xs
xsm
sm
md
lg

เก็บภาษีต้องเป็นมิตร สร้างความเป็นธรรม ให้โอกาสพิสูจน์ตัวเอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เก็บภาษีต้องเป็นมิตร สร้างความเป็นธรรม ให้โอกาสพิสูจน์ตัวเอง

เมื่อเร็วๆนี้ ในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่กระทู้ถามที่ 203 ร. ซึ่งกระทู้ถามที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งคำถามต่อแนวปฏิบัติของกรมสรรพากรในการปฏิเสธการนำใบกำกับภาษีมาใช้ในการขอคืนภาษี โดยให้เหตุผลว่า ผู้ประกอบการไม่ได้ตรวจสอบคู่ค้าหรือผู้ขายอย่างละเอียดเพียงพอว่ามีการเสียภาษีอย่างถูกต้องหรือไม่

กระทู้ดังกล่าว มีความน่าสนใจอย่างมากต่อบทบาทและแนวทางการดำเนินงานของกรมสรรพากร โดยเฉพาะในมิติที่เกี่ยวข้องกับความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการที่ดำเนินกิจการด้วยความสุจริต ปัญหานี้ทำให้ผู้ประกอบการที่ซื้อสินค้าหรือบริการโดยสุจริต และมีเอกสารประกอบครบถ้วน กลับต้องถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังหรือถูกปฏิเสธสิทธิในการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยไม่มีโอกาสป้องกันตนเองอย่างเป็นธรรม แม้วัตถุประสงค์ของกรมสรรพากรคือการจัดเก็บรายได้ให้รัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่จากเนื้อหาของกระทู้ถามดังกล่าว พบว่าการตีความและการบังคับใช้กฎหมายบางกรณีกลับสร้างภาระแก่ผู้ประกอบการที่สุจริตมากกว่าผู้ที่ตั้งใจหลีกเลี่ยงภาษี

การคาดหวังให้ผู้ประกอบการตรวจสอบคู่ค้าจนถึงระดับ “พฤติกรรมภาษี” ของอีกฝ่ายเป็นเรื่องที่เกินความสามารถของผู้ประกอบการทั่วไป ซึ่งผู้ประกอบการไม่มีอำนาจโดยชอบตามกฎหมายในการเชิญบุคคลใดๆ เข้าพบ หรือแม้กระทั่งการตรวจสอบในระดับพฤติกรรมภาษี ทางผู้ประกอบการ(ผู้ซื้อ) ทำได้เพียงตรวจสอบเอกสารจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ.20 และหนังสือรับรองของผู้ขาย พร้อมกับตรวจสอบงบการเงินย้อนหลัง และเมื่อผู้ขายออกใบกำกับภาษีที่ถูกต้องตามรูปแบบ ก็ควรถือได้ว่าเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือ เว้นแต่จะมีหลักฐานชัดเจนว่าผู้ซื้อสมรู้ร่วมคิดในการหลีกเลี่ยงภาษี

ในทางกลับกันเหตุใดเจ้าหน้าที่สรรพากรผู้มีอำนาจในการเรียกพบผู้ประกอบการแต่ละราย รวมถึงการตรวจสอบพฤติกรรมภาษีดังกล่าว แต่กลับไม่มีการกำกับดูแลที่ทั่วถึงและไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทันเวลา และไม่แม้แต่จะสร้างระบบการป้องกันไม่ให้มีการใช้ใบกำกับภาษีจากผู้ประกอบการที่ถูกขึ้นบัญชีดำ (Black lists) ทั้งยังไม่มีการแจ้งเตือนต่อผู้ประกอบการ(ผู้ซื้อ) ที่ได้นำใบกำกับภาษีจากผู้ประกอบการ(ผู้ขาย) ดังกล่าวมาใช้
แต่จากคำตอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กลับพบว่าแนวปฏิบัติของสรรพากรมักถือว่าผู้ประกอบการมี “หน้าที่ต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์” ทั้งที่หลักการในกระบวนการยุติธรรมควรยึดหลัก “สันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์” จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าผิด

แนวทางดังกล่าวส่งผลกระทบในหลายด้าน เช่น การเสียโอกาสในการได้รับคืนภาษีที่ถูกต้อง ภาระค่าใช้จ่ายในการต่อสู้ทางกฎหมาย ความไม่มั่นใจในระบบราชการ การบั่นทอนกำลังใจของผู้ประกอบการสุจริต นอกจากนี้ ยังเปิดช่องให้เกิดการ “เลือกปฏิบัติ” หรือใช้อำนาจโดยมิชอบได้ง่าย หากไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจนในการตรวจสอบและประเมินพฤติกรรมของคู่ค้า

แนวทางที่สมดุลระหว่างการจัดเก็บภาษีกับความเป็นธรรม ควรมีการปรับปรุงแนวทางปฏิบัติของกรมสรรพากร โดยคำนึงถึงหลักการเหล่านี้ 1.การพิจารณาโดยสุจริตใจของผู้ซื้อ หากไม่มีหลักฐานว่าเป็นการร่วมกันทุจริต ก็ควรให้สิทธิตามเอกสารภาษี 2.แนวทางตรวจสอบที่เน้นการประเมินความเสี่ยงแทนการลงโทษล่วงหน้า3.การให้สิทธิอุทธรณ์และการไกล่เกลี่ยอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ 4.การสร้างระบบฐานข้อมูลคู่ค้าเสี่ยง (Blacklist) ที่ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบได้เอง

ดังนั้น กระทู้ถามที่ 203 ร. ไม่ใช่แค่คำถามในสภา แต่ได้สะท้อนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการจำนวนมาก ที่ได้ทำธุรกิจอย่างสุจริตและถูกต้อง แต่กลับต้องเผชิญกับความไม่เป็นธรรมจากระบบราชการ และการหาผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐ ด้วยเหตุนี้ การปรับแนวคิดของภาครัฐจาก “การควบคุม” ไปสู่ “การส่งเสริมให้ทำถูกต้อง” คือหัวใจของระบบภาษีที่สร้างความเชื่อมั่นและการเติบโตที่ยั่งยืนแก่ประเทศ แต่ระบบดังกล่าวกลับทำให้ผู้ประกอบการที่ประกอบการอย่างสุจริตต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าแม้จะดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องแล้วเรื่องดังกล่าวจะเกิดขึ้นกับตัวเองหรือไม่ ก็ได้แต่หวังว่าเสียงเล็กๆจากผู้ประกอบการอย่างสุจริตจะส่งไปถึงผู้มีอำนาจและแสดงถึงความตั้งใจที่จะแก้ปัญหา เพื่อผลประโยชน์แก่ประเทศที่ยั่งยืน


กำลังโหลดความคิดเห็น