ศาลไต่สวน "ทักษิณ ป่วยทิพย์" เดือนหน้า 6 นัดรวด! เรียกพยานเพิ่ม 20 ปาก ส่อเคสพลิก? ทักษิณอาจขอเบิกความเอง สู้สุดใจไม่ยอมกลับคุก! คาดรู้ผลช้าสุดกันยาฯนี้
ผิดคาดพอสมควร เดิมที หลายฝ่ายประเมินว่า หลังการไต่สวนปมป่วยทิพย์ชั้น 14 ทักษิณ ชินวัตร ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันศุกร์ที่ 13 มิ.ย. เสร็จสิ้นแล้ว องค์คณะฯน่าจะใช้เวลาไต่สวนอีกสักหนึ่งนัดหรือเต็มที่ไม่เกินสองนัดที่ก็ไม่น่าจะเกินกลางเดือนก.ค. ก็น่าจะนัดฟังคำสั่งของศาลฎีกาฯ ได้
แต่สุดท้าย องค์คณะฯ นัดไต่สวนเพิ่มจากเมื่อ 13 มิ.ย.ออกไปอีก 6 นัดรวด ในเดือนก.ค.
คือ วันที่ 4-8-15-18-25-30 ก.ค.
ที่สำคัญมีการเรียกพยานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก 20ปาก อาทิเช่น สหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นต้น
เมื่อการไต่สวนนัดสุดท้ายคือวันที่ 30 ก.ค. ก็ทำให้ คาดหมายได้ว่า เร็วสุด องค์คณะฯ น่าจะใช้เวลาสักหนึ่งเดือนหรือสามสัปดาห์ ก็อาจจะนัดฟังคำสั่งศาลฎีกาฯในคดีนี้ว่าสุดท้าย จะมีคำสั่งให้ ทักษิณ ต้องกลับไปรับโทษในเรือนจำฯหรือไม่
กรณีเร็วสุด ที่หมายถึงกว่าจะรู้ผลก็ปลายๆเดือนส.ค.
ยังไม่นับรวมกรณี อาจมีสถานการณ์แทรกขึ้นมาอีกเช่น ทักษิณ ที่ไม่มีชื่ออยู่ในพยาน 20 ปาก ที่ศาลฎีกาเรียกมา ก็อาจขอใช้สิทธิ์ขึ้นเบิกความ-ไต่สวน เพื่อยืนยันว่าตัวเอง”ป่วยวิกฤตร้ายแรง”จนต้องนอนพักชั้น 14 รพ.ตำรวจ 180วัน
จุดนี้ ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากทักษิณ ประเมินว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ในเมื่อจุดศูนย์กลางของเรื่องทั้งหมดคือตัวเอง ก็ขอศาลขึ้นเบิกความพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองไปเลย แล้วบอกว่า ป่วยจริง แต่ที่นอนรพ.ตำรวจ 180 วัน เป็น”ความเห็นทางการแพทย์”ที่หมอสั่ง ในฐานะคนไข้ก็ต้องเชื่อหมอ แล้วที่นอนได้ยาวขนาดนั้น ก็มีการอนุญาตและเซ็นเห็นชอบตามลำดับชั้น จากกรมราชทัณฑ์ไปจนถึงก.ยุติธรรม ตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อเคลียร์ตัวเอง แล้วก็ยังเป็นการโบ้ยไปยัง คณะแพทย์ว่า เป็นผู้ทำความเห็นทางการแพทย์เองว่าตนเองป่วยวิกฤตร้ายแรง ต้องนอนยาว
ทักษิณ อาจทิ้งไพ่แบบนี้ในช่วงโค้งสุดท้ายของการไต่สวนก็ได้ และอาจทำให้ ศาลฎีกาฯ อาจต้องนัดไต่สวนเพิ่มอีกสักนัด ของแบบนี้มันก็มีโอกาสเกินขึ้นได้ ?
