xs
xsm
sm
md
lg

ใกล้ปิดฉาก 'แพทองธาร' นายกฯตระกูลชินคนที่ 3 แพ้ภัยตัวเองไปไม่รอด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ใกล้ปิดฉาก 'แพทองธาร' นายกฯตระกูลชินคนที่ 3 แพ้ภัยตัวเองไปไม่รอด

มติของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ในการสั่งรับคำร้องของส.ว.ที่ให้วินิจฉัยคุณสมบัติของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อย่างเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 พร้อมกับมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 สั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ต้องบอกว่าไม่ได้มีอะไรที่เหนือความคาดหมาย

เพราะด้านหนึ่งอาจเป็นสถานการณ์ที่พรรคเพื่อไทยเองได้ประเมินเอาไว้แล้ว มิเช่นนั้นคงไม่หาที่ลงให้แพทองธารด้วยการให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมอีกตำแหน่ง

การควบเก้าอี้นายกฯพร้อมด้วยกระทวงวัฒนธรรม เสมือนเป็นการย้อนประวัติศาสตร์ไปสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่่เคยนั่งสองเก้าอี้มาแล้ว ซึ่งในยุคสมัยนั้นเป็นความต้องการของรัฐบาลในการผลักดันระบบที่เรียกว่ารัฐนิยม ด้วยการเชื่อว่านโยบายนี้จะพาประเทศไทยที่กำลังอยู่ในห้วงเวลาแห่งไฟสงครามไปสู่ความทันสมัย ขณะที่ วัตถุประสงค์ของแพทองธารนั้นไม่ได้มีอะไร แค่ความต้องการผลักดันนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ ห่วยแตก

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการควบสองเก้าอี้ของแพทองธารน่าจะเป็นปัญหาในทางกฎหมายอีกพอสมควร และเป็นไปได้สูงที่ประธานวุฒิสภาจะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาด้วยว่าคำสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่นั้นครอบไปถึงตำแหน่งนายกฯด้วยหรือไม่

แต่ไม่ว่าแพทองธารจะได้ทำงานในตำแหน่งเจ้ากระทรวงวัฒนธรรมต่อหรือไม่ ที่แน่ๆ ตลอด 15 วันนับจากนี้เป็นเวลาที่มีค่ามากสำหรับการส่งคำชี้แจงไปให้ศาลรัฐธรรมนูญสำหรับการต่อสู้คดี

ทั้งนี้ ประเด็นแห่งการต่อสู้ที่่สำคัญ คือ ถ้อยคำที่เป็นบทสนทนากับสมเด็จฮุนเซนนั้นถึงขนาดทำให้นายกฯประพฤติมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และ คลิปเสียงการสนทนาเช่นนี้จะเป็นพยานหลักฐานที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาได้หรือไม่

แน่นอนว่าการต่อสู้ในเรื่องทีมกฎหมายของนายกฯ คงพุ่งเป้าไปที่เรื่องความชอบด้วยกฎหมายของพยานหลักฐานดังกล่าวว่าไม่อาจรับฟังได้ เนื่องจากเป็นการได้มาซึ่งพยานหลักฐานที่มิชอบด้วยกฎหมาย โดยเฉพาะคลิปเสียงที่มีการบันทึกเอาไว้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สนทนานั้น เว้นเสียแต่ศาลจะเห็นว่าการรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสียตามที่กำหนดเป็นหลักการทั่วไปไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งจุดนี้ย่อมต้องเป็นจุดที่ฝ่ายกฎหมายของนายกฯต้องขยี้ให้ศาลเห็นว่าคลิปเสียงดังกล่าวถูกบันทึกโดยปราศจากความสมัครใจของแพทองธาร และหากศาลรับไว้จะเป็นผลเสียต่อการอำนวยความยุติธรรม

ถ้าขยี้ได้ถูกจุด โอกาสที่จะชนะคดีมีสูง เพราะในอีกมุมแพทองธารก็พร้อมจะนำคนระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขึ้นไปเป็นพยานในชั้นศาลอยู่แล้ว เพื่อชี้ให้ศาลเห็นว่าบทสนทนาดังกล่าวมิได้ส่งผลเสียต่ออธิปไตยของประเทศไทยแต่อย่างใด

ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่งถ้าฝ่ายกฎหมายของแพทองธาร มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของนิติสงคราม ก็ถึงเวลาแล้วที่เผื่อใจไว้เช่นกันโอกาสในการแพ้คดีนี้ก็มีความเป็นไปได้พอสมควร เหตุที่มองได้อย่างนั้นเพราะแม้ว่าในมติสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่จะเป็นมติ 7 ต่อ 2 แต่ถ้าอ่านในรายละเอียดของตุลาการเสียงข้างน้อยสองคน จะพบว่าก็มีความเห็นให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่เช่นกัน เพียงแต่ให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่เฉพาะด้านความมั่นคง การคลัง และ การต่างประเทศ ตีความย้อนกลับมาเท่ากับว่ามติ 7 ต่อ 2 แทบไม่ต่างอะไรกับมติเอกฉันท์ในการสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวเลย

จากมติที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งอาจมองได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญเองค่อนข้างจะให้ความสำคัญและใส่ใจในรายละเอียดพอสมควร ซึ่งส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ

ดังนั้น จากภาพรวมที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว ต้องบอกว่าอาการน่าเป็นห่วงสำหรับ 'แพทองธาร' และอย่าโกรธกันถ้าจะบอกว่าได้เวลานับถอยหลังแล้ว การที่พาตัวเองมาถึงจุดนี้ได้นั้นไม่ต้องโทษใคร ต้องโทษตัวเองเพียงคนเดียว


กำลังโหลดความคิดเห็น