ปิดคดี น้องเมย นร.เตรียมทหาร เสียชีวิตในรั้วจักรดาว บทพิสูจน์ ยุติธรรมไทย ใต้อำนาจสีเขียว จากกรณีศาลทหาร จังหวัดปราจีนบุรี อ่านคำพิพากษาชั้นฎีกาคดีการเสียชีวิตของนักเรียนเตรียมทหารภัคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือน้องเมย ขณะเป็นนักเรียนเตรียมทหารชั้น ปีที่ 1 ซึ่งถูกรุ่นพี่ นักเรียนปกครองสั่งซ่อม ขณะที่ออกจากกองพยาบาล จนกระทั่งนักเรียนเตรียมทหารเคราะห์ร้าย หรือน้องเนม เสียชีวิตกลางดึกคืนวันนั้น เหตุเกิดเมื่อ 8 ปีก่อน
มาถึงจุดสิ้นสุดของการดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องด้วยการอ่านคำพิพากษาชั้นฎีกาของศาลทหาร เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ล่าสุด เมื่อเวลา 10.54 น. ศาลทหารสูงสุด มีคำพิพากษาชั้นฎีกา ว่า ให้ยืนตามศาลชั้นอุทธรณ์ตัดสินว่า จำเลยมีความผิดทำร้ายร่างกาย ทำโทษโดยฝ่าฝืนคำสั่งกลุ่มนักเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร ส่วนที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยทันทีนั้น ศาลเห็นว่า ด้วยอายุจำเลยขณะก่อเหตุไม่เคยได้รับโทษ การจะลงโทษจำเลยไป ก็ไม่เป็นประโยชน์ จึงเห็นควรให้จำเลยปรับปรุงตัว รับราชการ รับใช้ชาติต่อไป จะเป็นประโยชน์มากกว่า ทั้งนี้ศาลพิพากษายืนให้โทษจำคุกรุ่นพี่ 4 เดือน 16 วัน ปรับ 15,000 บาท โทษจำ รอลงอาญา 2 ปี
สำหรับคดีนี้ ผู้ฟ้องร้องหลักคือครอบครัวของน้องเมย โดยในคดีอาญา ทางครอบครัวได้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้มีการดำเนินคดีกับ นักเรียนเตรียมทหารพิพจน์ (สงวนนามสกุล) และ นักเรียนเตรียมทหารภูมิพัฒน์ ( สงวนนามสกุล) ในข้อหาทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และ ว่าที่ร้อยตรี ปิยพงศ์ (ครูฝึก) ในข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งคดีเหล่านี้อยู่ภายใต้การพิจารณาของศาลทหาร เนื่องจากจำเลยเป็นบุคลากรทางทหารและเหตุเกิดในเขตอำนาจศาลทหาร
ศาลทหารชั้นต้น ซึ่งมีการพิจารณาในช่วงปี 2561-2562 มีคำพิพากษาให้ รอการกำหนดโทษ นักเรียนเตรียมทหารรุ่นพี่ที่ถูกฟ้องร้องในคดีทำร้ายร่างกาย ส่วนคดีอื่นๆ ที่ครอบครัวน้องเมยฟ้องร้องนั้น พนักงานสอบสวนและอัยการบางส่วนได้มีคำสั่งไม่ฟ้อง โดยให้เหตุผลว่าไม่มีประจักษ์พยานที่เพียงพอ
ต่อมาใน ชั้นศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาในส่วนคดีแพ่งเมื่อต้นตุลาคม 2566 สำหรับคดีทำร้ายร่างกายที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นในบางคดี
หลังจากรับทราบคำพิพากษาในชั้นศาลฎีกา นายพิเชษฐ์ และนางสุกัลยา บิดาและมารดาของนักเรียนเตรียมทหารผู้เสียชีวิตออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อทั้งน้ำตา ว่า
“มันมีคำถามเล็ก ๆ ว่าศาลเห็นว่า จำเลยสามารถทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ เห็นสมควรให้รอลงอาญา แล้วถ้าลูกพี่มีชีวิตอยู่ล่ะ เขาสามารถทำคุณประโยชน์ให้กับชาติได้ไหม" นางสุกัลยากล่าว "จำเลยยังไม่ได้ติดคุกเลยแม้แต่วันเดียว ศาลเห็นว่าหากติดคุกจะยากต่อการประกอบสัมมาชีพ แต่ลูกพี่ไม่มีโอกาสเลยแม้กระทั่งจะมีชีวิต”
ส่วนนายพิเชษฐ์ผู้เป็นพ่อมีคำถามไปยัง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่าการที่รุ่นพี่รายนี้ทำงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วต้องคดีอาญา ทาง ตร. จำเป็นต้องจัดการคนของตัวเองหรือไม่ โดยส่วนตัวแล้วเขาไม่เชื่อว่าจำเลยที่เป็น “เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีพฤติกรรมแบบนี้จะสามารถดูแลประชาชนต่อไปได้”
“ในตอนนี้ถือว่าคดีสิ้นสุดแล้ว แต่ผมยังคาใจ คงต้องปรึกษาทนายต่อว่าจะทำอะไรได้บ้าง” นายพิเชษฐ์ กล่าว “เป้าหมายตอนนี้คือต้องการให้เขาก็คือ จำเลยต้องออกจากราชการ”
แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในความรู้สึกของผู้เป็นพ่อแม่ และพี่สาวของน้องเนยก็คือ การที่ร่างไร้วิญญาณของน้องถูกขโมยอวัยวะภายในทั้งสมอง กระเพาะอาหาร และหัวใจ ระหว่างการชันสูตรศพ โดยแพทย์ทหารโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
