“ไทยยังคงมีศักยภาพ มีโครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน แต่นี่คือบุญเก่าที่ไทยมี ถ้าไม่ทำอะไรก็มีโอกาสแพ้ หลังจากนี้ยังคงต้องมีการปรับตัวและแข่งขันกันต่อไป”
แนะเร่งปรับตัวก่อนบุญเก่าหมด
ในขณะที่โลกกำลังเผชิญความตึงเครียดจากภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายการค้า และมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะภายใต้นโยบาย“ทรัมป์2.0”ประเทศไทยกลับยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติในฐานะ“ฐานการผลิตสำคัญของโลก”บริษัทWHAในฐานะผู้นำด้านนิคมอุตสาหกรรม ได้ออกมาย้ำชัดว่า แม้จะมีแรงกระทบจากกำแพงภาษีระดับสากล แต่ไทยยังคงแข็งแกร่งด้วย“บุญเก่า”ที่สร้างไว้ พร้อมแนะเร่งเดินหน้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลผ่านการลงทุนในพลังงานสะอาด ดาต้าเซ็นเตอร์ และแรงงานคุณภาพ เพื่อไม่ให้ถูกประเทศคู่แข่งแซงหน้า
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA กล่าวภายในงานสัมมนา iBusiness Forum Decode 2025 : The Mid-Year Signal ถอดสัญญาณเศรษฐกิจโลก พลิกอนาคตเศรษฐกิจไทย ที่จัดขึ้นในวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ว่าโจทย์สำคัญในวันนี้ไม่ได้มีแค่ “ภาษีทรัมป์” หรือ “ภูมิรัฐศาสตร์” แต่เป็นการที่ไทยจะใช้โอกาสจาก Climate Change, การเติบโตอย่างยั่งยืน และเทคโนโลยีใหม่อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ปัจจุบันเทคโนโลยี การเติบโตแบบยั่งยืน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ถือเป็นโอกาสของประเทศไทย มีความสำคัญกับอนาคตมาก แต่เรากลับไปโฟกัสที่ประเด็นทรัมป์ 2.0 กับภูมิรัฐศาสตร์จนทำให้เราอาจจะลืมเรื่องพวกนี้ไป
“ถ้าลองวิเคราะห์ดูตอนนี้ประเทศที่มีการสรุปเรื่องกำแพงภาษีจริง ๆ มีแค่ 2 ประเทศ คืออังกฤษ กับเวียดนาม จีนก็ยังไม่สรุป ส่วนอังกฤษอยู่ที่ 10% คือจบไปละ ส่วนเวียดนามบอกว่าได้ 20% แล้วไทยเจอ 36% นั้น ทางเราได้คุยกับคนของเราที่เวียดนาม ซึ่งปกติแล้วเวียดนามจาก 46% เหลือ 20% เขาควรจะดีใจใช่ไหม เขาควรจะต้องออกข่าวใช่ไหม เราก็งงว่าทำไมรัฐบาลเวียดนามถึงนิ่ง ๆ เลยเช็กกับคนของเราที่เวียดนาม คือเขาผิดหวังมาก เพราะว่าเขาเทหมดหน้าตักเลย แต่สิ่งที่เขาได้มา เขาคิดว่าเขาจะได้ 10 - 12% เขากลับได้ 20% กับ 40% สินค้าที่สวมสิทธิ์ และส่วนใหญ่ที่เวียดนามจะเป็นสินค้าประเภทนี้”
ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนามคาดหวังว่าจะสามารถเจรจาลดภาษีได้มากกว่านี้ แต่กลับผิดหวัง เพราะสินค้าส่วนใหญ่เป็น “สินค้าสวมสิทธิ์” ที่ใช้วัตถุดิบจากจีน แต่ประกอบในเวียดนามแล้วส่งออกไปสหรัฐฯ ปัญหาคือยังไม่สามารถนิยามชัดเจนว่าสินค้าเหล่านี้เป็นของประเทศใด ซึ่งทำให้เวียดนามอาจยังเจอภาษีสูงถึง 40% และทำให้การเจรจาของพวกเขาไม่สำเร็จเท่าที่หวัง
คำจำกัดความของสินค้าสวมสิทธิ์ตอนนี้ยังไม่จบ ยังงงกันอยู่ว่ามันตีความกันขนาดไหนเพราะว่าการผลิตที่เวียดนาม ที่เติบโตมาโดดเด่นมากโดยเฉพาะหลังโควิด แต่ตั้งแต่ช่วงที่เกิดจากการเทรดวอร์รอบแรก มีการใช้แรงงานราคาถูกที่เวียดนาม แต่พวกวัตถุดิบต้นทางมาจากจีนทั้งนั้น แม้แต่ผ้า ซิป เอาเย็บติดกันสุดท้ายก็เอาส่งออกไปสหรัฐฯ แล้วเขานับยังไงว่าเป็นสินค้าจากไหน
เมื่อไทยเจอภาษี 36% – ทำไมยังไม่วิกฤต?
