xs
xsm
sm
md
lg

'กราดยิง' ไม่หายจากสังคม ระบบราชการบกพร่อง มองปัญหาแคบเกินไป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กราดยิงซ้ำซาก! ไทยยังไร้ภูมิคุ้มกัน ระบบราชการบกพร่อง เน้นรับมือ ไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เข้าถึงปืนง่าย ขาดคัดกรองสุขภาพจิต ความรุนแรงถูกมองเป็นเรื่องธรรมดา ถึงเวลาปฏิรูปทั้งระบบ ก่อนสายเกินแก้

แม้สังคมไทยจะเคยเผชิญกับเหตุกราดยิงสะเทือนขวัญมาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่เหตุการณ์ที่โคราชหนองบัวลำภู ปี 2565 ไปจนถึงเหตุกราดยิงในห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางเมืองหลวง จนมาถึงล่าสุดที่ตลาด อ.ต.ก. ปี 2568 แต่ดูเหมือนว่า "บทเรียน" ที่ควรจะถูกนำไปใช้เพื่อป้องกัน ไม่ได้กลายเป็นภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมากพอจะหยุดยั้งวัฒนธรรมแห่งความรุนแรงนี้ได้ คำถามที่สังคมไทยต้องกล้าถามตัวเองคือ—เหตุใดเหตุการณ์ลักษณะนี้จึงยังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า?

หากจะให้วิเคราะห์ถึงสาเหตุสำคัญ แน่นนอนว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้การก่อเหตุกราดยิงเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง คือ การเข้าถึงอาวุธปืนที่ยังคงเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนทั่วไป ไม่ว่าจะผ่านการครอบครองอย่างถูกกฎหมาย หรือการซื้อขายผิดกฎหมายผ่านช่องทางใต้ดิน ในหลายกรณีผู้ก่อเหตุมีปืนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งๆ ที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว หรือมีประวัติการทะเลาะวิวาทมาก่อน แต่กลับไม่มีระบบคัดกรองทางจิตใจที่รัดกุมมากพอ ก่อนจะอนุญาตให้พกพาอาวุธที่สามารถปลิดชีพผู้อื่นได้ภายในเสี้ยววินาที

ทุกวันนี้สังคมไทยกำลังปล่อยให้ความรุนแรงกลายเป็นเรื่องธรรมดาในสายตาประชาชน จนหล่อหลอกลายเป็นความเชื่อว่าการใช้ความรุนแรงเป็นวิถีทางของการแก้ไขปัญหามากกว่าการพูดคุยหรือหาทางออกด้วยสันติวิธี ประกอบกับระบบราชการของไทยก็ดูจะไม่ตอบสนองต่อการหาแนวทางในการแก้ไขปัญหานี้เท่าใดนัก โดยราชการจะเน้นให้ความรู้ในเชิงตั้งรับ เช่น การรณรงค์ให้ความรู้ว่าจะเอาตัวรอดจากการยิงกราดอย่างไร แทนการสร้างกลไกเพื่อสร้างพื้นที่แห่งความปลอดภัยเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง

ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าหลายเหตุการณ์กราดยิงในไทยมีจุดเริ่มต้นจากความคับข้องใจของผู้ก่อเหตุที่ถูกเพิกเฉย เช่น การร้องเรียนที่ไม่ได้รับการตอบรับ การถูกกลั่นแกล้งในที่ทำงาน หรือการถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมในชุมชน ผู้ก่อเหตุหลายรายไม่ได้ลงมือทันที แต่ผ่านการร้องเรียนหรือเรียกร้องความเป็นธรรมมาแล้วหลายครั้ง และเมื่อไม่ได้รับคำตอบ ความโกรธจึงแปรเปลี่ยนเป็นความแค้นลึก ที่สะสมจนปะทุออกมาในรูปแบบสุดโต่ง ดังจะเห็นได้จากมูลเหตุจูงใจในการลงมือครั้งล่าสุดที่อ.ต.ก.

ดังนั้น หากจะวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนก็ต้องเปลี่ยนแปลงกลไกของหน่วยงานราชการที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรงอย่างกรมสุขภาพจิต หรือการสร้างกลไกให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้เชื่อว่าการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเป็นวิถีทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยกระสุนปืน

กรมสุขภาพจิตควรจะต้องเข้ามาเป็นเจ้าภาพในเรื่องนี้ แม้สุขภาพจิตจะได้รับการพูดถึงมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในทางปฏิบัติ ประเทศไทยยังมีจุดอ่อนอย่างมากในเรื่องของการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิต โดยเฉพาะในชนบทหรือชุมชนแออัดที่มักไม่มีจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาให้คำปรึกษาได้อย่างทั่วถึง วัฒนธรรมการให้อภัย และการฟื้นฟูความสัมพันธ์ในสังคมไทยยังไม่เข้มแข็งพอ ปัญหาหลายอย่างในระดับบุคคลหรือชุมชนที่สามารถไกล่เกลี่ยได้กลับกลายเป็นความขัดแย้งที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ให้เน่าเปื่อยจนกลายเป็นระเบิดเวลา

ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องคิดเชิงระบบ ไม่ใช่แค่เพิ่มมาตรการความปลอดภัยหลังเกิดเหตุ แต่ต้องกล้าปฏิรูปทั้งโครงสร้างราชการ ระบบจิตเวช การควบคุมการเข้าถึงอาวุธของประชาชน ซึ่งถ้าทำได้ตามแนวทางนี้การใช้ความรุนแรงสำหรับการแก้ไขปัญหาก็จะหมดไป แต่การจะทำให้เกิดขึ้นจริงได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยความทะเยอทะยานของฝ่ายการเมืองพอสมควร ซึ่งทุกวันนี้ทุกคนก็เห็นแล้วว่าฝ่ายการเมืองที่มีอำนาจทั้งหลายยังสามารถฝากความหวังได้หรือไม่


กำลังโหลดความคิดเห็น