xs
xsm
sm
md
lg

“ยุบ กอ.รมน.” ทักษิณ ชินวัตร จุดไฟ ผู้เคยยุบ ศอ.บต. มาแล้ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ยุบ กอ.รมน.” ทักษิณ ชินวัตร จุดไฟ ผู้เคยยุบ ศอ.บต. มาแล้ว


เรียกได้ว่าไม่สร้างความผิดหวังให้แก่ทั้งคนรักและคนชังสำหรับการปรากฏตัวของ
นายทักษิณ ชินวัตร ในการปาฐกถาพิเศษที่สำนักงาน ปปส. เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
แต่ไฮไลท์ที่เป็นเนื้อหาสุดเดือดกลับไม่ใช่ภาพใหญ่ที่เกี่ยวกับหัวข้อที่กำหนดไว้อย่าง
สวยหรูว่า “ยาเสพติดอาชญกรรมข้ามชาติ มุมมองและความท้าทายต่อการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน”

แต่มันกลับกลายเป็นพาดพิงถึงหน่วยงานสำคัญอย่าง กอ.รมน. ที่ก่อตั้งมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยที่นาย
ทักษิณ ยังเป็นละอ่อนไม่พ้นรั้วโรงเรียนนายร้อยสามพราน และประเทศไทยต้องต่อสู้ด้วยกำลังติดอาวุธ
กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยโดยไม่มีการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ
ในช่วงเวลาดังกล่าว รัฐบาลไทยได้ก่อตั้ง กอ.รมน. เป็นหลักชัยและศูนย์กลาง
การบังคับบัญชาวางแผนและบริหารจัดการทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธีร่วมกับกองทัพ ทั้งทหาร
ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ในทั่วทุกภูมิภาคของประเทศที่มีกองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง

ประเทศไทยออกปฏิบัติการโจมตีฝ่ายรัฐอย่างไม่ลดละ
จากวันเสียงปืนแตกเมื่อเดือนมีนาคม 2507 จนถึงวันประกาศนโยบาย 66/23
ในปี พ.ศ.2523 การต่อสู้ด้วยอาวุธของรัฐไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์จึงสิ้นสุดลงและได้ผู้ร่วมพัฒนา
ชาติไทยที่มาจากการวางอาวุธของเหล่าสหายซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นมีนายภูมิธรรม เวชชัย รมต.
กลาโหมคนปัจจุบันรวมอยู่ด้วย

แม้สงครามที่ไม่มีการประกาศระหว่างรัฐไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
จะสิ้นสุดลง แต่ กอ.รมน ยังคงดำรงอยู่และรักษาบทบาทความสำคัญของตนเองไว้ในฐานะหน่วยงานที่
รับผิดชอบความสงบสุขในทุกมิติของประชาชนทั่วทุกภูมิภาค

และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ บทบาทในการรับผิดชอบต่อความมั่นคงของรัฐ ซึ่งมี
ความหมายครอบคลุมในทุกๆ ด้าน ไม่เว้นแม้แต่ด้านการเมือง ซึ่งจะต้องสนับสนุนความเข้มแข็งและ
เสถียรภาพของรัฐบาล ไม่ว่าพรรคใดจะมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงประการหนึ่งก็คือ รัฐบาลส่วนใหญ่ก่อนถึงช่วงเปลี่ยน
ผ่านมาสู่ ประชาธิปไตยแบบธุรกิจการเมืองในปัจจุบัน ผู้ที่บริหารจัดการรัฐบาลส่วนใหญ่จะเป็น “มือที่
มองไม่เห็น” จากกองทัพและนายกรัฐมนตรี ส่วนมากจะเป็นคนจากกองทัพล่าสุดก็คือ รัฐบาล คสช. ที่
ยึดอำนาจมาจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี

ทั้งหมดที่กล่าวมาโดยย่อในข้างต้นนั้น คือเรื่องราวโดยสังเขปของ กอ.รมน ซึ่งหลัง
สิ้นสุดยุคสงครามคอมมิวนิสต์ ศัตรูของ กอ.รมน ได้เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นทั้งความยากจนของประชาชน

ความแห้งแล้งของภูมิประเทศ ก่อนจะตามมาด้วยภัยคุกคามจากยาเสพติด ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และศัตรูตัวสำคัญคือกลุ่มผู้
ติดอาวุธรายใหม่ที่ต่อสู้กันในลักษณะสงครามที่ไม่มีการประกาศก็คือ ขบวนการ BRN ในพื้นที่ 3 จังหวัด
ชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา

ท่ามกลางความเป็นไปดังกล่าว สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้และปรากฏหลักฐานเป็น
รูปธรรมชัดเจนก็คือ แม้โครงสร้าง กอ.รมน จะจัดทำไว้อย่างแข็งแกร่ง ตอบโจทย์ภารกิจที่ต้องรับผิดชอบ
แต่ภายใต้ โครงสร้างนั้น ยังคงมีช่องโหว่และจุดอ่อนที่ให้คนจำนวน ไม่น้อยแสวงประโยชน์จาก
หน่วยงานนี้ซึ่งมีงบประมาณมหาศาล
ดังเช่นตัวอย่างทหารหญิงยศนายสิบ คนสนิท สว. ถูกส่งชื่อ ไปสังกัด กอ.รมน
เพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์ทั้งเบี้ยเลี้ยงและวันรับราชการ โดยตัวไม่ได้ลงพื้นที่ทำงานจริง ก่อนความชั่วร้าย
นั้นจะถูกเปิดโปง หลังจากสาวคนสนิท สว. ทำตัวเองด้วยการซ้อมเหยื่อที่ถูกเรียกมาเป็นคนรับใช้ จน
กลายเป็นข่าวดัง เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้สังคมตื่นรู้ว่า หน่วยงานแห่งนี้ หมักหมมความเน่าเฟะภายใต้
งบประมาณมหาศาล ก่อนที่เรื่องจะเงียบหายไป