เพราะยังไง ทักษิณ ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ต้องกลับไปเข้าคุกจริงแน่นอน
การสู้คดีนี้มีเดิมพันสูง เพราะรู้ผลเร็ว ศาลฎีกาฯสั่งอย่างไรก็จบเลย อุทธรณ์อะไรต่อไม่ได้ ยังไงจบแน่ ภายในไม่เกินสิงหาคมหรือช้าสุดไม่เกินกันยายน
เมื่อเดิมพันสูง รู้ผลเร็ว แบบนี้ ทำให้ ทักษิณ ต้องรอบคอบในการวางแผนสู้คดี เพราะอย่างการไต่สวนนัดแรกเมื่อ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมา ว่ากันตามสภาพ ใครต่อใคร ก็เห็นตรงกัน รูปคดีการไต่สวน ไม่สร้างแต้มบวกกับฝ่ายทักษิณ แต่อย่างใด ส่อติดลบ เสียด้วยซ้ำ
กับการเบิกความของ มานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ที่มารับตำแหน่งหลังทักษิณพ้นโทษไปแล้ว
พบว่า องค์คณะฯ มีการซักถามให้ความสนใจถึงกระบวนการส่งตัว ทักษิณ จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครไปยังรพ.ตำรวจ เมื่อคืนวันที่ 22 ส.ค.2566ที่นายมานพ ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งช่วงดังกล่าว ดังนั้น สิ่งที่ให้การไป ก็เป็นเอกสารข้อมูลที่ลูกน้องส่งมาให้ โดยเบิกความยอมรับว่า หลังจากที่นายทักษิณได้แจ้งว่ามี เป็นความดันโลหิต ค่าออกซิเจนต่ำกว่าปกติ มีอาการแน่นหน้าอก ซึ่งมีพยาบาลที่เข้าเวรอยู่เพียงคนเดียว จึงได้ประสานปรึกษากับแพทย์ จนมีการส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ
โดยยอมรับกลางห้องพิจารณาคดีว่า
“ไม่ได้มีการส่งตัวนายทักษิณ ไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อนตามขั้นตอนปกติ เพื่อให้แพทย์ รพ.ราชทัณฑ์ วินิจฉัยส่งตัวไปรักษารพ.อื่น หากนักโทษอาการหนักเกินกว่าที่รพ.ราชทัณฑ์จะรักษาได้โดยส่งตัว ทักษิณ ไปยังโรงพยาบาลตำรวจเลย ไม่ผ่านรพ.ราชทัณฑ์ ซึ่งก็คือไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนปกติ”
อีกทั้งหากดูจากการซักถามขององค์คณะฯ กับนายมานพ ก็จะพบว่า หลายคำถามที่องค์คณะฯให้ความสนใจซักถามไต่สวน เช่น ระเบียบราชทัณฑ์ที่ห้ามมิให้ผู้ต้องขังอยู่ในห้องพักพิเศษแยกจากผู้ต้องขังอื่น ซึ่งกรณีของทักษิณ จะพบว่า อยู่ห้องพักพิเศษวีไอพี ชั้น 14 ถึง 180 วัน
เอาแค่นี้ ทักษิณ-ทีมทนายความ-ฝ่ายกฎหมาย ของทักษิณ ก็น่าจะเห็นแล้วว่า รูปคดีการไต่สวนวันแรก ออกมาเป็นบวกหรือลบกับตัวเอง
แค่นี้ไม่พอ ศาลฎีกาฯยังให้สำนักงานป.ป.ช.ในฐานะที่เคยเป็นโจทก์ฟ้องทักษิณ ให้เป็นผู้นำส่งเอกสาร รายงานการสอบสวนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กรณีชั้น 14 ที่กสม. มีข้อสรุปทำนองว่าเคสของทักษิณที่รพ.ตำรวจ มีการเลือกปฏิบัติฯ รวมถึงการให้ส่ง มติที่ประชุมแพทยสภาเมื่อ 12 มิ.ย. ที่มีมติยืนยันให้ลงโทษแพทย์สามคน ที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวและรักษาทักษิณ เพราะแพทยสภา เห็นว่า ทักษิณไม่น่าจะมีอาการป่วยวิกฤตร้ายแรง
ดังนั้น เมื่อดูจากประเด็นการซักถามขององค์คณะฯ และการให้ส่งมติแพทยสภา และรายงานกสม. มาให้องค์คณะศาลฎีกาอ่าน ที่ล้วนเป็นลบกับทักษิณทั้งสิ้น
มีหรือคนอย่างทักษิณ ทีมทนายความ จะอ่านสถานการณ์ไม่ออกว่าการไต่สวน นัดแรกที่ผ่านไป เป็นผลบวกหรือลบกับตัวเอง ของแบบนี้ ใครต่อใครก็พอวิเคราะห์ออก
แต่เมื่อยังเหลือการไต่สวนอีก 6 นัด ต้องดูว่า ทักษิณ จะพลิกสถานการณ์อย่างไร