไปในทิศทางใด หากปล่อยให้โครงสร้างอำนาจที่บิดเบี้ยวเช่นนี้ดำรงอยู่ต่อไป ย่อมไม่อาจหวังการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่แท้จริงได้ และความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อการเมือง ก็จะยิ่งเสื่อมถอยลงทุกวัน
ดังนั้น พรรคประชาชนในฐานะเสียงข้างมากควรยอมรับความจริงว่า ถ้ามีอำนาจในการกำหนดทิศทางประเทศ ก็ควรลงมือทำอย่างจริงจัง ไม่ใช่แอบอยู่หลังม่าน เพราะท้ายที่สุดแล้ว การปฏิเสธความรับผิดชอบ คือการยอมรับว่าตนเองไม่พร้อมจะเป็นผู้นำ และการเมืองไทยจะไม่สามารถหลุดพ้นจากวังวนแห่งความอ่อนแอได้เลย หากผู้มีอำนาจไม่กล้ายืนอยู่ในที่แจ้งเพื่อรับผิดชอบอย่างตรงไปตรงมา