กระนั้นก็ตาม ยังมีผู้ที่เคยปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับ กอ.รมน ด้วยใจบริสุทธิ์
จำนวนมากที่เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่แท้จริงซึ่งยึดถือพระบรมราโชวาทที่
พระราชทานให้ไว้ว่า “ต้องทำงานเพื่องาน อย่าทำงานเพื่อหวังสิ่งตอบแทน และให้ระลึกเสมอว่า
งานที่สำเร็จลุล่วงคือ สิ่งตอบแทนที่ได้รับแล้ว”

ข้าราชการที่เป็นกำลังพลของ กอ.รมน เหล่านี้ ต่างทุ่มเทเสียสละและอุทิศตน เพื่อ
ชาติบ้านเมืองมาอย่างต่อเนื่อง หลายคนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในพื้นที่ โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดน
ภาคใต้ ซึ่งต้องเผชิญกับภัยคุกคามของกลุ่มติดอาวุธ BRN ที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนโดยไม่เปลี่ยนแปลง
และมุ่งเน้นการล่าสังหารทั้งเจ้าหน้าที่และพลเรือน ผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นเป้าหมายอ่อนแออย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นต้นมา
ดังนั้นการออกมาประกาศต่อสาธารณชนของนายทักษิณ ชินวัตร ว่ากำลังอยู่
ระหว่างชั่งใจคิดว่า ควรจะยกเลิก กอ.รมน ดีหรือไม่ เพื่อประหยัดงบประมาณหลายพันล้านบาท โดย
ระบุตัวชี้วัดผลงานว่า กอ.รมน จะต้องปฏิบัติงานด้านการต่อต้านยาเสพติดให้เข้มแข็งกว่าที่เป็นอยู่ใน
ปัจจุบัน และต้องมีผลงานการดับไฟใต้ที่เป็นรูปธรรมชัดเจนอย่างน่าพอใจ มากกว่านี้เช่นกัน

แม้คำประกาศดังกล่าวจะเป็นเสมือนการ “โยนหินถามทาง” ของนายทักษิณ ชิน
วัตร แต่สิ่งที่หลายคนตั้งข้อสังเกตก็คือ
นายทักษิณกล้าจริงหรือที่จะ “จุดชนวนไฟ” ครั้งใหม่ ด้วยการยกเลิก
หน่วยงานยักษ์อย่าง กอ.รมน และหากยกเลิกไปแล้ว จะให้หน่วยงานใดเป็นผู้รับผิดชอบภาระงานที่
ครอบคลุมในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะในส่วนที่กำลังต่อสู้กับขบวนการ BRN ร่วมกับทหาร ตำรวจ
และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง

ที่สำคัญก็คือ คนไทยไม่เคยลืมว่า นายทักษิณ ชินวัตร คือผู้ที่สั่งยกเลิกศูนย์
อำนวยการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ที่รับผิดชอบงานด้านความมั่นคงในพื้นที่
ด้ามขวานมาโดยตลอดร่วมกับ กอ.รมน3
แต่หลังจากนายทักษิณขณะเป็นนายกรัฐมนตรี ออกมาประกาศว่า กลุ่มแยก
ดินแดนภาคใต้เป็นพวกโจรกระจอก ตำรวจสามารถจัดการได้โดยไม่ต้องอาศัยมือไม้ของหน่วยงานใด
ศอ.บต. ซึ่งวางโครงข่ายไว้อย่างครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยเฉพาะด้านการข่าว จึงล่มสลายลงในทันที และ
นำมาซึ่งเหตุการณ์ปล้นปืนที่ค่ายปิเหล็ง หน่วยทหารพัฒนาในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2547 จนไฟใต้ลุกโชน
มาจนถึงปัจจุบัน และทำให้รัฐบาลในยุคต่อมาต้องกลับลำ ยินยอมที่จะก่อตั้ง ศอ.บต. ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
หนึ่ง เพื่อทำหน้าที่สานต่อภารกิจเดิมจนถึงปัจจุบัน

ถึงนาทีนี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ฟันธงไปในทิศทางเดียวกันว่า
นายทักษิณไม่กล้ายุบเลิก กอ.รมน. อย่างแน่นอน แต่ทักษิณฉลาดพอที่จะหยิบยก
ประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นชนวนไฟให้ทุกสายตาเหลียวมอง มุมคิดและวิสัยทัศน์ของเขา เพื่อเป็นการยืนยัน
และประกาศตัวตนอย่างชัดเจนว่า
แผ่นดินนี้จะขาดการแสดงบทบาทและความเคลื่อนไหวของคนที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร
ไม่ได้ แม้ว่าเขาจะอยู่ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีที่หนีคดีไปต่างประเทศหลายสิบปี ก่อนจะกลายเป็น
ผู้ต้องหาคดี ม.112 อดีตนักโทษหนีคดีที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ แต่ไม่เคยติดคุกจริงแม้แต่วันเดียวก็
ตาม

และการยุบเลิก กอ.รมน. ซึ่งไม่มีวันจะเป็นไปได้อย่างแน่นอนก็คือ ชนวนไฟที่
จะช่วยส่องร่างของนายทักษิณให้สว่างโพลนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง สมความปรารถนาของเจ้าตัวทุกประการ


กำลังโหลดความคิดเห็น