นางสาวจรีพร บอกอีกว่า ในรอบแรกของการประกาศภาษีจากสหรัฐฯ มีหลายประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีในระดับสูงกว่าด้วยซ้ำ ขณะที่จีนและอินเดียยังไม่สรุปตัวเลขภาษี จากผลสำรวจลูกค้าจีนในนิคมของ WHA ที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ยังมองว่าไทยเป็น “ตัวเลือกที่มั่นคง” สำหรับนักลงทุนจีน
ในตอนต้นตอนที่ไทยเจอภาษี 36% มีคนถามเยอะมากแต่มันยังไม่จบต้องดูให้หมดก่อนว่าใครเจออะไรบ้าง เช่น บราซิล 50% ทั้งที่บราซิลขาดดุลสหรัฐฯ ส่วนเม็กซิโกกว่า 30% อันนี้ยังรอจีนกับอินเดียที่ยังไม่มีข้อสรุป ถามว่าทำไมยกตัวอย่างประเทศเหล่านี้ เพราะตอนนโยบายภาษีรอบแรกเดือนเมษายน ผลสำรวจจากลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมของเรา โดยเฉพาะลูกค้าจีนที่มีการส่งสินค้าไปสหรัฐฯ กว่า 75% ถ้าจำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตจริง ๆ จะเลือกประเทศไหน คำตอบที่ได้คือ บราซิล กับเม็กซิโก ซึ่งไม่ได้ต่างกันมากนัก ฉะนั้นไทยยังถือเป็นทางเลือกของนักลงทุนจีนอยู่
“ลองวิเคราะห์ข้อมูลกันดีดี จีนคงไม่มีทางโดนภาษีต่ำกว่าประเทศอื่น เพราะเป้าของสหรัฐฯ คือจีน ทั้งเรื่องความมั่นคง อาหาร แล้วก็เทคโนโลยี เขาเลยมองไทยว่าการโดนกำแพงภาษีรอบนี้ไม่น่าจะเกิน 3 ปี แต่ถ้ายังเป็นที่จีนก็คงจะยาวกว่านั้น ส่วนอินเดียไม่ต้องพูดถึงเขาเป็นคู่แข่งกันยังไงก็ไม่มีทางย้ายไป ถึงแม้อินเดียจะโดนกำแพงภาษีน้อยกว่า”
อย่างไรก็ตาม ถ้าภาษีทั่วโลกจะสูงแบบนี้หมดจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งแรกเลยคือปีต่อไปสหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับภาวะสินค้าราคาแพงและอาจต้องจับตาดูว่าเศรษฐกิจจะถดถอยด้วยหรือไม่ แล้วถ้าตัดสหรัฐฯ ออกไปจะเกิดอะไรขึ้น เพราะหลายประเทศก็เริ่มมองแล้วว่าให้อเมริกานี่คือมีประเด็นเยอะมาก ซึ่งในส่วนไทยถ้าดูตัวเลขแล้วจะพบว่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มันสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงเทรดวอร์รอบแรกปี 2018 จากยอดรวมทั้งหมด 11% ขึ้นมาอยู่ที่ 19% คำถามที่กลับมาก็คือ แล้วก่อนหน้านี้ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ น้อยกว่านี้ยังไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย
ถ้าตั้งสติดี ๆ คิดดูจะรู้ว่านอกจากสินค้าเกษตรที่ส่งออกไปสหรัฐฯ แล้วจะรู้ว่าสินค้าหลักอีกอย่างคือ อิเล็กทรอนิกส์ ฮาร์ดดิสต์ ซึ่งส่วนใหญ่กว่า 60% เป็นบริษัทจากสหรัฐฯ เขาลงทุนเงินไทยเป็นแสนล้าน เขาจะย้ายออกไหม มันมีเบื้องหลัง ตอนนั้นที่เรากางข้อมูลดู ส่วนพวกรถยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เราส่งออกไปทั่วโลกมากกว่า”
