ทรัมป์โดนสื่ออังกฤษตั้งฉายา "TACO" เปรียบเป็นทาโก้อาหารเม็กซิกันแสนอร่อย แต่แฝงความหมายเย้ยหยัน "Trump Always Chicken Out" ชี้ขึงขังข่มขู่คู่เจรจาแต่สุดท้ายก็ถอย เหมือนกรณีตั้งกำแพงภาษีกับจีนแล้วต้องยอมเจรจา
ความจริงอาหารเม็กซิกันทาโก้เป็นอาหารแสนอร่อย ที่ราคาถูกและมีคุณค่าทางอาหารที่ดีเพราะทำมาจากข้าวโพด (ที่มาทำเป็นแป้งและปิ้งเป็นคล้ายขนมเบื้อง โดยมีกลิ่นหอมกรุ่นเหมือนข้าวโพดปิ้ง) และใส่ไส้ด้วยโปรตีน ไม่ว่าจะมาจากเนื้อบดหรือหมูหรือไก่ แล้วโรยด้วยผักนานาชนิดพร้อมราดด้วยน้ำซอสที่มีเครื่องเทศเม็กซิกันนานาชนิด
ทาโก้เป็นอาหารโปรดของคนอเมริกัน โดยเฉพาะทางฝั่งตะวันตกและทางใต้ที่ดินแดนติดเม็กซิโกซึ่งมีประชากรอพยพมาจากดินแดนอเมริกากลาง, อเมริกาใต้ ที่มีอาหารหลักเป็นข้าวโพดเป็นหลายพันปีก่อนที่คนผิวขาวจากยุโรปจะรู้จักกับข้าวโพดด้วยซ้ำ
ขณะนี้ทาโก้กลับมาใช้เป็นวลีที่เย้ยหยันปธน.ทรัมป์ โดยนักเขียนคอลัมน์จากนสพ.ดังของอังกฤษคือ เดอะ ไฟแนลเชียลไทมส์ได้มอบฉายา TACO นี้ให้กับทรัมป์ หรือแปลงคำเต็มของ TACOว่า :Trump Always Chicken Out หรือทรัมป์ก็แค่ปอดแหกเสมอคือ คำกิริยา Chicken หมายถึงใจไม่สู้, ปอดไม่แข็งพอ, ไปไม่สุดทาง...ท้ายสุดก็ยอมถอยๆๆ
ที่นักเขียนคอลัมนิสต์คนนี้เขาหมายถึงทรัมป์จะทำท่าทางขึงขัง ข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามให้กลัวหงอ โดยใช้การข่มขวัญให้น่ากลัวอย่างยิ่งเช่น กรณีที่ประกาศกำหนดกำแพงภาษีนำเข้าอย่างสูง...เท่านั้นยังไม่พอ ยังเขยิบกำแพงนี้ให้สูงขึ้นตลอดเวลา...โดยเฉพาะได้ประกาศด้วยว่า ถ้าประเทศใดตอบโต้ (เช่นกรณีจีน, หรือสหภาพยุโรป, หรือแคนาดา) ประเทศเหล่านั้นก็ยิ่งจะโดนลงโทษด้วยการที่สหรัฐฯ จะยิ่งเขยิบอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ให้สูงขึ้นๆ เรื่อยๆ
อย่างกรณีของจีน ที่สหรัฐฯ เริ่มตั้งกำแพงภาษีก่อน และเมื่อจีนตอบโต้เรียกเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตราเท่ากับที่สหรัฐฯ เรียกเก็บกับสินค้าจีน-สหรัฐฯ ก็จะยิ่งเขยิบกำหนดให้สูงขึ้นๆ จนเกิน 100% อันเป็นอัตราที่ในทางปฏิบัติแล้วจะไม่มีผู้สั่งสินค้านำเข้ารายใดที่กล้าจะสั่งสินค้านั้นเข้ามา เพราะตระหนักดีว่า ลูกค้าของตนจะไม่สามารถจ่ายราคาสูงจากกำแพงภาษีนั้นได้แน่นอน และในที่สุด ในการประชุมระหว่างรมต.คลังสหรัฐฯ กับรองนายกฯ ของจีนที่เมืองเจนีวา, สวิส ทางสหรัฐฯ ก็ต้องถอยก่อน; โดยสหรัฐฯ เองเป็นฝ่ายโทร.หาจีนก่อนเพื่อมาเจรจาภาษีนำเข้าที่สูงปรี๊ด
และสหรัฐฯ ยังยอมยืดระยะเวลาการเจรจาออกไปถึง 90 วันก่อนอัตราภาษีนำเข้าโหดจะมีโอกาสได้ใช้ในทางปฏิบัติ