เมื่อพ่อแม่ทราบ และติดตามทวงถาม ก็ได้รับมอบอวัยวะที่สูญหายไปกลับคืนมา แต่เมื่อนำไปตรวจสอบ DNA ที่โรงพยาบาลศูนย์ธรรมศาสตร์รังสิต กลับพบว่า DNA ไม่ตรงกัน อันหมายความว่า แพทย์ทหารของโรงพยาบาลทหารส่งอวัยวะของผู้อื่นให้กับญาติ จนนำไปสู่การแจ้งความดำเนินคดี และเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาถึง 2 ครั้ง แต่จนถึงวันนี้ กลับไม่มีการออกหมายจับตามขั้นตอนแต่อย่างใด
นางสุกัลยา ผู้เป็นมารดาจึงมีคำถามว่า “ตร. ไม่กล้าออกหมายจับแพทย์ทหารหรืออย่างไร ทั้งที่ตามขั้นตอนหมายเรียก 2 ครั้ง ไม่มา ต้องออกหมายจับ”
ที่น่าสังเกตก็คือ การเสียชีวิตของน้องเมยและการฟ้องร้องดำเนินคดี เกิดขึ้นในช่วงที่ ประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหารภายใต้การบริหารของ 3 ป. ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เป็นยุคที่สีเขียวครองอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ในช่วงเวลานั้น กองบัญชาการกองทัพไทย ซึ่งเป็นต้นสังกัดสูงสุดของโรงเรียนเตรียมทหารจึงถูกตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดจึงมีการปกป้อง นตท. รุ่นพี่ทั้งสี่คนที่รุมกันลงโทษ น้องเมยอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนจนเสียชีวิต ทั้งที่อย่างน้อยที่สุด ผู้ก่อเหตุเหล่านั้นควรจะต้องถูกปลดจากฐานะนักเรียนเตรียมทหาร ในความผิดฐานทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยประมาท
ส่วนประเด็นตามที่อวัยวะภายในของน้องเนยสูญหายไปจากการชันสูตร เป็นที่กล่าวกันวงในของโรงเรียนเตรียมทหารว่า น้องเนยถูกรุ่นพี่กระทืบทำร้ายร่างกาย รวมทั้งอาจเป็นไปได้หรือไม่ว่า การที่น้องเนยเสียชีวิตเป็นเพราะรุ่นพี่สั่งซ่อม พร้อมกับสั่งให้น้องดื่มน้ำไปด้วยเป็นจำนวนมาก จนน้องมีน้ำอยู่เต็มกระเพาะขณะที่เสียชีวิต
ดังนั้นหากอวัยวะเหล่านั้นยังอยู่ในร่างกายของน้องก็จะกลายเป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งชี้ว่า การเสียชีวิตไม่ได้เกิดจากหัวใจวายหรืออุบัติเหตุ แต่เป็นเจตนาฆาตกรรมด้วยการกรอกน้ำใส่เหยื่อจนเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว
ดังนั้นตราบใดที่ยังไม่มีการเรียกตัวแพทย์ผู้ผ่าอวัยวะของน้องมาให้ปากคำข้อ สันนิษฐานเหล่านี้ จึงยังคงเป็นความลับดำมืดที่รอวันพิสูจน์ความจริงตามที่พ่อแม่ของน้องเมยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า จะเดินหน้าติดตามเรื่องนี้จนถึงที่สุด โดยเฉพาะผลการชัณสูตรแรกที่ระบุว่า น้องเนยซี่โครงหัก แต่เอกสารนี้ถูกเอาออกจากสำนวน
สิ่งที่น่าสลดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ พ่อแม่ของน้องเมยให้ข้อมูลว่า ผู้ก่อเหตุไม่เคยแสดงท่าทีว่าสำนึกผิด อีกทั้งยังมีผู้ปกครองนักเรียนเตรียมทหารจำนวนหนึ่งที่เข้าข้างผู้ก่อเหตุและโจมตีว่า ครอบครัวของตน ทำให้โรงเรียนเตรียมทหารเสื่อมเสียชื่อเสียง และน้องเมยเป็นผู้โกหกจนเกิดเรื่องเป็นสาเหตุให้ถูกซ่อม
กรณีการตายของน้องเมย ถึงไม่ต่างอะไรกับการตายของพลทหารจำนวนมาก ที่ถูกซ้อมทรมานในค่ายทหาร จนดับดิ้นรายแล้วรายเล่าโดยที่ทุกเรื่องอยู่ในกำมือของศาลทหารทั้งสิ้น โดยที่ผู้เสียหายที่เป็นพลเรือน ไม่อาจตั้งทนายเข้าไปร่วมซักค้านได้แต่อย่างใด
คดีน้องเนยจึงเป็นอีกหนึ่งหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นถึงความอยุติธรรมภายใต้อำนาจของกองทัพ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว ผู้เสียหายหรือผู้สูญเสีย อาจจะตกอยู่ในสภาพเหมือนถูกฆ่าให้ตายซ้ำสอง โดยที่ไม่อาจได้เห็นผู้ที่กระทำผิดได้รับการลงโทษอย่างสาสม
และสำหรับครอบครัวของน้องเมย สมควรอย่างยิ่งที่คนไทยทั้งประเทศจะร่วมกันให้กำลังใจ เพื่อให้พวกเขาสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ แม้จะต้องเผชิญกับความอยุติธรรมที่ได้รับ