ไทยได้เปรียบด้วยการเป็นฐานผลิตที่แท้จริง
นางสาวจรีพร บอกอีกว่า ความได้เปรียบของไทยไม่ได้อยู่ที่ “การนำเข้าและส่งออก” แต่คือ “การตั้งโรงงานจริง” ลูกค้าจากจีนที่เข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสะท้อนถึงความเชื่อมั่นอย่างแท้จริง
ทั้งหมดเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งว่านิคมอุตสาหกรรมไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากมาตรการภาษี ซึ่งข้อมูลลูกค้าที่เข้ามาตั้งโรงงานในพื้นที่เราส่วนใหญ่จะทำการผลิตและส่งออก ซึ่งในปี 2018 ลูกค้าของจีนจะอยู่แค่ประมาณ 3% เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 20% ตั้งแต่ช่วงปี 2022 เป็นต้นมา การที่จะเหมารวมว่าเป็นการสวมสิทธิ์จะเกิดความเสียหายตรงนี้ ต้องพิจารณาให้ดี เพราะลูกค้าที่มาซื้อและอยู่ในพื้นที่เราเขาต้องใช้เวลากว่าจะตั้งโรงงานเริ่มผลิตได้ใช้เวลา 2 - 3 ปี สำหรับกลุ่มที่ลงทุนสร้างโรงงานและผลิตจะต้องรักษาลูกค้ากลุ่มนี้ไว้ ต่างจากพวกที่นำเข้ามาแล้วส่งออกมันไม่เกิดประโยชน์อะไรกับประเทศไทยเลย
“ลูกค้าเราปีนี้กลับเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ ลูกค้าที่อยู่ในดีลก็เตรียมจะเซ็นสัญญาเตรียมโอนไม่มีใครถอย สมัยก่อนเรามีลูกค้าจีนแค่ 3% แค่ไม่กี่ปีขึ้นมาเป็น 27% เมื่อก่อนอันดับ 1 ของเราคือญี่ปุ่น 39% แต่ตอนนี้ลงมาเหลือ 19% ไทย 17% สหรัฐอีก 13% แค่สหรัฐฯ ในปี 2023 จนมาถึงตอนนี้เพิ่มเป็น 17% แล้วมาจากเทคโนโลยีดาต้าเซ็นเตอร์”
ดาต้าเซ็นเตอร์ โครงสร้างสำคัญของอนาคตไทย
นางสาวจรีพร บอกอีกว่า อีกหนึ่งจุดแข็งของไทยในอนาคตนอกจากการเป็นฐานการผลิตแล้วก็คือ ดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งลูกค้าหลายราย โดยเฉพาะสหรัฐฯ เข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น แม้จะมีความเข้าใจผิดในบางวงการว่าดาต้าเซ็นเตอร์จะได้รับผลกระทบจากมาตรการจำกัดชิป แต่แท้จริงแล้ว ดาต้าเซ็นเตอร์เป็น“บริการโครงสร้างพื้นฐาน”ไม่เกี่ยวกับการนำเข้าชิป
สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ต้องเข้าใจก่อนว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยีไม่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าชิปใด ๆ ลูกค้าคือยูสเซอร์ คือผู้ใช้เครื่องไม่เกี่ยวข้องกับการจำกัดการนำเข้าชิปแต่อย่างใด ต้องอย่าสับสน นิคมฯ ของเรายังไม่ได้รับผลกระทบ และมีหลากหลายอุตสาหกรรมเข้ามาเป็นลูกค้าเราอย่างต่อเนื่อง
