ไข่เจียว 4,000 สะท้อนปัญหาใหญ่! ราคาอาหารพุ่ง ใครกำหนด? ต้นทุนจริงหรือทุนผูกขาด? รัฐต้องกล้าแก้โครงสร้างตลาด หยุดทุนบิดเบือนราคา คุ้มครองผู้บริโภคระยะยาว
จากจุดเริ่มต้นของเมนูไข่เจียวปูราคา 4,000 บาทในร้านอาหารชื่อดังย่านประตูผีของ “เจ๊ไฝ” ที่กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโซเชียล กลับกลายเป็นชนวนให้สังคมหันกลับมาตั้งคำถามที่ใหญ่กว่านั้น ราคาอาหารบ้านเรากำลังถูกกำหนดด้วยกลไกตลาดจริง ๆ
หรือว่าเราเริ่มอยู่ในยุคที่ทุนสามารถปั้นราคาขึ้นได้ตามใจ แล้วให้ผู้บริโภครับภาระเพียงฝ่ายเดียว จนวันนี้ราคาข้าวแต่ละมื้อแทบจะล้ำเกินค่าแรงที่ได้รับในแต่ละวัน
โดยหลักการแล้ว ราคาสินค้าและบริการ รวมถึงอาหารในร้านต่าง ๆ ถูกปล่อยให้ขับเคลื่อนด้วยกลไกตลาด กล่าวคือเป็นเรื่องของ “ความพึงพอใจ” ระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ หากลูกค้าเห็นว่าราคาไม่สมเหตุสมผล ก็สามารถเลือกไม่ซื้อได้ และร้านที่ตั้งราคาเกินจริงย่อมถูกตลาดลงโทษ
แต่นั่นคือหลักการในโลกอุดมคติ เพราะในความเป็นจริง ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยต้องเจอกับสถานการณ์ที่ไม่มีตัวเลือกอื่นให้เปรียบเทียบราคาหรือคุณภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ถูกทุนผูกขาด หรือมีการครอบครองพื้นที่เชิงพาณิชย์อย่างเป็นระบบ ร้านค้ารายย่อยทยอยปิดตัวลงเพราะสู้ค่าเช่าไม่ไหว ถูกแทนที่ด้วยแบรนด์หรู ร้านแฟรนไชส์ และคาเฟ่ที่ไม่ได้ขายแค่อาหารแต่ขายภาพลักษณ์ และประสบการณ์ที่บรรจุอยู่ในราคาแพงลิ่ว
การที่กรมการค้าภายในเข้ามาตรวจสอบ จึงไม่ใช่เรื่องของการควบคุมราคาโดยตรง แต่เป็นการดูแลให้เกิดความโปร่งใส ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากในระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี เพราะเมื่ออิสรภาพในการตั้งราคากลายเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการสามารถใช้อย่างไม่จำกัด ย่อมเท่ากับว่าภาระย่อมตกอยู่กับผู้บริโภค
แต่การตรวจสอบราคาของอาหารรายเมนูไม่สามารถเป็นทางออกระยะยาวได้ หากยังไม่กล้าแตะต้อง “โครงสร้างตลาด” ที่สร้างความเหลื่อมล้ำนี้ขึ้นมา
ตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น คือย่านบรรทัดทอง พื้นที่ที่เคยเต็มไปด้วยร้านอาหารท้องถิ่นราคาเข้าถึงได้ กลับค่อย ๆ ถูกกลืนหายไปภายใต้แรงผลักของทุนขนาดใหญ่ที่แห่กันเข้ามาครอบครองพื้นที่เปิดร้านใหม่ในรูปแบบแฟรนไชส์ หรือคอนเซปต์คาเฟ่หรู ค่าเช่าพุ่งสูง ร้านเก่าไม่มีทางสู้ ต้องย้ายออกไป ร้านใหม่ที่เข้ามาแทนกลับตั้งราคาน้ำดื่มขวดละ 80 บาทในชื่อว่า "สไตล์มินิมอล" ได้อย่างไม่มีใครค้าน
กลับมาที่คำถามตั้งต้นว่า อะไรคือสาเหตุของราคาอาหารที่แพงเกินจริง หากมองในแง่ของผู้ประกอบการอาจบอกว่าเป็นเรื่องของต้นทุนวัตถุดิบ คุณภาพ และค่าชื่อเสียง ซึ่งผู้บริโภคมีสิทธิ์เลือกจะซื้อหรือไม่ซื้อก็ได้ แต่ในกรณีที่ระบบตลาดถูกทุนใหญ่ครอบงำ การตั้งราคาจึงไม่ใช่เรื่องของต้นทุนกับกำไรอีกต่อไป แต่กลายเป็นการตั้งราคาให้สูงสุดเท่าที่คนยอมจ่ายได้ โดยไม่จำเป็นต้องสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงแม้แต่น้อย
หากภาครัฐยังคงมองเห็นเพียงแค่ปัญหาเฉพาะราย เช่น การไม่แสดงราคา หรือการตั้งราคาที่ดูไม่สมเหตุสมผลเพียงบางกรณี โดยไม่ยอมแตะต้องโครงสร้างเศรษฐกิจเชิงผูกขาดหรือการครอบครองพื้นที่เชิงพาณิชย์โดยทุนใหญ่ การคุ้มครองผู้บริโภคก็จะกลายเป็นเพียงเครื่องมือทางนโยบายที่ทำงานเพื่อลดกระแสชั่วคราวเท่านั้น
ดังนั้น เรื่องนี้ยังไม่ควรจบเพียงแค่ค่าปรับและการแสดงราคา เพราะมันได้เปิดประตูให้เกิดคำถามใหญ่ว่า อะไรคือ "ราคาที่เหมาะสม" ในระบบเศรษฐกิจไทย โดยในระยะยาว เราอาจไม่จำเป็นต้องมีรัฐคอยควบคุมราคาทุกจานอาหาร แต่เราจำเป็นต้องมี “รัฐที่กล้า” ปกป้องโครงสร้างตลาดให้แข็งแรงพอที่จะไม่ถูกทุนรายใหญ่บิดเบือนราคา