ปมร้อนข่าวลึก : บังคับพลทหารเยี่ยงทาส ขับแกร็ปส่งเงินให้เจ้านาย ทัพฟ้าต้องเอาผิดวินัย-อาญา
“เป็นทหารได้อะไรมากกว่าที่คิด” คือสโลแกนที่กองทัพไทยป่าวประกาศซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อโฆษณาชวนเชื่อให้ชายไทยที่มีอายุครบเกณฑ์ตัดสินใจสมัครเข้ารับใช้ชาติแทนการจับใบดำใบแดงตามกระบวนการคัดเลือกที่ถือปฏิบัติกันมาช้านาน
แต่ในวันนี้สโลแกนดังกล่าวได้ถูกนำมาล้อเลียนกองทัพที่ไม่สามารถขจัดนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาใจต่ำลุแก่อำนาจ ที่เป็นเสมือนเนื้อร้ายที่บ่อนเซาะทำลายเกียรติภูมิของทหารอาชีพด้วยพฤติกรรมละเมิดความเป็นมนุษย์ของพลทหารในสังกัด ทั้งการใช้งานเยี่ยงทาสและซ้อมทรมานจนมีผู้บาดเจ็บล้มตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกภูมิภาคของประเทศที่มีหน่วยทหารตั้งอยู่
คำกล่าวที่ว่า เป็นทหารได้อะไรมากกว่าที่คิด ได้ถูกแชร์ในโลกโซเชียลในลักษณะเปิดโปงว่า โดยเปลี่ยนข้อความว่า เป็นทหารได้รับใช้นายด้วยการขับแกร็ปแทนการเข้าเวรในกรมกอง เรื่องดังกล่าวตกเป็นข่าวเมื่อพลทหารสังกัดกองทัพอากาศคนหนึ่งได้ออกมาร้องสื่อว่า
ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองผู้พันอยู่ในกองบิน 23 จังหวัดอุดรธานี ใช้ให้ตนเองทำหน้าที่ขับ Grab รับส่งตาม Order หารายได้เข้ากระเป๋า โดยบังคับข่มขู่ให้ทำเงินตามเป้าวันละ 3,000 บาท
ทั้งนี้ในช่วงแรกตั้งแต่เดือนมกราคม 68 เป็นการขับ Grab ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วย โดยมีการแบ่งรายได้ให้ 10% ก่อนที่ในเวลาต่อมา รองผู้พันคนดังกล่าวจะใช้เครือข่ายเส้นสายส่งให้ตนเองมาอยู่ในกรุงเทพฯ ประจำพิพิทธภัณฑ์ทหารอากาศดอนเมือง ด้วยเหตุผลที่ว่า จะมีลูกค้ามากขึ้น และสามารถทำรายได้ตรงตามเป้า ด้วยความที่ตนเองมีภาระดูแลครอบครัวและมีความจำเป็นด้านการเงิน เนื่องจาก เงินเดือนพลทหาร เพียง 8,000 บาทไม่เพียงพอต่อการดูแลบุตรวัย 5 เดือน จึงยินยอมตามที่รองผู้พันสั่งการ
ในเวลาต่อมา ตนพบว่าการทำงานในลักษณะดังกล่าว เป็นการใช้แรงงานที่มากเกินกว่าจะรับไหว โดยต้องตื่นตั้งแต่ 3:00 น เพื่อเริ่มต้นขับ Grab และต้องทำงานอย่างต่อเนื่องเกินกว่าวันละ 12 ชั่วโมง ทำให้เกิดความเหนื่อยล้าจนไม่อาจรับได้อีกต่อไป
แต่เมื่อแจ้งความประสงค์ให้รองผู้พันทราบกลับถูกข่มขู่ และบังคับให้ทำงานต่อไป โดยแจ้งว่าหากขาดคำสั่งจะไม่อนุญาตให้ลากลับบ้านตามสิทธิ์ที่มี และจะไม่รับรองความปลอดภัยของครอบครัว
ตนจึงตัดสินใจมาร้องขอความเป็นธรรมผ่านทางสายไหมต้องรอด เพื่อเปิดเผยเรื่องดังกล่าวต่อสื่อมวลชน
ทันทีที่ข่าวฉาวในเรื่องใช้แรงงานพลทหารจากทหารรับใช้ประจำบ้าน ผู้บังคับบัญชาที่เป็นเจ้านาย วิวัฒนาการไปสู่เป็นทหารขับ Grab หาเงินเข้ากระเป๋านายทหารต้นสังกัด ถูกเปิดโปงผ่านสื่อทุกสำนัก กองทัพอากาศย่อมไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้
