ปตท. เน้นความสมดุลมั่นคง ก๊าซธรรมชาติ – พลังงานสะอาด ท่ามกลางความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก
ในช่วงที่โลกกำลังเร่งปรับตัวสู่พลังงานสะอาด ความท้าทายสำคัญที่ทุกประเทศต้องเผชิญคือ การสร้างสมดุลระหว่าง ความมั่นคงทางพลังงาน กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ตามที่กำหนดไว้ในข้อตกลงสากล ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น ทำให้การจัดหาแหล่งพลังงานที่มีเสถียรภาพและราคาที่เหมาะสมยิ่งกลายเป็นประเด็นสำคัญ
ดร. คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT กล่าวถึงเรื่องนี้ในงานสัมมนา iBusiness Forum Decode 2025 : The Mid-Year Signal ถอดสัญญาณเศรษฐกิจโลก พลิกอนาคตเศรษฐกิจไทย เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ว่า สถานการณ์พลังงานโลก กำลังเผชิญความท้าทายที่ซับซ้อน ทั้งในระยะสั้น อาทิ ประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ และระยะยาว การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ภายใต้บริบทดังกล่าว บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า ก๊าซธรรมชาติยังคงเป็นเชื้อเพลิงหลักของโลกในอีก 20 - 30 ปีข้างหน้า ด้านพลังงานไทย เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน ภาครัฐควรเร่งเปิดสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแหล่งใหม่ ๆ ควบคู่กับการผลักดันเทคโนโลยีสำหรับลดคาร์บอน รวมถึงปลดล็อคข้อจำกัดกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับไฮโดรเจน และ Carbon Capture and Storage (CCS)
ปัจจัยเศรษฐกิจโลกและความท้าทายด้านพลังงาน
ดร. คงกระพัน บอกถึงเรื่องนี้ว่า ทิศทางพลังงานโลก ในปัจจุบันถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยหลายด้าน ทั้งระยะสั้นและระยะยาวโดยปัจจัยระยะสั้นประกอบด้วย
1. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) - สงคราม ความตึงเครียดระหว่างประเทศ และมาตรการคว่ำบาตร ส่งผลโดยตรงต่อการจัดหาพลังงาน โดยเฉพาะ LNG ที่ราคาผันผวนสูง
2. ความผันผวนทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ – ค่าเงินและต้นทุนขนส่งที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อราคาพลังงานโลก
3. นโยบายที่ไม่แน่นอน – หลายประเทศยังไม่กำหนดกรอบชัดเจนต่อการลดคาร์บอน ทำให้การลงทุนพลังงานใหม่ชะลอตัว
4. การขยายตัวของดิจิทัล – เพิ่มความต้องการใช้ไฟฟ้าอย่างมหาศาล
ขณะที่ปัจจัยระยะยาว
Decarbonization และ Net Zero คือเป้าหมายใหญ่ที่ทุกประเทศต้องเดินหน้า
เทคโนโลยีลดคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น การดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage : CCS) , การพัฒนาไฮโดรเจน และการปลูกป่าเพื่อดูดซับคาร์บอน
ดร. คงกระพัน ย้ำว่า การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดนั้นทิศทางพลังงานจะต้องสมดุลกัน (Balance) ใน 3 เรื่อง คือ ความมั่นคงพลังงาน ความยั่งยืน และพลังงานมีใช้ในราคาที่เหมาะสม
“ทิศทางวันนี้ มีความไม่แน่นอนสูง สหรัฐฯ ถอยเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ซึ่ง ปตท. ได้ติดตามและพูดคุยกับบริษัทพลังงานระดับโลก ทุกคนเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าจะต้องมุ่งสู่ Net Zero แม้ว่าจะขรุขระบ้าง แต่ช้าเร็วก็ต้องทำ ในช่วง 6 – 7 ปีที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีการพูดถึงความมั่นคงด้านพลังงาน แต่ทุกวันนี้ความไม่แน่นอนมีสูงมากทั้งปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ ปตท. ให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงด้านพลังงานและความยั่งยืน ควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก”
