จี้ปฏิรูปหลักสูตรศาล! หวั่นคอนเนคชั่น-อุปถัมภ์บิดเบือนกระบวนการยุติธรรม กมธ.งบฯ ชี้หลักสูตร บยส.สร้างเครือข่ายพวกพ้อง แนะปรับระบบสอบผู้พิพากษาให้เท่าเทียม แม้เสียงวิจารณ์ดังแต่ปฏิรูปยาก ขาดกลไกตรวจสอบจริงจัง
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรระหว่างวันที่ 13-15 สิงหาคม มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 หลายฝ่ายอาจสนใจตรงที่ฝ่ายรัฐบาลจะสามารถควบคุมเสียงในระหว่างการประชุมสภาฯไม่ล่มได้หรือไม่ แต่ในอีกมุมหนึ่งมีอีกแง่มุมหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
โดยประเด็นที่ว่านั้น คือ เนื้อหารายงานของคณะกรรมาธการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ซึ่งมีข้อเสนอแนะและข้อสังเกตเกี่ยวกับระบบการทำงานของหน่วยงานด้านศาล ทั้งสำนักงานศาลยุติธรรม และ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะกรณีที่ควรปรับปรุงการให้คนนอกเข้ามาอบรมตามหลักสูตรของศาล ที่จะต้องไม่เป็นการสร้างระบบอุปถัมภ์และคอนเนคชั่นซึ่งอาจส่งผลต่อกระบวนการยุติธรรม
ทั้งนี้ ในส่วนของสำนักงานศาลยุติธรรม คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีความเห็นส่วนหนึ่งว่า ควรปรับปรุงหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บยส.)โดยการแบ่งประเภทผู้เข้าอบรมอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันการใช้หลักสูตรดังกล่าวสร้างระบบอุปถัมภ์ และเครือข่ายพวกพ้องซึ่งอาจถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อการพิพากษาคดีที่อาจนำไปสู่ความไม่โปร่งใสและลดทอนความเป็นธรรมในระบบยุติธรรม
"ควรปรับปรุงระบบการสอบผู้พิพากษาให้มีความเท่าเทียมและมาตรฐานเดียวกันสำหรับผู้เข้าสอบในทุกสนาม ทั้งผู้ที่จบการศึกษาภายในประเทศและต่างประเทศเนื่องจากปัจจุบันระดับความยากของข้อสอบและกระบวนการสอบมีความแตกต่างกัน"
ขณะที่ในส่วนของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อเสนอว่า หน่วยงานควรสร้างความเชื่อมั่นและเสริมสร้างภาพลักษณ์ขององค์กรให้เข้าถึงและได้รับการยอมรับจากประชาชนให้มากขึ้น-ควรหาแนวทางในการสร้างความกระจ่างแก่ประชาชนเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาล โดยเฉพาะกรณีที่มีความซับซ้อนหรืออาจนำไปสู่การตีความที่แตกต่างกันซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนและความขัดแย้งในสังคม โดยควรมีการอธิบายคำวินิจฉัยในรูปแบบที่ประชาชนเข้าใจง่ายเพื่อป้องกันความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างความเข้าใจและเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯในเชิงท้าทายการดำรงความยุติธรรมศาลที่ปรากฎออกมานั้นไม่ได้เป็นครั้งแรกที่มีการเสนอ เพราะก่อนหน้านี้เคยมีข้อสังเกตมาแล้วหลายครั้ง แต่ทุกครั้งข้อเสนอเหล่านี้ก็มักจะเงียบหายและไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติเพื่อยกเลิกหรือแก้ไขให้เกิดความเหมาะสม
โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้การสร้างระบบอุปถัมภ์ผ่านหลักสูตรและการอบรมยังมีความแข็งแรง คือ ความเชื่อในความเป็นสังคมรวมหมู่ของคนไทย อาจเรียกได้ว่าเป็นผลผลิตจากระบบราชการแบบอนุรักษนิยม กลายเป็นจุดเชื่อมโยงทางสังคมที่มีพลังสูงกว่าระบบคุณธรรมอย่างแท้จริง รวมไปถึงการที่หลักสูตรเหล่านี้ยังการขาดกลไกตรวจสอบอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะในเชิงนโยบายหรือสาธารณชน เนื่องจากองค์กรที่จัดหลักสูตรเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญอย่างศาล ซึ่งตามหลักการแล้วไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติ การตรวจสอบการใช้งบประมาณ หรือเนื้อหาหลักสูตรจึงไม่เข้มข้นเท่าหน่วยงานทั่วไป
นอกจากนี้ แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์เป็นระยะถึงความไม่เหมาะสมของหลักสูตรพิเศษเหล่านี้ แต่เสียงเหล่านั้นมักไม่เพียงพอจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ เพราะประชาชนทั่วไปไม่ได้มีส่วนร่วมกับกระบวนการยุติธรรมในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง จึงไม่สามารถรับรู้หรือติดตามประเด็นนี้ได้ลึกพอที่จะกดดันให้เกิดการปฏิรูป
ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงทำให้หลักสูตรเหล่านี้ยังสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ โดยที่่ฝ่ายไหนเข้าไปดำเนินการกำกับตรวจสอบเพื่อให้เกิดกระบวนการคัดกรองคนเข้าอบรม ทำให้กลายเป็นรอยแผลเล็กๆของกระบวนการยุติธรรม ถึงจะไม่ส่งผลต่อการทำงานโดยแท้ของศาลอย่างการพิจารณาคดี แต่ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยไม่ควรมองข้ามปัญหานี้ เพื่อทำให้กระบวนการยุติธรรมเป็นที่พึ่งของประชาชนได้มากยิ่งขึ้น