วันรุ่งขึ้น โฆษกกองทัพอากาศพลอากาศโทประภาส สอนใจดี ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวพร้อมแจกจ่ายเอกสารชี้แจง ใจความสรุปได้ว่ามีการสั่งย้ายรองผู้บังคับกองพันสังกัดกองบิน 23 จังหวัดอุดรธานีออกจากตำแหน่ง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยรองโฆษกย้ำว่า กองทัพอากาศจะไม่มีการปกป้องผู้กระทำความผิด อย่างแน่นอน รวมทั้งจะยึดมั่นในนโยบายของผู้บัญชาการทหารอากาศ พลอากาศเอกพันธุ์ภักดี พัฒนกุล ที่มีนโยบายชัดเจนในการดูแลสวัสดิภาพ สิทธิ และศักดิ์ศรีของทหารกองประจำการอย่างดีที่สุด โดยกำชับให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย ความรับผิดชอบและจริยธรรม มิให้มีการละเมิดสิทธิหรือเอารัดเอาเปรียบกำลังพลในทุกกรณี
กองทัพอากาศขอยืนยันในความมุ่งมั่นที่จะรักษามาตรฐานคุณธรรม จริยธรรม ความโปร่งใส และความถูกต้องในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนและสังคมว่า กองทัพอากาศจะไม่ละเลยต่อพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และพร้อมดำเนินการอย่างจริงจังต่อทุกการกระทำ
อย่างไรก็ตาม แม้กรณีพลทหารอากาศออกมาเปิดโปงเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นจะ ได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็วทันใจกระแสโซเชียลก็ตาม โดย ผบ.กองบิน 23 เดินทางมารับตัวพลทหารกลับค่ายพร้อมรับรองความปลอดภัย แต่ผู้คนจำนวนมากยังคงตั้งข้อสังเกตไปในทิศทางเดียวกันว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่า ที่กองบิน 23 จังหวัดอุดรธานี จะมีพลทหารที่ถูกเรียกตัวมาขับ Grab ให้เจ้านายมากกว่า 1 คน เพียงแต่พลทหารเหล่านั้นไม่กล้าออกมาเปิดโปงความอัปยศจากการกระทำของผู้บังคับบัญชา
ผู้คนส่วนใหญ่จึงเชื่อว่า ในท้ายที่สุดเรื่องก็จะค่อยๆ เงียบหายไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่งหรือไม่ เพราะในทุกครั้งที่มีข่าวอัปยศเกี่ยวกับการกระทำต่อพลทหาร ซึ่งกองทัพประกาศครั้งแล้วครั้งเล่าว่า เป็นน้องสุดท้องของกองทัพที่ต้องดูแลอย่างดี
แม้ผู้บังคับบัญชาหรือแม้กระทั่งรัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งถือเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพจะออกมาให้สัมภาษณ์ขึงขังว่า จะดำเนินการสอบสวนลงโทษทั้งทางวินัยและอาญา โดยไม่มีการละเว้น
ข่าวว่า เรื่องกลับโอละพ่อ เพราะแทนที่พลทหารจะกลับเข้าค่ายตามที่ ทอ.ให้ข่าว มีการสับขาหลอกส่งพลทหารกลับไปบ้านผู้พันเหมือนเดิม จึงเท่ากับ ทอ.โกหกคำโตต่อนักข่าว และพ่อแม่ของพลทหารรอเก้ออยู่ที่สนามบินไม่ได้เจอหน้าลูกชาย
ส่อว่าเมื่อเวลาผ่านไป ชาวบ้านตาดำๆ ก็แทบจะไม่มีโอกาสรับรู้เลยว่า บทลงโทษของทหาร ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาจะลงเอยในลักษณะใด
หน่วยเหนือมีการเอาผิดทั้งทางวินัยและอาญา หรือแม้กระทั่งการฟ้องแพ่งเพื่อให้ชดใช้แก่ครอบครัวผู้สูญเสียหรือผู้ที่ถูกซ้อมทรมานหรือไม่
แต่ที่แน่ๆ และจะคงอยู่คู่กับกองทัพไทยตลอดไปก็คือ การเอารัดเอาเปรียบการทำร้ายร่างกายพลทหาร การส่งตัวพลทหารไปรับใช้เจ้านายตามบ้านจะดำรงคงอยู่บนพื้นแผ่นดินนี้โดยไม่เปลี่ยนแปลง ตราบใดที่ยังไม่มีการเชือดไก่ให้ลิงดูภายในระยะเวลาอันสั้น เพื่อให้คนเป็นผู้บังคับบัญชารายต่อไปเกิดความยำเกรงและตระหนักในสิ่งที่จะได้รับอย่างเป็นรูปธรรมว่า
มันผู้ใดล่วงละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์ของพลทหาร มันผู้นั้นก็จะได้รับผลตอบ แทนเป็นบทลงโทษอย่างสาสม