ก๊าซธรรมชาติ – พลังงานหลักในอีก 30 ปี
ดร. คงกระพันบอกอีกว่า แม้การใช้พลังงานหมุนเวียนจะเพิ่มขึ้น แต่ข้อจำกัดเรื่องเสถียรภาพและราคา ทำให้ก๊าซธรรมชาติยังคงมีบทบาทสำคัญต่อเนื่อง สำหรับการใช้พลังงานของโลกในปี 2566 จนถึงปี 2593 มีอัตราเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าการใช้พลังงานหมุนเวียนจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น แต่ไม่ถึง 20% เนื่องจากยังมีข้อจำกัดเรื่องเสถียรภาพและราคา ดังนั้น “ก๊าซธรรมชาติ” ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สะอาด จึงมีความสำคัญอยู่โดยมีสัดส่วนการใช้เพิ่มขึ้น
ในปี 2566 จะมีการใช้ก๊าซธรรมชาติคิดเป็น 24% ของการใช้พลังงานโลก และปี 2593 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 26%
ขณะที่น้ำมันลดลงจาก 31% เป็น 28% และถ่านหินลดลงจาก 25% เป็น 13% เท่านั้น
แนวทางการลดการปล่อยคาร์บอน
ดร. คงกระพัน กล่าวอีกว่า แนวทางข้างต้นในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ปตท. มีการดำเนินงานด้านความยั่งยืนผ่านการบริหารจัดการทั้งกลุ่ม ปตท. ผ่านกลยุทธ์ C3 Approach ได้แก่ Climate-resilience Business ปรับ Portfolio พิจารณาเรื่องการปลดปล่อยคาร์บอน (Carbon Emission) ควบคู่กับการเติบโตทางธุรกิจ Carbon-Conscious Asset ปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ใช้พลังงานสะอาด การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในกระบวนการผลิต Coalition, Co-Creation, and Collective Efforts for All ประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเป็นแกนหลักของประเทศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจก โดยใช้เทคโนโลยีการดักจับและการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) รวมถึงการเพิ่มการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีทางธรรมชาติ ผ่านการปลูกและบำรุงรักษาป่า
โดยใน 5 ปีข้างหน้า คาดว่าโครงการ CCS ในโลก จะเพิ่มขึ้น 500 โครงการ ซึ่งปัจจุบันในสหรัฐฯ มีโครงการ CCS มากถึง 100 โครงการ รวมถึงการพัฒนาไฮโดรเจน ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดแต่มีต้นทุนสูงอยู่ แต่อนาคตเมื่อต้นทุนไฮโดรเจนถูกลงจะมีการนำมาใช้มากขึ้นทั้งในโรงงานอุตสาหกรรมและผสมในเชื้อเพลิงก๊าซฯ ในโรงไฟฟ้า
พลังงานไทย – ความท้าทายและโอกาส
ดร. คงกระพัน กล่าวอีกว่า สำหรับทิศทางพลังงานไทย ยังมีทั้งโอกาสและความท้าทาย มีทิศทางส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น แต่ยังต้องใช้เวลา เนื่องจากยังมีข้อจำกัดทั้งความเสถียรในการผลิต และต้นทุนราคาสูง แต่การส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นของไทยเป็นเรื่องที่ดี
ภาพรวมสัดส่วนพลังงานไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศถึง 88% ดังนั้นราคาน้ำมันโลกจึงมีผลต่อราคาน้ำมันในประเทศ เพราะเราไม่ได้เป็นคนกำหนดราคาน้ำมันในโลก ในไทยมีโรงกลั่น 6 โรงกลั่นอยู่ใน 3 กลุ่มคือ กลุ่ม ปตท., กลุ่มบางจาก, กลุ่มเชฟรอน ทุกคนก็นำเข้าน้ำมันดิบมากลั่น ซึ่งน้ำมันสำเร็จรูปส่วนใหญ่ขายในประเทศ และที่เหลือก็ส่งออกไปต่างประเทศ
ด้านก๊าซธรรมชาติ ประเทศไทยมีการผลิตก๊าซฯ ในอ่าวไทยคิดเป็นสัดส่วน 50% ของความต้องการใช้ มีการนำเข้าก๊าซฯ จากเมียนมา 15% และนำเข้า LNG ถึง 30% ดังนั้น ภาครัฐควรเร่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจากแหล่งในประเทศเพิ่มขึ้น เพราะมีราคาถูก และช่วยลดความเสี่ยงจากการนำเข้า LNG ที่มีความผันผวน