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมีแรงกดดันปธน.ทรัมป์และคณะบริหารที่ทำเนียบขาว จากเหล่าซีอีโอคนดังๆ ไม่ว่าจะเป็นนายเรย์ ดาลิโอ, นายธนาคารเจมี ไดมอน, นายแลรี่ ฟิงค์ เป็นต้น ที่ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการจัดทำกำแพงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สูงจนทำให้การค้าขายต้องหยุดชะงักงันหมด...รวมทั้งนายอีลอน มัสก์ด้วย...แม้แต่รมต.คลังสหรัฐฯ เองก็ออกมาปลอบตลาดเงินตลาดทุน เมื่อมีแรงเทขายพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันมากมาย จนทำให้ Yield ของพันธบัตรระยะยาวสหรัฐฯ ดีดตัวสูงทำลายสถิติทีเดียว
ตั้งแต่ปธน.ทรัมป์เข้ามารับตำแหน่งที่ทำเนียบขาว เขาได้สร้างปรากฏการณ์สร้างความโกลาหลอกสั่นขวัญแขวนไปทั่วโลก โดยแต่ละวันได้รัวประกาศกำหนดภาษีขาเข้าสหรัฐฯ กับทุกประเทศทั่วโลก เริ่มจากภาษีเหล็กกล้าและอะลูมิเนียม; ตามมาด้วยภาษีนำเข้ารถยนต์ ซึ่งเมื่อมีปฏิกิริยาจากบริษัทผลิตรถยนต์สหรัฐฯ ที่หุ้นดิ่งทันทีเมื่อทรัมป์ประกาศภาษีนำเข้าเหล็กกล้าและอะลูมิเนียม และสามารถกดดันจนมีการผ่อนปรนไปอีก 1-2 เดือน เพื่อช่วยบริษัทผลิตรถยนต์อเมริกัน รวมทั้งบริษัทผลิตเครื่องบิน
นั่นหมายถึงการชักเข้าชักออกแบบที่เดโมแครตออกมาชี้ว่าเป็นการทุบหุ้นเมื่อประกาศอัตรากำแพงภาษีที่สูง; แล้วก็มากลับลำโดยยอมถอยด้วยการผ่อนปรนให้แก่บางอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากคำประกาศนั้น
เมื่อมีการยอมถอยโดยผ่อนปรนจากกำแพงภาษีข้างต้นก็จะทำให้หุ้นของผู้ประกอบการที่โล่งอกจากการผ่อนปรน-หุ้นจะดีดขึ้น
มหาศาล...ซึ่งจักรพรรดิทรัมป์ก็เป็นผู้มีประกาศิตในการกำหนดอัตราภาษีตามอำเภอใจ...โดยต่อรองเป็นการเฉพาะกับแต่ละประเทศ เปิดทางให้เป็นที่ตั้งข้อสังเกตว่า กฎเกณฑ์ของแต่ละอัตราภาษีนั้น ไม่ได้ใช้เสมอหน้ากันกับทุกๆ ประเทศ นั่นคือ ความไม่โปร่งใสในการเจรจาต่อรองการค้า ที่จะสร้างผลประโยชน์แก่ทรัมป์โดยตรง...นอกเหนือจากการกำหนดอัตราภาษีสูงจะเป็นการทุบหุ้นเมื่อราคาหุ้นตก-แล้วได้ประโยชน์มหาศาลเมื่อยอมถอย-หันมาผ่อนปรนด้วยผ่อนเวลาไปอีก 90 วัน-เมื่อหุ้นดีดราคากลับไปสูงดังเดิม
ตลาดทุนตลาดเงินก็จับทางการชักเข้าชักออกของทรัมป์ว่า การข่มขู่ด้วยอัตราภาษีนำเข้าสูงลิบ ซึ่งในที่สุดทรัมป์ก็ไม่ได้ยืนอัตราภาษีสูงนั้นไว้ได้นานเท่าใด... มีการถอยหลังอย่างมีเลศนัย(ไม่โปร่งใสและเชื่อถือได้เลย) เป็นไม้หลักปักเลน ซึ่งสร้างผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและพรรคพวกด้วยซ้ำ
ดังนั้น การเปรียบเปรยว่าทรัมป์ “ใจเสาะ” เป็นไก่ปอดแหกหรือ Chicken Out ก็เป็นการเยาะเย้ยดูถูกทรัมป์อย่างเต็มที่ว่า เขาไม่ใช่นักเจรจาดีลมือฉกาจสมราคาคุยสักหน่อย…ก็แค่ท่าดีทีเหลวต้มคนดูด้วยซ้ำ-กับบทเหี้ยมๆ ตอนต้น แต่ตอนจบก็อ่อนปวกเปียกยอมแพ้ต่อการกดดันจากทั่วสารทิศนั่นเอง และทำเอาทรัมป์โกรธมากเมื่อถูกนักข่าวป้อนคำถามว่า เขาเป็น TACO รึเปล่า?