เปิดขบวนการยื้อคดีโฮปเวลล์ หาข้ออ้างประวิงเวลาจ่ายเงิน กระทบอำนาจอธิปไตย
คดีโฮปเวลล์ ถือเป็นคดีที่มีการต่อสู้กันในชั้นศาลมาเป็นเวลาหลายสิบปี โดยศาลปกครองสูงสุด พิพากษาให้คืนเงินตอบแทน เงินลงทุน หนังสือค้ำประกันฯและค่าธรรมเนียมโครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพฯ ให้แก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี แต่จนถึงขณะนี้ความพยายามในการชะลอจ่ายเงินดังกล่าว
โดยสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ใช้อำนาจตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อพิจารณา อีกทั้งมีการอ้างถึงหนังสือจากปลัดกระทรวงคมนาคมและผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยที่ระบุว่าคณะทำงานตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 143/2562 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2562 ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ปรากฎว่า บริษัทโฮปเวลล์ฯ จดทะเบียนตั้งบริษัทโดยมิชอบ และการรถไฟฯ ได้ยื่นฟ้องนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทต่อศาลปกครองแล้ว เพื่อให้ขอเพิกถอนการรับจดทะเบียน ดังนั้น กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย จึงยังไม่สามารถปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดได้
ขณะเดียวกัน มีข้อสงสัยว่ามีการดำเนินการในลักษณะเป็นขบวนการหรือไม่ เพราะการที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของฝ่ายตุลาการซึ่งเป็น 1 ใน 3 อำนาจอธิปไตย ถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะในการปกครองประเทศนั้นการทำลายความน่าเชื่อถือในเรื่องของกระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างมาก และจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนจากต่างชาติอย่างมาก
ด้วยความเป็นห่วงว่านี่คือปัญหาที่สำคัญของประเทศ เพราะเป็นปัญหาเรื่องโ๕รงสร้างที่แต่ละอำนาจต้องถ่วงดุลซึ่งกันและกัน และไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน แต่พบว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ในฐานะเป็นผู้เสียหายที่ถูกละเมิดยื่นเรื่องไปยังผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อให้พิจารณายื่นเรื่องไปยังศาลรัฐรรมนูญ เรื่องทั้งหมดจึงพอที่จะสรุปได้หรือไม่ว่ามีขบวนการสมคบคิดกันวางแผนที่จะปฏิเสธอำนาจตุลาการ เริ่มต้นด้วยการใช้อำนาจบริหารและนิติบัญญัติเป็นเครื่องมือ ดังนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญซึ่งจะต้องมีการดำเนินการให้ถึงที่สุด โดยต้องยื่นเรื่องให้ประมุข 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ ตลอดจน ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด รวมไปถึงพรรคการเมืองที่มีความเกี่ยวข้อง เพื่อให้ร่วมกันแก้ไขปัญหาโครงสร้างของบ้านเมือง