“เราต้องให้ความสำคัญกับก๊าซฯ เพราะเป็นเชื้อเพลิงที่ไทยผลิตใช้เองส่วนใหญ่ นำเข้าบ้าง ควบคู่ไปกับการลดก๊าซเรือนกระจก เพราะถึงจุดหนึ่งการลดการปล่อยคาร์บอน จะถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการกีดกันทางการค้า และมีการเก็บภาษี”
ดังนั้น ปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศไทย ควรจะต้องส่งเสริมและเร่งการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแหล่งใหม่ ๆ, ปลดล็อกข้อจำกัดด้านกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับไฮโดรเจน และ CCS, การสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการลดระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization)
ทั้งนี้ ปตท. ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติ มีบทบาทสำคัญในฐานะรัฐวิสาหกิจที่ดูแลความมั่นคงทางพลังงาน ส่งภาษีและรายได้ให้กับประเทศ อีกด้านก็เป็น บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ต้องมีการเติบโต ดูแลผุ้ถือหุ้น ซึ่งเป็นบทบาทที่ต้องสมดุลกัน
ปัจจุบัน ปตท. มีการดำเนินธุรกิจหลักผ่าน ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P), ธุรกิจก๊าซฯ ครบวงจรและลงทุนสถานีรับ-จ่าย (Terminal ) LNG 3 แห่ง เพื่อรองรับการนำเข้า LNG ได้แก่
1. LNG MTP Terminal แห่งที่ 1 ซึ่ง ปตท. เป็นเจ้าของ รองรับ LNG ได้ 11.5 ล้านตันต่อปี
2. LNG MTP Terminal แห่งที่ 2 ซึ่ง ปตท. ลงทุนร่วมกับ กฟผ. รองรับ LNG ได้ 7.5 ล้านตันต่อปี
3. Gulf MTP Terminal แห่งที่ 3 ซึ่งปตท. ร่วมลงทุนกับกัลฟ์ฯ รองรับ LNG ได้ 10.8 ล้านตันต่อปี ปัจจุบัน Terminal แห่งที่ 3 ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง, ธุรกิจเทรดดิ้ง, ธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น, ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน, ธุรกิจไฟฟ้า และการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ
ดร. คงกระพัน ย้ำว่า ปตท. ให้ความสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) ซึ่งประเทศไทยจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ หากไม่มีเทคโนโลยี CCS แต่โครงการใช้เวลาในการพัฒนา 5-7 ปี ที่สำคัญยังไม่มีกฎระเบียบมารองรับ ฉะนั้นภาครัฐและเอกชนจึงต้องร่วมมือกันดำเนินการในเรื่องนี้ ส่วนต้นทุน CCS คาดว่าจะเริ่มเห็นความคุ้มค่าการลงทุนชัดเจนในปี ค.ศ. 2035 แต่วันนี้เราต้องเริ่มทำ ทั้งการสำรวจพื้นที่ กฎหมายต่าง ๆ เพื่อที่วันข้างหน้าเราจะยังสามารถใช้ก๊าซฯ และน้ำมันที่ยังมีคงเหลืออยู่บนโลกควบคู่กับการลดคาร์บอนไปด้วย
กลุ่มปตท. จะเริ่มลงทุนโครงการ CCS ในต่างประเทศก่อน เพื่อศึกษาเทคโนโลยี ทำความเข้าใจ Ecosystem ซึ่ง ปตท. มีแผนลงทุนโครงการ CCS ในไทย เพื่อเก็บคาร์บอนในรูปของเหลวมาเก็บในอ่าวไทยจะมี 2 ทางเลือก คือ เก็บในหลุมก๊าซฯ ที่ใช้หมดแล้ว และใต้ชั้นหินในทะเล
สรุปแล้ว ก๊าซธรรมชาติยังคงเป็น “เชื้อเพลิงยุทธศาสตร์” ของไทยและโลกในอีก 20 - 30 ปีข้างหน้า เนื่องจากพลังงานหมุนเวียนยังมีข้อจำกัดด้านเสถียรภาพและต้นทุน ปตท. จึงเน้นย้ำให้ไทยเร่งลงทุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ลดการพึ่งพา LNG
ขณะเดียวกัน การเดินหน้า Carbon Capture and Storage (CCS) และพลังงานไฮโดรเจน เป็นกุญแจสำคัญสู่เป้าหมาย Net Zero แม้ต้องใช้เวลาและต้นทุนสูง แต่หากเริ่มวางรากฐานตั้งแต่วันนี้ ไทยจะสามารถรักษาความมั่นคงทางพลังงานได้ พร้อมก้าวไปสู่การลดคาร์บอนในระยะยาว
สุดท้าย ความร่วมมือระหว่าง ภาครัฐและเอกชน คือหัวใจสำคัญ เพราะพลังงานไม่ใช่เพียงเรื่องเศรษฐกิจ แต่คือ ความมั่นคงของชาติ และเป็นปัจจัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน