เพื่อไทยเคาะชื่อรองประธานสภาฯคนใหม่! "พรรคกล้าธรรม" จ้องขอโควตา ขณะที่ปมร้องผิดมาตรา 144 ฉ้อฉลงบฯ ไม่จบแค่พิเชษฐ์! เรืองไกรยื่นป.ป.ช.สอบ ครม.แพทองธาร-ส.ส. 322 คน โยงงบฯ 69 ด้านป.ป.ช. คดีค้างท่วม คดีโยกงบฯ 3.5 หมื่นล้านแจกดิจิทัลวอลเล็ต ศาลรธน.อาจไม่รับ!
ผลพวง-แรงกระเพื่อมที่ตามมาหลัง พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพราน กระเด็นหลุดจากเก้าอี้รองประธานสภาฯคนที่หนึ่ง และส.ส.เชียงราย ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ เพื่อไทย ต้องรีบเคาะรายชื่อรองประธานสภาฯ ในการประชุมพรรควันอังคารนี้ 5 ส.ค.ให้จบ เพื่อที่จะได้ส่งชื่อให้ที่ประชุมสภาฯโหวตเห็นชอบพฤหัสบดีนี้ 7 ส.ค.
ด้าน “พรรคกล้าธรรม”จะตีปลาหน้าไซออกมาขอโควตาในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล แต่ว่าเพื่อไทยคงไม่ให้ และโควตานี้ เป็นของภาคเหนือเพื่อไทย โดยมีตัวเต็งรอเสียบแทนพิเชษฐ์อยู่หลายคน ข่าวว่า วงประชุมกรรมการยุทธศาสตร์เคาะชื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 3 ส.ค. เหลือรอให้ ทักษิณ ชินวัตรและแกนนำพรรคภาคเหนือ อย่าง เจ๊แดง เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เห็นชอบ
รวมถึงสัปดาห์นี้ เพื่อไทย ก็คงชัดว่า จะส่งใครลงเลือกตั้งซ่อมส.ส.เชียงราย เขต 7 แทนพิเชษฐ์ ซึ่งลำดับแรกยังไงคงให้โอกาส พิเชษฐ์ ในฐานะส.ส.เชียงรายห้าสมัยเจ้าของพื้นที่เดิม ส่งชื่อไปให้เจ๊แดง พิจารณาก่อน ที่ต้องดูว่าจะส่งเครือญาติ-คนในครอบครัว”เชื้อเมืองพราน”ลงสืบทอดรักษาพื้นที่ตัวเองไว้หรือไม่ หรือจะเปิดทางให้ พรรคหาคนที่เหมาะสมมาใหม่เลย คงชัดเจนภายในไม่เกินสัปดาห์หน้า
ขณะเดียวกันเรื่องการร้องเอาผิด นักการเมือง-ส.ส.-รัฐมนตรี ทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 กรณีเล่นแร่แปรธาตุ “งบประมาณรายจ่ายประจำปี”ที่เป็น”เงินหลวง-เงินแผ่นดิน” ยังไม่หมดแค่คดีพิเชษฐ์ ซึ่งหลังหลายคนหลังเห็น ศาลรธน.ฟันพิเชษฐ์ กระเด็นตกเก้าอี้ เลยคาดหวังว่าจะมีคนในรัฐบาล-ส.ส.ในสภาฯชุดนี้โดน ศาลรธน.ฟันจนหลุดจากตำแหน่งพ่วงตัดสิทธิการลงสมัครรับเลือกตั้งสิบปี ตามหลัง พิเชษฐ์ ให้เห็นกันบ้าง
อย่างล่าสุด”เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ”และตอนนี้ก็เป็นกมธ.งบฯ 2569 พอเห็นช่องทางก็ต่อยอดคดีพิเชษฐ์ทันที ด้วยการทำหนังสือกระทุ้งไปที่สำนักงานป.ป.ช. เพื่อแหย่ให้ ป.ป.ช. พิจารณาและส่งเรื่องให้ศาลรธน.วินิจฉัยคณะรัฐมนตรีและส.ส. ที่ลงมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ. ฯ 2569 จะต้องพ้นจากตำแหน่งหรือสิ้นสุดสมาชิกภาพตามคำวินิจฉัยของศาลรธน.เมื่อ1 ส.ค. 2568 หรือไม่
โดยชี้ว่า งบสภาฯ ที่ทำให้พิเชษฐ์ หลุดจากตำแหน่ง ถูกเสนอเข้าสภาฯ ตั้งแต่การพิจารณาร่างพรบ.งบฯ 69 วาระแรก โดยมีแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ และสภาฯ ลงมติเห็นชอบวาระแรก ด้วยคะแนนเสียง 322 เสียง
“เฮียเรืองไกร”เลยชี้ช่องป.ป.ช.ไปว่า เมื่อเป็นแบบนี้ ไม่ควรเอาผิด พิเชษฐ์ เพียงคนเดียว เพราะพบว่าได้มีการอภิปรายเกี่ยวกับความไม่ชอบของงบประมาณของสภาฯ3 รายการ ที่เอาลงพื้นที่เชียงรายของนายพิเชษฐ์ตอนวาระแรก แต่คณะรัฐมนตรีกลับไม่ถอนร่างกลับไปแก้ไขให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 และส.ส.ไม่ลงมติไม่รับหลักการเพื่อไม่ให้เกิดการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ดังนั้น คณะรัฐมนตรีและส.ส. จึงต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกับพิเชษฐ์ ด้วยการที่ป.ป.ช.ต้องสอบสวนเอาผิด ครม.แพทองธารและส.ส.ที่ลงชื่อเห็นชอบร่างพรบ.งบฯ 69ร่วม 322 คนที่รวมถึงส.ส.ภูมิใจไทย ด้วย เพราะตอนนั้นยังเป็นรัฐบาล เรียกว่ากะกวาดให้หมดทั้งกระดาน นั่นเอง
ทว่า เป็นที่รู้กัน ป.ป.ช.ทำงานเช้ายามเย็นชาม สำนวนคั่งค้างเป็นพันคดี ที่ เรืองไกร ร้องไป กว่าป.ป.ช.จะตั้งเรื่อง จะพิจารณารับ-ไม่รับ กว่าจะเคาะว่าจะไต่สวน หรือไม่ไต่สวน อะไรต่างๆ คงกินเวลาเป็นปี ไม่แน่ สภาฯชุดนี้หมดวาระแล้ว ก็ยังไม่มีอะไรคืบเพราะที่ร้องไป ก็ต้องไปต่อคิวอีกหลายคดี หากไม่มีสัญญาณพิเศษให้ป.ป.ช.เร่งปิดงาน เรื่องก็ถูกเก็บไว้จนลืม
สู้ไปรอลุ้นคดีร้องเอาผิดมาตรา 144 ก่อนหน้านี้ที่ค้างอยู่ในตึกป.ป.ช.ก่อนดีกว่า เพราะผ่านมาหลายเดือนแล้ว บางคดีข่าวว่าคืบพอสมควร ซึ่งหลักๆ คดีร้องเอาผิด 144 ที่มีเรื่องอยู่ในตึกป.ป.ช.ก็เช่น
-คดีที่กลุ่มฝ่ายตรงข้ามทักษิณและรัฐบาลเพื่อไทยนำโดย ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ สมชาย แสวงการเจษฎ์ โทณะวณิก ยื่นร้องป.ป.ช.เอาผิด ครม.รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และ ครม.แพทองธาร ชินวัตร ต่อเนื่องกัน กรณีได้เสนอเรื่องต่อ กมธ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 รวมถึงร้องเอาผิด สมาชิกรัฐสภา ทั้ง สส.-สว.ที่ร่วมกันลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบฯ 2568 กรณีรัฐบาลเศรษฐาต่อเนื่องรัฐบาลแพทองธาร โยกงบฯปี 2568 วงเงิน 35,000 ล้านบาท ที่เดิมสำนักงบประมาณจัดสรรไว้ให้สถาบันการเงินของรัฐ 5 แห่งเพื่อชำระหนี้เงินกู้-ดอกเบี้ย และเงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย แต่รัฐบาลนำเงินดังกล่าวไปแจกเป็นเงินหมื่นให้ประชาชน หรือดิจิทัลวอลเล็ต จึงร้องว่าทำผิดมาตรา 144เพราะงบ 35,000 ล้านบาทดังกล่าว ผู้ร้องเห็นว่าคือ เงินส่งใช้คืนเงินกู้-ดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งมาตรา 144 ห้ามแตะต้อง แต่ทั้งหมดร่วมกันเห็นชอบนำเงินดังกล่าวไปใช้ผิดประเภท
-คดีร้องเอาผิดทุจริตแผนการใช้งบประมาณโครงการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2568 ซึ่งมีการร้องเอาผิด 1.ส.ส.ระบบเขตของเพื่อไทย 2.สาโรจน์ หงษ์ชูเวช อดีตผอ.พรรคเพื่อไทย 3.พิษณุ หัตถสงเคราะห์ อดีต ส.ส.พรรคพท. 4.จักรพงษ์ แสงมณี อดีตรมต.สำนักนายกฯ และ 5.อนันต์ แก้วกำเนิด ผอ.สำนักงบประมาณ ว่ามีการจัดงบประมาณการแก้ปัญหาภัยแล้งให้กับนักการเมืองพรรค พท.คนละ 50 ล้านบาท ซึ่งอาจจะเข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 โดยป.ป.ช.ได้มีมติรับเรื่องไว้สอบสวนไต่สวนแล้วตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา
เอาแค่สองเรื่องนี้ หากป.ป.ช. สอบสวนแล้วเห็นว่าคดีมีมูล จนส่งคำร้องให้ศาลรธน.วินิจฉัยเอาผิด แล้วศาลรับคำร้องไว้วินิจฉัยที่ต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันหลังรับคำร้อง รับรองว่า รัฐบาลสะเทือนหนักแน่ เพราะเสี่ยงอาจถึงขั้นสุญญากาศ ทั้งในรัฐบาลและในสภาฯ เพราะลามไปถึงฝ่ายค้านและสว.ด้วย แต่ดูแล้ว ป.ป.ช. ถ้าไม่มีใครไปเร่ง ก็คงทำแบบช้าๆ แต่หากป.ป.ช.เอาจริง การเมืองก็เดือดแน่
อย่างไรก็ตามมีมุมกฎหมาย ที่น่าสนใจเพราะศาลรธน. เคยวางบรรทัดฐานไว้แล้วตอนรับคำร้องคดีพิเชษฐ์ ที่ศาลรธน.แม้รับคำร้องไต่สวนเอาผิดพิเชษฐ์ กรณีงบสภาฯปี 69แต่ไม่รับกรณีใช้งบสภาฯ ปี 68 โดยให้เหตุผลว่า พรบ.งบฯ ปี 2568 ประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว ไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 และพรบ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ตุลาการศาลรธน.จึงมีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องในส่วนงบปี 68 ไว้วินิจฉัย พิจารณาแค่เฉพาะงบ 69 จนฟัน พิเชษฐ์ หลุดจากเก้าอี้
ดังนั้นอย่างกรณีร้องเอาผิด ครม.เศรษฐา-ครม.แพทองธาร-ส.ส.และสว.เรื่องโยกงบ35,000 ล้านบาทไปแจกเป็นดิจิทัลที่อยู่ในงบปี 68 หากแม้ป.ป.ช.มีมติเอาผิด แต่ส่งมา ศาลรธน.ก็อาจไม่รับเรื่องไว้ก็ได้