แกนนำร่วมรัฐบาลหักหลังคนไทย! ร่วมวง "อุ๊งอิ๊ง" เปลือยธาตุแท้ รทสช. สิ้นอุดมการณ์ หวังเก้าอี้ โผ ครม.ใหม่ แบ่งเค้กชัดเจน ประชาธิปไตยไทยสั่นคลอน!
ปรากฎการณ์แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลที่มาร่วมประชุมกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่โรงแรมโรสวู้ด ถือเป็นหนึ่งในภาพประวัติศาสตร์ทางการเมืองก็ว่าได้ แต่เป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ในแง่ที่ว่าด้วยการเปลือยเนื้อในของนักการเมือง
ก่อนหน้านี้ที่มีการอุ้มกันมาตลอดแม้ว่าแพทองธารจะเผชิญกับเสียงวิจารณ์เรื่องความสามารถในการทำงาน และภาวะความเป็นผู้นำ แต่เมื่อเกิดกรณีหลักฐานที่ชัดเจนจากบทสนทนากับอดีตผู้นำกัมพูชาที่เนื้อหาส่วนใหญ่มุ่งแต่จะรักษาอำนาจทางการเมืองของตัวเอง การที่พรรคร่วมรัฐบาลยังคงอุ้มนายกฯคนนี้ต่อไป แทบไม่ต่างอะไรกับการซ้ำเติมคนไทยที่มีหัวใจรักษาชาติรักแผ่นดิน
โดยพรรคร่วมรัฐบาลที่ทำตัวได้น่าผิดหวังที่สุดและควรกลับไปเปลี่ยนชื่อพรรค คือ พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งทันทีที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวออกมา พรรคเลือดสีน้ำเงินเข้มพรรคนี้ประกาศจุดยืนชัดเจนเรื่องการรักษาอธิปไตยของแผ่นดิน ทำให้หลายฝ่ายเริ่มฝากความหวังว่าพรรคนี้จะกล้าตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวในการหันหลังให้กับพรรคเพื่อไทย
ทว่าทุกอย่างกลายเป็นตรงกันข้าม แกนนำพรรคกลับไปร่วมประชุมหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยก่อนหน้านี้ก็เริ่มจะออกลายให้เห็นมาแล้ว เช่น การไม่แถลงมติของพรรคอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการให้ความชัดเจนต่อสาธารณชนว่าได้มีข้อเสนอไปยังพรรคเพื่อไทยอย่างไร
สุดท้ายก็ปรากฎภาพไปนั่งพินอบพิเทาอุ๊งอิ๊งอย่างที่เห็น ทำให้คนไทยได้เห็นว่าที่สุดแล้วพรรครวมไทยสร้างชาติก็ไม่ต่างอะไรกับพรรคการเมืองที่เห็นความสำคัญของผลประโยชน์การเมืองเป็นหลักมากกว่าบ้านเมือง
กลุ่มก๊วนภายในพรรคไม่ว่าจะเป็นจะฝ่ายไหนก็ล้วนแต่ต้องการรักษาเก้าอี้ของตัวเองไว้ทั้งสิ้น ซึ่งตามรายงานทั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค และนายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ มีแนวโน้มว่าจะยังคงรักษาเก้าอี้ตัวเดิมของตัวเองเอาไว้ได้ เช่นเดียวกับ กลุ่ม 18 สส.ที่เป็นขั้วตรงกันข้ามกันในพรรคก็น่าจะได้เก้าอี้รัฐมนตรีเป็นการตอบแทนเช่นกัน
ดังนั้น หากจะบอกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติที่เคยมีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างแน่วแน่มาตั้งแต่ก่อตั้งพรรคและมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรค ได้ถูกขยำทิ้งลงขยะเป็นที่เรียบร้อยแล้วอย่างเป็นทางการ
ในระยะยาวหากพรรครวมไทยสร้างชาติคิดจะทำงานการเมืองต่อไปภายใต้ชื่อพรรคเดิม อาจมีสภาพไม่ต่างกับพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เพราะในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะมาถึงด้วยความทันสมัยของโลกดิจิทัลทุกอย่างที่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ในปัจจุบันพร้อมจะย้อนกลับมาทิ่มแทงพรรครวมไทยสร้างชาติได้ตลอดเวลา และอาจต้องเผชิญกับความล้มเหลวยิ่งกว่าพรรคประชาธิปัตย์ด้วยซ้ำ
ขณะที่ โผ ครม.แพทองธาร เวอร์ชั่น 2.0 ที่ออกมาก็ล้วนเป็นคำตอบในตัวเองว่าทุกพรรคต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้งแทบทั้งสิ้น เพราะส่วนใหญ่เป็นการสลับเก้าอี้เจ้ากระทรวงเท่านั้น บางพรรคที่มีส.ส.น้อยและได้กระทรวงเล็กมาก่อนหน้านี้ก็อาจได้รับเก้าอี้กระทรวงใหญ่หรือได้รับเก้าอี้เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา
ส่วนพรรคเพื่อไทยเองก็ได้กระทรวงมหาดไทยสมใจอยาก โดยเตรียมให้ ‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ เข้าไปทำงานในกระทรวงนี้ ภายใต้ภารกิจการสร้างฐานอำนาจทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งตั้งแต่ระดับท้องถิ่น หลังจากก่อนหน้านี้ถูกพรรคภูมิใจไทยเซาะกร่อนไปพอสมควร ด้วยเหตุนี้มนต์ขลังของทักษิณ ชินวัตร เริ่มเสื่อมแล้วนั่นเอง
สภาพของรัฐบาลที่มีเสียงในสภาประมาณ 270 เสียง ถึงจะเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็เป็นสถานการณ์ที่เปราะบางมาก จะมีหลักประกันอะไรที่ ‘แพทองธาร’ จะสามารถขับเคลื่อนเดินหน้านโยบายต่างๆไปได้โดยไม่เกิดการขัดแข้งขัดขากันเอง จึงเท่ากับว่าต่อให้รัฐบาลไม่พังวันนี้ วันหน้าก็พังอยู่ดี