“หลาย ๆ อย่าง ที่เวียดนามดึงไปไม่ได้เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์เพราะเขาไม่มีความมั่นคงเรื่องพลังงาน โครงสร้างหลายอย่างยังมีจำกัด เช่น ระบบนิเวศของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ไทยสร้างไว้ใหญ่มาก ก็เป็นข้อจำกัดของเวียดนาม ถึงตรงนี้อยากให้มองต่อว่า เน็กซ์มูฟของเรามันจะมีเสน่ห์ได้อย่างไร เราต้องมีการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลนั่นก็คือดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งถ้าไม่มีส่วนนี้ไทยจะไปต่อกับการเป็นดิจิทัลอีโคโนมี่ไม่ได้ นอกจากนี้ยังควรมีการยกระดับทักษะของแรงงาน และการพัฒนาด้านการศึกษา
ไทยยังมีศักยภาพ แต่ต้องรีบก้าวให้เร็วกว่าเดิม
นางสาวจรีพร บอกอีกว่า ต้นทุนการผลิตในสหรัฐฯ แพงมากและไทยถือว่ายังได้เปรียบ เพราะยังมีอีกหลายอย่างที่นักลงทุนตระหนักคือ“ความไม่เป็นมิตร”ต่อธุรกิจ ที่กลายเป็นจุดอ่อนของอเมริกา และเปิดโอกาสให้ไทยดึงดูดนักลงทุนที่เคยคิดย้ายฐานไปประเทศอื่นกลับมาได้
“มีลูกค้าเรารายหนึ่งเป็นบริษัทญี่ปุ่นผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่โตเร็วมาก เขาเคยซื้อที่ ที่อเมริกาไว้แล้ว แต่สุดท้ายก็ขายทิ้ง แต่ก็ย้ายกลับมาไทยแล้วส่งออกดีกว่า เหตุผลที่เขาให้คือ อเมริกาที่แพง ค่าก่อสร้างก็แพง ค่าแรงก็แพง แถมหายาก ที่สำคัญคือคนงานชอบฟ้องบริษัท ฟ้องอย่างเดียว และนี่คือความไม่น่ารักของอเมริกา”
การจะดึงนักลงทุนเข้าประเทศยังต้องมีการปรับโครงสร้างทั้งเรื่องของพลังงานสะอาด การกำจัด มันต้องมีการปรับ จากการสำรวจของเราจากกลุ่มตัวอย่างประมาณ50 ราย ยังไม่มีแผนที่จะย้ายการผลิต ตัวเลขทางบีโอไอปีที่แล้วสูงถึง8แสนกว่าล้านบาท สูงที่สุดตั้งแต่ตั้งบีโอไอมา ซึ่งไทยยังคงมีศักยภาพและมีโครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน แต่นี่คือบุญเก่าที่ไทยมี แต่ถ้าไม่ทำอะไรก็มีโอกาสแพ้และต่อจากนี้ยังคงต้องมีการแข่งขันกันต่อไป
ข้างต้นเป็นความเห็นที่น่าสนใจ ซึ่งแม้นโยบายภาษีจากสหรัฐฯ จะสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก แต่ไทยยังสามารถยืนหยัดเป็นฐานการผลิตสำคัญได้ ด้วยความได้เปรียบจากโครงสร้างพื้นฐานเดิม ความมั่นคงด้านพลังงาน และระบบอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกันครบถ้วน
อย่างไรก็ตาม หากไม่ลงทุนเพิ่ม ไม่ปรับตัว ไม่ยกระดับแรงงาน หรือปล่อยให้ประเทศอื่นไล่แซง ไทยก็อาจเสียความได้เปรียบที่เคยมีไปอย่างถาวร นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ไทยต้อง“เร่งเครื่อง”สู่อนาคตเศรษฐกิจดิจิทัลก่อนที่“บุญเก่า”จะหมดลง